วันนี้ในอดีต

7 พฤษภาคม ตำรวจนอร์เวย์ได้ภาพ The Scream คืนหลังถูกขโมย

7 พฤษภาคม 2537 ตำรวจนอร์เวย์ได้ภาพ The Scream คืนหลังถูกขโมยไปจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะในกรุงออสโล มีข้อมูลระบุว่าคนร้ายเกี่ยวข้องกับกลุ่มต่อต้านการทำแท้งที่ยื่นข้อเสนอจะคืนภาพให้หากนำภาพยนตร์ต่อต้านการทำแท้งเรื่อง The Silent Scream ออกอากาศทางโทรทัศน์ The Scream เป็นหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก วาดโดย เอดวาร์ด มุงก์ จิตรกรชาวนอร์เวย์

ภาพ The Scream

The Scream เป็นหนึ่งในภาพวาดที่มีชื่อเสียงของโลก ถูกนำมาล้อเลียน ในภาพยนตร์ หรือการ์ตูนต่างๆมากมาย โดยภาพนี้เป็นภาพของชายคนหนึ่ง ซึ่งกำลังทำท่ากรีดร้องและเอามือทั้ง 2 ข้างป้องหู ผลงานนี้ไม่ได้มีเพียงชิ้นเดียว เพราะมันเป็น 1 ใน 4 ของผลงานชุด The Scream โดยงานชิ้นดังที่สุดเป็นเพียงชิ้นเดียวที่อยู่ภายใต้การเก็บของเอกชน ภาพวาดนี้ เขียนขึ้นเมื่อปี ค.ส. 1895 เป็นภาพ The Scream เพียง Version เดียวที่ไม่ได้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ของประเทศ Norway

ภาพนี้มีชื่อเสียงโด่งดังและรู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการศิลปะทั่วโลก อันเนื่องมาจากอารมณ์อันหวาดกลัวที่สามารถสื่อออกมาได้อย่างชัดเจนจากชายในภาพ รวมทั้งมีการการใช้สีสันอันสะท้อนถึงการดำรงอยู่ของความกังวลบวกกับความท้อแท้สิ้นหวัง The Scream เป็นผลงานมีสีสันสดใสอีกทั้งยังคงมีชีวิตชีวาที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นเพียงงานชิ้นเดียวที่ Munch ได้เขียนกลอนลงไป เพื่อเป็นการอธิบายถึงแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ผลงานชิ้นนี้ โดย Munch กล่าวอธิบายไว้ว่า รู้สึกสั่นเทาและวิตกกังวล เขารู้สึกถึงการกรีดร้องอันยิ่งใหญ่ในธรรมชาติ

ประวัติของภาพวาด The Scream

ในปี 1893 ตอนเย็นของวันหนึ่ง เมื่อดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้า Edvard Munch กำลังเดินเล่นอยู่กับเพื่อนของเขาอีก 2 คน ท้องฟ้าก็ได้เป็นสีเลือด มันทำให้เขารู้สึกหมดแรง จนยืนไม่ไหวต้องอาศัยพิงรั้วข้างทาง บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยสีแดงฉานดั่งเปลวเพลิง แต่เพื่อนของเขาก็ยังเดินกันต่อไป ในขณะที่เขากำลังยืนตัวสั่นด้วยความกังวลใจ และทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกถึงเสียงกรีดร้องของธรรมชาติบาดลึกไปถึงจิตวิญญาณ จนก่อเกิดแรงบันดาลใจอันมหาศาล ให้เขาได้ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นภาพวาดแนว Expressionist ซึ่งเขาได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกมาใส่ในรูปบันลือโลกนี้

จากการวิเคราะห์คนในภาพคงจะเป็น Edvard ส่วนท่าทางเป็นอาการของคนวิตกจริต สาเหตุมาจากเสียงรบกวน ซึ่งไม่มีคนอื่นได้ยิน มีแต่เขาเท่านั้นที่รับพลังงานนั้นได้ ในขณะที่เพื่อนๆซึ่งไม่ได้ยินอะไร กลับเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ทิ้งให้เขาในสภาพตกใจสุดขีดยืนอยู่อย่างเดียวดาย ส่วนสีของท้องฟ้านั้นอาจเป็นเรื่องจริง ที่ Munch เห็นกับตา และมโนเสียงความน่ากลัวเอาเองได้ เนื่องจากในช่วงเดียวกันนั้น ภูเขาไฟ ณ เกาะ Krakatoa ประเทศอินโดนีเซีย ได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้เถ้าถ่านภูเขาไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า สร้างผลกระทบให้บรรยากาศไปทั่วทั้งโลก หรือความจริงแล้ว Edvard Munch อาจมีหูวิเศษ สามารถได้ยินเสียงระเบิดจากดินแดนอันไกลโพ้น จนกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้วาดภาพ The Scream ก็เป็นได้

อ่านต่อ

Alinda C.

ฉันเชื่อว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจความเป็นมาของสังคมและโลก ประวัติศาสตร์ทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของเสรีภาพและความเท่าเทียมกัน ทำให้เราเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีต เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยเดิม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button