วันนี้ในอดีต

14 พฤษภาคม แฟรงก์ ซินาตรา นักร้องเพลงแจ๊สถึงแก่กรรม

14 พฤษภาคม 2541 แฟรงก์ ซินาตรา (Francis Albert “Frank” Sinatra) นักร้องเพลงแจ๊ส ป็อป และนักแดสงชาวอเมริกัน ถึงแก่กรรม

แฟรงก์ ซินาตรา

ฟรานซิส อัลเบิร์ต “แฟรงก์” ซินาตรา (Francis Albert “Frank” Sinatra) 12 ธันวาคม ค.ศ. 1915 – 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1998 เป็นนักแสดง นักร้อง และโปรดิวเซอร์ชาวอเมริกัน เขาได้กลายเป็นหนึ่งในศิลปินผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 20 ด้วยยอดจำหน่ายแผ่นเสียงกว่า 150 ล้านชุดทั่วโลก ทำให้กลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่มียอดจำหน่ายสูงสุดตลอดกาล ซินาตราเกิดในโฮโบเคน รัฐนิวเจอร์ซีย์ เป็นลูกหลานของชาวอิตาลีที่อพยพเข้ามาในอเมริกา เขาเริ่มงานดนตรีในช่วงที่ ดนตรีสวิง กำลังเป็นที่นิยม โดยร่วมวงกับ แฮร์รี เจมส์ และทอมมี ดอร์ซีย์

จนต่อมาซินาตราออกมาทำงานดนตรีเดี่ยวซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จนได้เซนต์สัญญากับค่ายโคลัมเบีย ในปี ค.ศ. 1943 เขาได้ออกอัลบั้มแรกในชื่อ The Voice of Frank Sinatra (1946) แต่งานดนตรีเขาก็ได้หายไปในช่วงทศวรรษที่ 1950 ต่อมาเขาได้กลับสู่เวกาส ที่ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับเขาเป็นอย่างมาก ในนามวงแรท แพ็ก (Rat Pack) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 เป็นต้นมา นับเป็นช่วงที่ซินาตรากลับสู่กระแสนิยมอีกครั้ง เขาเล่นภาพยนตร์เรื่อง ชั่วนิรันดร (From Here to Eternity) ซึ่งทำให้เขาได้รางวัลออสการ์และรางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ซินาตราได้ออกอัลบั้มที่ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์มากมาย ได้แก่ Wee Small Hours (1955), Songs for Swingin’ Lovers! (1956), Come Fly with Me (1958), Only the Lonely (1958) และ Nice ‘n’ Easy (1960)

ซินาตราออกจากค่ายแคปิตอล ในปี ค.ศ. 1960 แล้วออกไปเปิดค่ายเพลงของตัวเองในชื่อ รีพรีซเรคอร์ด (Reprise Records) พร้อมกับออกอัลบั้มแรกซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ในปี ค.ศ. 1965 เขาบันทึกเสียงอัลบั้ม September of My Years ซึ่งได้รับรางวัลเอ็มมีจากรายการ Frank Sinatra: A Man and His Music และมีเพลงฮิตที่โด่งดังอย่าง “Strangers in the Night” และ “My Way”

ต่อมาเขาได้ออกอัลบั้ม Sinatra at the Sands ซึ่งทำการอัดเสียงที่แซนด์สโฮเทลแอนด์คาสิโน ในลาสเวกัส ร่วมกับเคาท์ เบซี ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1966 หนึ่งปีต่อจากนั้นเขาก็ได้ร่วมงานกับอังโตนีอู การ์ลูช โชบิง หนึ่งในผู้บุกเบิกแนวบอสซาโนวา คนสำคัญ ในอัลบั้ม Francis Albert Sinatra & Antonio Carlos Jobim ต่อมาก็ออกอัลบั้มร่วมกับดุค เอลลิงตัน ในอัลบั้ม Francis A. & Edward K. ปี ค.ศ. 1968 ซินาตราได้เกษียณตัวเองเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1971 แต่ก็กลับสู่วงการอีกครั้งใน 2 ปีต่อมา และได้ออกอัลบั้มมากมาย รวมถึงแสดงสดต่อที่โรงแรมซีซาร์พาเรส ซึ่งเขาใช้ลาสเวกัสเป็นฐานเรื่อยมา นอกจากนี้เขาก็ยังร่วมทัวร์ทั้งในและนอกสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1998

ซินาตราประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการภาพยนตร์ ภายหลังจากเขาได้รับรางวัลออสการ์จากเรื่อง ชั่วนิรันดร เขาก็ได้รับบทนำในเรื่อง The Man with the Golden Arm (1955) และต่อมาในเรื่อง The Manchurian Candidate (1962) เขายังเล่นถาพยนตร์แนวภาพยนตร์เพลงอีกหลายเรื่องเช่น On the Town (1949), Guys and Dolls (1955), High Society (1956) และ Pal Joey (1957) ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำในเวลาต่อมา

ในช่วงท้าย ๆ ของการเล่นภาพยนตร์ เขารับบทเป็นจารชนในภาพยนตร์ Tony Rome (1967) จนได้รางวัลลูกโลกทองคำเซซิลบี. เดอมิลล์ (Golden Globe Cecil B. DeMille Award) ในปี ค.ศ. 1971 ในงานโทรทัศน์ ซินาตราได้เริ่มรายการ เดอะแฟรงก์ ซินาตราโชว์ ออกอากาศผ่านช่องเอบีซีครั้งแรกในปี ค.ศ. 1950 และดำเนินการเรื่อยมาในช่วงทศวรรษ 1950 จนถึง 1960 ซินาตรายังมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับอิทธิพลด้านมืดอย่างมาเฟีย รวมถึงการเมืองอเมริกันเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1940 เป็นต้นมา เขาได้ออกแคมเปญสนับสนุนประธานาธิบดีหลายคน ทั้ง แฮร์รี เอส. ทรูแมน จอห์น เอฟ. เคนเนดี และโรนัลด์ เรแกน แต่ถึงอย่างไรก็ดีจากการเสียชีวิตของเคนเนดี ก็ทำให้สายอิทธิพลมาเฟีย ของเขาสั่นคลอน

ซินาตรา ไม่เคยเรียนวิชาดนตรีมาก่อน เขาไม่สามารถอ่านโน้ตดนตรีได้ แต่เขาก็สามารถเข้าใจและปรับรูปแบบการร้องให้เป็นธรรมชาติได้อย่างดี เขาทำงานหนักมาตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นจุด ๆ หนึ่งที่ผลักดันให้เขาเรียนรู้ทักษะ ในรูปแบบลักษณะดนตรีต่าง ๆ เขากลายเป็นที่จดจำด้วยการแต่งกายสะอาด เนี้ยบไร้ที่ติ และมักร่วมงานกับวงดนตรีของเขาเสมอ นอกจากนี้ด้วยดวงตาที่ฟ้าอันโดดเด่นของเขา จึงได้รับฉายา “Ol’ Blue Eyes”

แฟรงก์ ซินาตรา คู่สมรส

ชีวิตส่วนตัวของซินาตรานั้นเต็มไปด้วยสีสัน เขามีความสัมพันธ์กับเซเลบผู้หญิงหลายคน ไม่ว่าจะเป็นภรรยาคนที่สองของเขา เอวา การ์ดเนอร์ ในปี ค.ศ. 1966 ก็แต่งงานกับมีอา ฟาร์โรว์ และภรรยาคนสุดท้ายของเขา บาร์บารา ซินาตรา ในปี ค.ศ. 1976 บุคคลิกของซินาตรานั้นเป็นคนอารมณ์ร้าย ด้วยการมีเรื่องกับนักข่าว รวมถึงหัวหน้างานหลายครั้ง ในปี ค.ศ. 1983 เขาได้รับการยกย่องสู่เกียรติยศเคเนดีเซนเตอร์ ได้รับเหรียญอิสรภาพประธานาธิบดี จากประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ในปี ค.ศ. 1985 และเหรียญทองคำสภาคอนเกรส ในปี ค.ศ. 1997 ซินาตราได้รับรางวัลแกรมมีมาแล้ว 11 ครั้ง ภายหลังจากเขาเสียชีวิต โรเบิร์ต คริสต์เกา (Robert Christgau) ก็ได้เชิดชูเขาให้เป็น “นักร้องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20” และภาพลักษณ์ของซินาตราก็ยังคงตราเป็นสัญลักษณ์มาจวบจนทุกวันนี้

Alinda C.

ฉันเชื่อว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจความเป็นมาของสังคมและโลก ประวัติศาสตร์ทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของเสรีภาพและความเท่าเทียมกัน ทำให้เราเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีต เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยเดิม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button