วันนี้ในอดีต

30 มีนาคม ภาพ Sunflowers ของของแวนโก๊ะ ถูกประมูลขาย

30 มีนาคม 2530 ภาพ Sunflowers ของ Vincent van Gogh ถูกประมูลขายไปในราคา 22,500,000 ปอนด์ หรือประมาณ 1,350 ล้านบาท ที่สำนักงานประมูลคริสตีส์ (Christie’s) ในขณะนั้นถือว่าเป็นภาพที่มีราคาแพงที่สุดในโลกที่เคยมีมา

ภาพ Sunflowers

ภาพวาดชิ้นนี้นับเป็นผลงานที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในยุคปัจจุบันและถูกวาดในช่วงที่สำคัญของชิวิตแวนโก๊ะด้วย เขาเกิดในเนเธอแลนด์และย้ายมาปารีสในปี 1886 นับได้ว่าเขาเป็นผู้เปลี่ยนแปลง โดยนำสีเข้มและสว่างสดใสเข้าสู่วงการ Impressionnists.

เมื่อแวนโก๊ะได้ย้ายมาพักที่ Arles ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เขาได้เจอกับแดดและสีสรรมากมายรอบ ๆ ตัวอันน่าตื่นเต้นแต่กลับโดดเดี่ยว เขาได้จัดแต่งบ้านเช่าเป็นสีเหลือง และได้เชิญ Pual Gauguin ศิลปินผู้มีความคิดก้าวหน้าอีกทั้งยังเป็นที่ยกย่องของเขาให้มาพักที่นี่

แวนโก๊ะได้ลงมือวาดรูปชุด “ดอกทานตะวัน” จำนวน 4 ภาพ เพื่อใช้ในการตบแต่งห้องพักของโกแกง ดอกทานตะวันในแจกันช่างน่าหลงไหล ทั้งรูปร่าง – วงจรชีวิตที่งดงามตั้งแต่ ผลิบาน ถึง เหี่ยวเฉา เขาพยามยามทำให้มันมีคุณค่ามากขึ้นด้วยสีเหลืองแข้มและฉากหลังสีเหลือง ซึ่งมีความหมายสื่อไปในทางความหวังและมิตรภาพ อีกทั้งในงานเขียนของชาวดัช ทานตะวันจะสื่อถึงสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์และศรัทธา ซึ่งเป็นการคาดหวังถึงมิตรภาพที่กำลังมาจะถึงในไม่ช้า

อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้งสองได้มาพบกันจริงกลับมีความเห็นทางด้านงานศิลป์ที่ไม่สอดคล้องกัน จนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตของแวนโก๊ะลุกลามขึ้นถึงขนาดตัดหูตัวเองและเขาได้ใช้ชิวิต 3 ปีสุดท้ายในที่หลบซ่อน แวนโก๊ะเป็นผู้นำสิ่งใหม่เข้ามาสู่ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ก่อนที่เขาจะปลิดชีวิตตัวเองในวัย 37 ภาพของเขาสามารถขายได้เพียงภาพเดียวในช่วงชีวิต

วินเซ้นต์ แวนโก๊ะ

ฟินเซนต์ วิลเลิม ฟัน โคค (Vincent Willem van Gogh) 30 มีนาคม ค.ศ. 1853 — 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1890 คนไทยมักเรียก วินเซนต์ แวน โก๊ะ เป็นจิตรกรชาวดัตช์ในลัทธิประทับใจยุคหลัง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีชื่อเสียงและอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก เขาสร้างสรรค์งานศิลป์กว่า 2,100 ชิ้นในเวลาเพียงสิบปีกว่า ในจำนวนนี้เป็นภาพสีน้ำมัน 860 ชิ้น

ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตขึ้นในสองปีสุดท้ายของชีวิตเขา ผลงานของเขามีทั้งภาพภูมิประเทศ ภาพนิ่ง ภาพคนเหมือน และภาพเหมือนตนเอง ซึ่งล้วนมีลักษณะเด่นเป็นสีสันจัดจ้านและงานพู่กันที่ฉวัดเฉวียนแฝงอารมณ์ชวนประทับใจอันช่วยสร้างรากฐานให้แก่ศิลปะสมัยใหม่ หลังทนทุกข์เพราะไข้ใจและความจนมานานหลายปี เขาปลิดชีวิตตนเองเมื่ออายุได้ 37 ปี

เขาเกิดในครอบครัวชนชั้นกลางค่อนไปทางชั้นสูง เขาเป็นเด็กที่เคร่งขรึม พูดน้อย แต่คิดมาก เมื่อโตเป็นหนุ่ม เขาทำงานเป็นนายหน้าขายศิลปกรรม จึงเดินทางบ่อย แต่เมื่อต้องย้ายบ้านไปอยู่ลอนดอน เขาก็ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า จึงหันไปหาศาสนา ปฏิบัติศาสนกิจในฐานะมิชชันนารีโปรเตสแตนต์ทางภาคใต้ของเบลเยียม ชีวิตเขาล่องลอยไปมาระหว่างสุขภาพอันทรุดโทรมกับความโดดเดี่ยวอ้างว้าง กระทั่งมาจับงานวาดเขียนเอาใน ค.ศ. 1881 หลังย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดเมืองนอนกับบิดามารดา เขาได้ Theo น้องชาย คอยสนับสนุนทางการเงิน เขากับน้องติดต่อกันมาเสมอด้วยจดหมายโต้ตอบ

ผลงานชิ้นแรก ๆ ของเขาส่วนใหญ่เป็นภาพนิ่งและภาพแสดงชนชั้นกรรมกร แต่มีไม่มากที่ใช้สีสันสดใส ต่างจากผลงานชิ้นหลัง ๆ ครั้น ค.ศ. 1886 เขาย้ายไปอยู่ปารีส ได้พบเจอสมาชิกกลุ่มล้ำยุค เช่น Émile Bernard กับปอล โกแก็ง ที่กำลังมีปฏิกิริยาตอบโต้ประเด็นอ่อนไหวเรื่องลัทธิประทับใจ เมื่องานของเขาก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ เขาก็สร้างรูปโฉมใหม่ให้แก่งานภาพนิ่งและภาพภูมิประเทศท้องถิ่นของตน โดยให้มีสีสันกระจ่างใสขึ้น เป็นรูปแบบที่ใช้งานจริงอย่างเต็มที่ในช่วงที่เขาพำนักอยู่ ณ เมืองอาร์ล ทางภาคใต้ของฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ. 1888 ช่วงนี้เองที่เขาขยายหัวเรื่องสำหรับงานของตนออกไปเป็นภาพชุดต้นมะกอก ทุ่งสาลี และทานตะวัน

เขาประสบปัญหาทางใจอยู่หลายช่วง และแม้จะกังวลเรื่องเสถียรภาพทางจิตใจของเขายิ่งนัก เขากลับละเลยสุขภาพทางกายไปเสียสิ้น ไม่กินไม่นอนตามสมควร ทั้งยังร่ำสุราอย่างหนัก ครั้งหนึ่ง เขามีปากเสียงกับโกแก็ง แล้วคว้ามีดโกนไล่ตามโกแก็ง ก่อนเฉือนหูซ้ายของตัว

ความปั่นป่วนทางใจทำให้เขาต้องอยู่โรงพยาบาลจิตเวชหลายครั้ง เช่นครั้งที่เขาพักอยู่ในแซ็ง-เรมี-เดอ-พรอว็องส์ เมื่อออกโรงพยาบาลแล้ว เขาย้ายไปอยู่ Auberge Ravoux ที่โอแวร์ซูว์รวซใกล้กับปารีส และอยู่ในการดูแลรักษาของแพทย์แผนโฮมีโอพาธีนาม Paul Gachet ภาวะซึมเศร้าของเขาดำเนินต่อมาจนวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1890 เขาใช้ปืนลูกโม่ยิงอกตนเอง บาดแผลครั้งนี้ทำให้เขาเสียชีวิตในอีกสองวันถัดมา

ตอนมีชีวิตอยู่ เขาไม่ประสบความสำเร็จ และถูกมองเป็นคนบ้า คนล้มเหลว แต่พอเสียชีวิตเพราะอัตวินิบาตกรรมแล้ว เขากลับโด่งดัง สถิตอยู่ในภาพจำของสาธารณชนในฐานะอัจฉริยบุคคลผู้ถูกมองข้าม ถึงกับมีคำกล่าวว่า เขาเป็น ศิลปิน “ผู้ซึ่งวาทกรรมเรื่องความบ้าคลั่งและความสร้างสรรค์มีเส้นคั่นอยู่บาง ๆ” (where discourses on madness and creativity converge) เกียรติยศเริ่มหลั่งไหลมาหาเขาในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เนื่องจากองค์ประกอบในรูปแบบงานวาดเขียนของเขากลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเพราะคติโฟวิสต์และลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แบบเยอรมัน หลายสิบปีให้หลัง ผลงานของเขาประสบความสำเร็จทางการค้าพาณิชย์อย่างกว้างขวาง ทุกวันนี้ เขาเป็นที่จดจำในฐานะจิตรกรคนสำคัญผู้มีชีวิตอันชวนสลด บุคลิกภาพที่เป็นปัญหาของเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของศิลปินระทม (tortured artist) ในอุดมคติแนวสุขนาฏกรรม

อ่านต่อ

Alinda C.

ฉันเชื่อว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจความเป็นมาของสังคมและโลก ประวัติศาสตร์ทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของเสรีภาพและความเท่าเทียมกัน ทำให้เราเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีต เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยเดิม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button