รีวิวหนัง-ซีรีส์

[รีวิว-เรื่องย่อ] Believe: The Ultimate Battle (2025)

  • Believe: The Ultimate Battle เป็นหนังแอ็คชั่นดราม่าอินโดนีเซียที่เล่าเรื่องของอากุส ชายหนุ่มที่สานต่อมรดกของบิดาที่เป็นทหารผ่านศึก Operation Seroja
  • การแสดงของอาจิล ดิตโตและอาดินดา โทมัสเป็นจุดเด่นที่ช่วยยกระดับหนังด้วยการถ่ายทอดอารมณ์และความสัมพันธ์ที่สมจริง
  • ฉากแอ็คชั่นบนสมรภูมิรบมีความละเอียดและสมจริง แต่อาจยาวเกินไปในบางจุด ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหนื่อย
  • หนังมีจุดอ่อนในเรื่องการพัฒนาตัวละครและพล็อตที่มีช่องว่าง แต่ยังคงเป็นหนังที่น่าดูอย่างน้อยหนึ่งครั้งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบหนังแอ็คชั่นดราม่าที่เต็มไปด้วยอารมณ์

เคยรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อต้องเติบโตขึ้นมาโดยไม่มีพ่ออยู่เคียงข้าง? การขาดพ่อแม่ในวัยเด็กอาจส่งผลต่อชีวิตของเราได้อย่างมาก บางคนอาจหลงทางและกลายเป็นเด็กที่ไม่มีวินัย แต่บางคนกลับพบแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของบิดาที่ไม่เคยได้พบเห็น หนัง Believe: The Ultimate Battle (2025) นำเสนอเรื่องราวของชายหนุ่มชื่อ อากุส ที่เติบโตมาโดยไม่มีพ่อ จนกระทั่งเขาค้นพบความจริงเกี่ยวกับการเสียสละของบิดาที่เป็นทหารผ่านศึก Operation Seroja ในปี 1975 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา

หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงในประเทศอินโดนีเซีย โดยเล่าถึงการเดินทางของอากุสจากเด็กเกเรที่มีปัญหาไปสู่การเป็นทหารมืออาชีพที่พร้อมจะสานต่อมรดกของพ่อ ผู้กำกับ รอบี มันดรา (Rahabi Mandra) และ อาร์วิน ตรี วอร์ธานา (Arwin Tri Wardhana) นำทีมนักแสดงนำอย่าง อาจิล ดิตโต (Ajil Ditto) และ อาดินดา โทมัส (Adinda Thomas) มาถ่ายทอดเรื่องราวที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกและฉากแอ็คชั่นที่ระทึกใจบนสมรภูมิรบ

ในบทความนี้ เราจะพามาเจาะลึกทุกแง่มุมของหนังเรื่องนี้ ตั้งแต่เนื้อเรื่องที่สะเทือนอารมณ์ การแสดงที่น่าประทับใจ ไปจนถึงข้อดีข้อเสียที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าติดตามหรือไม่ มาดูกันว่า Believe: The Ultimate Battle จะเป็นหนังที่คุ้มค่ากับเวลาของเราหรือไม่

อากุส ซูบิยันโต เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่มีพ่อ ทำให้เขากลายเป็นวัยรุ่นที่ไม่มีวินัยและมีพฤติกรรมที่เกเร ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยปัญหา ทั้งเรื่องการเงินที่ขาดแคลนและความรู้สึกว่าขาดตัวตนของตัวเอง เขาไม่เคยรู้ว่าการมีพ่ออยู่เคียงข้างเป็นอย่างไร ครอบครัวของเขาต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดด้วยกำลังของแม่เพียงคนเดียว ชีวิตของอากุสดูเหมือนจะไม่มีทิศทางจนกระทั่งเขาค้นพบความจริงเกี่ยวกับบิดาของเขา

บิดาของอากุสคือ เซอร์สาน เดดี อูนาดี (Sersan Dedi Unadi) ทหารผ่านศึกที่เข้าร่วม Operation Seroja ในปี 1975 ซึ่งเป็นปฏิบัติการทางทหารของอินโดนีเซียในติมอร์ตะวันออก เขาสู้รบด้วยความกล้าหาญและเสียสละเพื่อชาติ แต่ในปี 1984 เขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ก่อนที่อากุสจะมีโอกาสได้รู้จักเขาอย่างแท้จริง เมื่ออากุสได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเสียสละและความกล้าหาญของบิดา เขารู้สึกได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากและตัดสินใจที่จะเดินตามรอยเท้าของพ่อ

อากุสตัดสินใจเข้ากองทัพอินโดนีเซียเพื่อสานต่อมรดกของบิดา แต่เส้นทางข้างหน้าไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เขาต้องเผชิญกับการฝึกที่หนักหน่วงและความท้าทายมากมาย ทั้งจากรุ่นพี่และเพื่อนร่วมงานที่มีความสงสัยในความสามารถของเขา ทุกย่างก้าวในกองทัพเต็มไปด้วยการทดสอบที่เขาต้องผ่านให้ได้เพื่อพิสูจน์คุณค่าของตัวเองในฐานะทหาร สนามรบเป็นการแข่งขัน และเขาต้องยืนหยัดเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นเพราะตอนนี้เขากำลังสานต่อมรดกของบิดา

ตลอดการเดินทาง อากุสได้พบกับ เอวี โซเฟีย อินดิรา แสดงโดยอาดินดา โทมัส ผู้หญิงที่กลายมาเป็นภรรยาและเป็นกำลังใจสำคัญในชีวิตของเขา เธอต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเป็นภรรยาทหารที่ต้องรอคอยและเป็นห่วงสามีที่ต้องออกไปปฏิบัติภารกิจอันตรายอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นอีกมิติหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีความสมจริงมากขึ้น

หนังนำเสนอฉากการต่อสู้บนสมรภูมิรบที่ดุเดือดและสมจริง อากุสต้องเผชิญกับ มิโร แสดงโดย มาร์ตีโน ลิโอ (Marthino Lio) สมาชิกของขบวนการ Fretilin ที่กลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา การต่อสู้ระหว่างพวกเขาไม่ได้เป็นเพียงการสู้รบทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อสู้ทางอุดมการณ์ระหว่างสองฝ่ายที่แต่ละคนเชื่อว่าตัวเองต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง

อาจิล ดิตโต (Ajil Ditto) ในบทอากุส ซูบิยันโต แสดงได้อย่างน่าเชื่อถือและมีพลัง เขาถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงของตัวละครจากวัยรุ่นที่ไม่มีทิศทางไปสู่ทหารที่มีวินัยและมีเป้าหมายชัดเจนได้อย่างสมจริง การแสดงของเขาในฉากที่ต้องฝึกอบรมอย่างหนักหน่วงและฉากแอ็คชั่นบนสนามรบแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและความสามารถในการเล่าเรื่องผ่านอารมณ์และภาษากาย ดิตโตสามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกับตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง

อาดินดา โทมัส (Adinda Thomas) ในบทเอวี โซเฟีย อินดิรา ภรรยาของอากุส แสดงได้อย่างงดงามในฐานะผู้หญิงที่แข็งแกร่งและเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญ การแสดงของเธอไม่ได้เป็นเพียงตัวละครรองที่รอคอยสามีกลับบ้านเท่านั้น แต่เธอยังถ่ายทอดความกลัว ความกังวล และความรักที่แท้จริงที่มีต่อสามีได้อย่างสมจริง โทมัสช่วยให้หนังเรื่องนี้มีมิติของชีวิตครอบครัวทหารที่ผู้ชมสามารถเข้าใจและซาบซึ้งได้

วัฟดา ไซฟาน ลูบิส (Wafda Saifan Lubis) ในบทเซอร์สาน เดดี อูนาดี บิดาของอากุส แม้จะปรากฏในหนังไม่มากนัก แต่การแสดงของเขาทิ้งความประทับใจไว้อย่างลึกซึ้ง เขาแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและการเสียสละของทหารที่ออกไปรบเพื่อชาติ การที่ตัวละครนี้ปรากฏในฉากย้อนอดีตและในความทรงจำของอากุสทำให้ผู้ชมเข้าใจถึงแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้อากุสเดินตามรอยเท้าของบิดา

มาร์ตีโน ลิโอ (Marthino Lio) ในบทมิโร ผู้นำของขบวนการ Fretilin แสดงได้อย่างน่าสนใจในฐานะตัวละครปฏิปักษ์ เขาไม่ได้เป็นเพียงคนร้ายที่มีมิติเดียว แต่เป็นผู้ที่มีอุดมการณ์และความเชื่อของตัวเอง การแสดงของลิโอทำให้ผู้ชมเห็นอีกมุมมองหนึ่งของความขัดแย้ง แม้ว่าหนังจะเล่าเรื่องจากมุมมองของฝ่ายอินโดนีเซีย

นักแสดงสมทบอย่าง เมาดี้ โคสนาเอดี้ (Maudy Koesnaedi) และ โยริโกะ แองเจลีน (Yoriko Angeline) ก็แสดงได้ดีในบทบาทของตัวเองและช่วยเติมเต็มเรื่องราวให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้หนังเรื่องนี้มีการแสดงที่หลากหลายและน่าติดตาม

หนัง Believe: The Ultimate Battle มีจุดเด่นหลายประการที่ทำให้น่าสนใจ ประการแรกคือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหลายคนโดยเฉพาะครอบครัวทหารหรือคนที่มีพ่อแม่ในกองทัพ เรื่องราวของการสานต่อมรดกและการเติบโตจากความยากลำบากเป็นธีมที่หลายคนสามารถเข้าใจและรู้สึกซาบซึ้งได้ การเล่าเรื่องแบบนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์และความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกแม้จะไม่เคยได้พบกัน

ฉากแอ็คชั่นบนสมรภูมิรบถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ ฉากต่อสู้ได้รับการออกแบบมาอย่างดีและมีความละเอียด แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงและอันตรายของสงคราม การถ่ายทำทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดและความเสี่ยงที่ทหารต้องเผชิญ ฉากเหล่านี้ทำให้หนังมีความสมจริงและน่าติดตามมากขึ้น

การแสดงของนักแสดงนำโดยเฉพาะอาจิล ดิตโตและอาดินดา โทมัสก็เป็นอีกจุดเด่นที่ช่วยยกระดับหนังเรื่องนี้ การแสดงที่มีอารมณ์และน่าเชื่อถือทำให้ผู้ชมเข้าใจและรู้สึกเห็นใจกับตัวละครได้ดี นักแสดงทั้งสองสามารถถ่ายทอดความรักและความเป็นห่วงในความสัมพันธ์ของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

นอกจากนี้ หนังยังแสดงให้เห็นถึงชีวิตที่สมบูรณ์ของทหารทั้งในสนามรบและในครอบครัว การนำเสนอมุมมองของภรรยาทหารที่ต้องรอคอยและเป็นห่วงสามีทำให้หนังมีความสมจริงและมีมิติที่หลากหลาย ผู้ชมจะได้เห็นไม่เพียงแค่ฉากแอ็คชั่น แต่ยังได้เห็นถึงผลกระทบทางอารมณ์และความเครียดที่ครอบครัวทหารต้องเผชิญ

อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ก็มีจุดอ่อนบางประการที่ควรกล่าวถึง ประการแรกคือการพัฒนาตัวละครที่ไม่เต็มที่โดยเฉพาะตัวละครของอากุสในช่วงต้นเรื่อง ชีวิตของเขาในวัยเยาว์ดูเหมือนจะไม่มีความลึกซึ้งเท่าที่ควร และมีคำถามหลายอย่างที่ยังไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจน เช่น ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องราวของบิดามาก่อน? ทำไมครอบครัวถึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง? ช่องว่างเหล่านี้ทำให้เรื่องราวดูไม่สมบูรณ์ในบางจุด

พล็อตมีช่องว่างในบางส่วนและการเล่าเรื่องไม่ได้ลื่นไหลตลอดทั้งเรื่อง บางฉากดูเหมือนจะขาดการเชื่อมโยงที่ชัดเจน และมีบางจุดที่ผู้ชมอาจรู้สึกสับสนเกี่ยวกับไทม์ไลน์หรือแรงจูงใจของตัวละคร การเขียนบทอาจต้องปรับปรุงให้มีความชัดเจนและสมเหตุสมผลมากขึ้น

อีกจุดอ่อนหนึ่งคือหนังยืดยาวในบางจุดโดยเฉพาะฉากแอ็คชั่นที่แม้จะดีและมีรายละเอียด แต่กลับยาวเกินไปจนอาจทำให้ผู้ชมรู้สึกเหนื่อย ความยาวของหนังอยู่ที่ 1 ชั่วโมง 52 นาที ซึ่งอาจรู้สึกนานเกินไปสำหรับผู้ชมบางคนที่ไม่คุ้นเคยกับหนังแนวนี้ การตัดต่อให้กระชับและมีจังหวะที่ดีขึ้นอาจช่วยแก้ปัญหานี้ได้

สุดท้าย หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องจากมุมมองของฝ่ายอินโดนีเซียเป็นหลัก ซึ่งอาจทำให้บางคนรู้สึกว่าการนำเสนอไม่สมดุลและไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อย่างครบถ้วน Operation Seroja เป็นเหตุการณ์ที่มีความขัดแย้งและซับซ้อนทางประวัติศาสตร์ และผู้ชมควรมีความเข้าใจว่าหนังเรื่องนี้นำเสนอมุมมองเพียงด้านเดียวเท่านั้น

ผู้กำกับ รอบี มันดรา (Rahabi Mandra) และ อาร์วิน ตรี วอร์ธานา (Arwin Tri Wardhana) นำเสนอวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการเล่าเรื่องราวนี้ พวกเขาสามารถสร้างบรรยากาศของสงครามที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและอันตรายได้เป็นอย่างดี การกำกับในฉากแอ็คชั่นแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในการสร้างฉากต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นและสมจริง

ผู้กำกับภาพ ปัดรี นาเดียก (Padri Nadeak) ช่วยสร้างภาพที่สวยงามและมีความหมาย การถ่ายทำในฉากสนามรบแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายและความวุ่นวายของสงคราม ในขณะที่ฉากที่บ้านแสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นและความรักในครอบครัว การใช้แสงและสีช่วยสร้างอารมณ์ในแต่ละฉากได้อย่างเหมาะสม

การออกแบบฉากโปรดักชันและเครื่องแต่งกายได้รับการดูแลอย่างดี โดยเฉพาะเครื่องแบบทหารและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ดูสมจริงและเป็นมืออาชีพ การสร้างสรรค์ฉากสนามรบและฉากการฝึกอบรมทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ถึงความเป็นจริงของชีวิตทหาร

เสียงประกอบและดนตรีช่วยเสริมบรรยากาศและอารมณ์ของเรื่องราวได้ดี ดนตรีในฉากแอ็คชั่นช่วยเพิ่มความตื่นเต้น ในขณะที่ดนตรีในฉากอารมณ์ช่วยสร้างความซาบซึ้งและความรู้สึกเศร้า การใช้เสียงประกอบในฉากต่อสู้ช่วยให้ผู้ชมรู้สึกได้ถึงความรุนแรงของสงคราม

หนัง Believe: The Ultimate Battle มีธีมหลักเกี่ยวกับการสานต่อมรดกและการค้นหาตัวตนผ่านเรื่องราวของบรรพบุรุษ เรื่องราวของอากุสแสดงให้เห็นว่าการรู้จักประวัติศาสตร์ของครอบครัวและการเสียสละของบิดาสามารถเป็นแรงบันดาลใจที่ทรงพลังในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนๆ หนึ่ง การที่เขาเปลี่ยนจากวัยรุ่นที่ไม่มีทิศทางไปสู่ทหารที่มีเป้าหมายชัดเจนแสดงให้เห็นถึงพลังของการมีแบบอย่างที่ดี

อีกธีมหนึ่งคือความกล้าหาญและการเสียสละของทหาร หนังแสดงให้เห็นว่าทหารไม่ได้เป็นเพียงผู้ที่ออกไปรบเท่านั้น แต่พวกเขายังเสียสละเวลากับครอบครัวและต้องเผชิญกับอันตรายที่อาจทำให้พวกเขาไม่ได้กลับบ้าน ความรักและความเป็นห่วงของภรรยาที่ต้องรอคอยสามีกลับมาก็เป็นส่วนหนึ่งของการเสียสละนี้

หนังยังสื่อถึงความสำคัญของความเชื่อในตัวเองและการมุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมาย อากุสต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายในกองทัพ แต่เขาไม่ยอมแพ้และพยายามพิสูจน์ตัวเองอยู่เสมอ ข้อความนี้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับผู้ชมที่กำลังเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต

นอกจากนี้ หนังยังแสดงให้เห็นถึงความรักต่อชาติและความภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพที่ปกป้องประเทศ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงและอันตราย แต่ทหารยังคงทำหน้าที่ด้วยความทุ่มเทและความมุ่งมั่น ข้อความนี้อาจจะสะท้อนกับผู้ชมที่มีความรู้สึกรักชาติและต้องการเห็นเรื่องราวของวีรบุรุษของชาติ

Believe: The Ultimate Battle (2025) เป็นหนังแอ็คชั่นดราม่าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกและฉากการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น หนังเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ชมที่ชื่นชอบเรื่องราวเกี่ยวกับการสานต่อมรดก ความกล้าหาญของทหาร และความรักในครอบครัว การแสดงของนักแสดงนำโดยเฉพาะอาจิล ดิตโตและอาดินดา โทมัสเป็นจุดเด่นที่ทำให้หนังน่าติดตามและมีอารมณ์

แม้ว่าหนังจะมีจุดอ่อนบางประการ เช่น การพัฒนาตัวละครที่ไม่เต็มที่ พล็อตที่มีช่องว่าง และความยาวที่อาจมากเกินไปในบางจุด แต่จุดเด่นของหนังก็ช่วยชดเชยข้อบกพร่องเหล่านี้ได้ ฉากแอ็คชั่นที่สมจริงและการแสดงที่น่าเชื่อถือทำให้หนังเรื่องนี้ยังคงเป็นหนังที่น่าดูอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

สำหรับผู้ชมที่ชื่นชอบหนังแอ็คชั่นที่มีเนื้อหาลึกซึ้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของครอบครัวและการเสียสละ หนังเรื่องนี้จะไม่ทำให้ผิดหวัง หากชื่นชอบหนังที่เล่าเรื่องราวของทหารและความกล้าหาญบนสนามรบ Believe: The Ultimate Battle เป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากต้องการหนังที่มีพล็อตที่แน่นและตัวละครที่พัฒนาอย่างสมบูรณ์ อาจจะต้องปรับความคาดหวังลงมาบ้าง

โดยรวมแล้ว นี่เป็นหนังที่มีความตั้งใจดีในการเล่าเรื่องราวของวีรบุรุษที่ถูกลืมและการสานต่อมรดกของบรรพบุรุษ มันเป็นหนังที่จะทำให้ผู้ชมได้คิดถึงความสำคัญของครอบครัว ความกล้าหาญ และการเสียสละเพื่อสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเรา หากมีโอกาส ลองดูหนังเรื่องนี้และแชร์ความคิดเห็นกันในคอมเมนต์ว่าหนังเรื่องนี้ทำให้รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการสานต่อมรดกและความรักในครอบครัว อย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่ชื่นชอบหนังแอ็คชั่นที่เต็มไปด้วยอารมณ์!

  • ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ: Believe: The Ultimate Battle
  • ชื่อเรื่องต้นฉบับ: Believe: Takdir, Mimpi, Keberanian
  • ประเภท: แอ็คชั่น, ดราม่า, สงคราม, ประวัติศาสตร์
  • วันที่ออกฉาย: 24 กรกฎาคม 2025 (อินโดนีเซีย), 9 ตุลาคม 2025 (มาเลเซีย)
  • นักแสดงนำ: อาจิล ดิตโต (Ajil Ditto), อาดินดา โทมัส (Adinda Thomas), วัฟดา ไซฟาน ลูบิส (Wafda Saifan Lubis), มาร์ตีโน ลิโอ (Marthino Lio), เมาดี้ โคสนาเอดี้ (Maudy Koesnaedi), โยริโกะ แองเจลีน (Yoriko Angeline)
  • ผู้กำกับ: รอบี มันดรา (Rahabi Mandra), อาร์วิน ตรี วอร์ธานา (Arwin Tri Wardhana)
  • ความยาว: 1 ชั่วโมง 52 นาที (112 นาที)
  • เรตติ้ง IMDb: 6.3/10
  • ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix

กดเพื่ออ่านต่อ

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button