วันนี้ในอดีต

30 พฤษภาคม ฟรองซัวส์ มารี อารูเอต์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสเสียชีวิต

30 พฤษภาคม 2317 ฟรองซัวส์ มารี อารูเอต์ (Francois Marie Arouet) เจ้าของนามปากกา วอลแตร์ (Voltaire) นักประพันธ์และนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสในช่วงศตวรรษที่ 18 เสียชีวิต

ฟรองซัวส์ มารี อารูเอต์

ฟรองซัวส์ มารี อารูเอต์ (Francois Marie Arouet) เจ้าของนามปากกา วอลแตร์ (Voltaire) นักประพันธ์และนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสในช่วงศตวรรษที่ 18 เสียชีวิต วอลแตร์เกิดที่ปารีสเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2237 ในตระกูลคนชั้นกลาง เรียนหนังสือที่วิทยาลัย หลุยส์ เลอ กรองด์ (College Louis-le-Grand) จากนั้นได้เรียนกฎหมายเพิ่มเติม

เริ่มทำงานเป็นทนายความ ในวัยหนุ่ม เขาคบหาสมาคมกับปัญญาชนในกรุงปารีส และได้เริ่มประพันธ์งานประเภทบทละคร และโคลงกลอนเสียดสีผู้มีอำนาจ และความงมงายทางศาสนา จนถูกจำคุก

หลังจากเป็นอิสระเขาได้เขียนบทละครถวาย พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 (Louis XV of France) เป็นที่ถูกพระทัย จึงได้รับอุปถัมภ์เข้าเป็นกวีประจำราชสำนัก แต่เขาก็ไปมีเรื่องวิวาทกับขุนนางผู้หนึ่ง จึงต้องลี้ภัยไปอังกฤษอยู่สองปี ทำให้เขาประทับใจสังคมอังกฤษที่มีการคานอำนาจกันอย่างดี ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับรัฐสภา ส่งผลให้บ้านเมืองมีบรรยากาศของเสรีภาพมากกว่าในฝรั่งเศส

เมื่อกลับมาเขาจึงเขียนผลงานสำคัญเล่มแรก Lettres Anglaises (จดหมายจากอังกฤษ) ตีพิมพ์ในปี 2277 ส่งให้วอลแตร์มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการนักเขียนและปัญญาชน ในบั้นปลายชีวิต วอลแตร์ได้ซื้อปราสาทหลังหนึ่งใกล้พรมแดนสวิตเซอร์แลนด์ และปักหลักอยู่ที่นั่นนานถึง 20 ปีเศษ

ในปี 2321 วอลแตร์เดินทางกลับมาเยือนกรุงปารีส ตามคำเชิญของราชบัณฑิตยสภา เขาได้รับการต้อนรับจากประชาชนอย่างยิ่งใหญ่ และได้จากโลกไปในปีนั้นเอง ผลงานที่สำคัญคือนิทานปรัชญาเรื่อง ก็องดิดด์ (Candide ou L’optimisme) ซาดิก (Zadig) ทั้งสองเล่มเป็นนิยายผจญภัยแนวเสียดสีสังคม

วอลแตร์เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งในความเคลื่อนไหวของ ยุคแสงสว่างทางปัญญา (Age of Enlightenment) ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 18 ซึ่งเน้นการใช้หลักเหตุผลตามแบบวิทยาศาสตร์ มาใช้วิเคราะห์วิจารณ์การปกครอง สถาบันศาสนา ระบบเศรษฐกิจ และขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีมาช้านาน อีกทั้งยังเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ให้แก่ประชาชน ความคิดและผลงานของเขานำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและศาสนา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “การปฏิวัติฝรั่งเศส” (French Revolution) ในช่วงปี 2332-2333

อ่านต่อ

Alinda C.

ฉันเชื่อว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจความเป็นมาของสังคมและโลก ประวัติศาสตร์ทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของเสรีภาพและความเท่าเทียมกัน ทำให้เราเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีต เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยเดิม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button