รีวิวหนัง-ซีรีส์

[รีวิว-เรื่องย่อ] Call Me Dad (2025) หนังคอมเมดี้ดราม่าครอบครัวสุดฮา

  • Call Me Dad เป็นหนังคอมเมดี้ดราม่าที่เล่าเรื่องคนเก็บหนี้สองคนต้องดูแลเด็กหญิงที่ถูกทิ้งไว้เป็นหลักประกันหนี้ มีความตลกขบขันผสมผสานกับความอบอุ่นของครอบครัวที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด
  • การแสดงของนักแสดงทั้งสามคนมีเคมีที่ดี โดยเฉพาะ Myesha Lin ที่แสดงบทเด็กหญิงได้อย่างน่าประทับใจและสมจริง ทำให้เรื่องราวมีน้ำหนักทางอารมณ์
  • หนังมีจุดแข็งในเรื่องอารมณ์ขันและการถ่ายทอดอารมณ์ความเป็นครอบครัวที่จริงใจ แต่มีจุดอ่อนในการเปลี่ยนโทนที่กะทันหันและการเล่าเรื่องที่มีทางลัดบางอย่าง
  • หนังสื่อถึงความหมายของครอบครัวที่ไม่จำเป็นต้องมาจากสายเลือด แต่มาจากความห่วงใยและการพยายามดูแลซึ่งกันและกัน แม้จะไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม

เคยคิดไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนเก็บหนี้สองคนที่ไม่มีประสบการณ์เรื่องการเลี้ยงดูเด็กเลย ต้องมารับผิดชอบเด็กหญิงคนหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้เป็นหลักประกัน? หนัง Call Me Dad (2025) พาเราไปสัมผัสกับเรื่องราวที่ฟังดูแปลกประหลาดแต่กลับน่าติดตาม ด้วยการผสมผสานระหว่างความตลกขบขันกับความอบอุ่นของครอบครัวที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด

หนังเรื่องนี้ไม่ใช่ดราม่าครอบครัวแบบเรียบร้อยหรืออบอุ่นหวานชื่นอย่างที่ชื่อเรื่องอาจทำให้นึกถึง แต่เป็นหนังที่มีความหยาบกร้าน สับสน แต่ก็มีความน่ารักในแบบของมันเอง บางครั้งก็ดูไร้สาระจนน่าหัวเราะ แต่กลับทำให้เราอยากติดตามต่อว่าตัวละครเหล่านี้จะรับมือกับสถานการณ์อย่างไร แม้จะรู้สึกหงุดหงิดกับการตัดสินใจที่แย่ๆ ของพวกเขาก็ตาม แนวคิดหลักของหนังฟังดูเหมือนมีคนท้าให้นักเขียนบทสร้างเรื่องราวที่อบอุ่นหัวใจจากสถานการณ์ที่ผิดจรรยาบรรณ นั่นคือการใช้เด็กเป็นหลักประกันหนี้ และการที่คนเก็บหนี้สองคนต้องทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบอย่างกะทันหัน

ในบทความนี้ เราจะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุมของหนังเรื่องนี้ ตั้งแต่การแสดงที่น่าประทับใจของนักแสดงนำ ไปจนถึงข้อดีข้อเสียของบทภาพยนตร์และการกำกับ มาดูกันว่า Call Me Dad จะพาเราไปสัมผัสกับความหมายของ ครอบครัว ที่เกิดจากความบังเอิญได้อย่างไร

รีวิวและเรื่องย่อ Call Me Dad

Call Me Dad เล่าเรื่องของคนเก็บหนี้สองคน แสดงโดย Ringgo Agus Rahman และ Boris Bokir Manullang ที่ต้องดูแลเด็กหญิงคนหนึ่งหลังจากพ่อแม่ของเธอทิ้งเธอไว้เป็นหลักประกันหนี้ ทั้งสองคนนี้ไม่มีความพร้อมอะไรเลยสำหรับการเป็นพ่อเลี้ยง พวกเขาเป็นเหมือนคนที่เคยค้นหาใน Google ว่า “วิธีต้มน้ำ” แล้วยังทำผิดได้ ความสัมพันธ์ที่สับสนวุ่นวายของทั้งสองคนกลายเป็นหัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้ คนหนึ่งพยายามทำตัวเคร่งครัด อีกคนพยายามทำตัวเท่ แต่ทั้งคู่ก็ล้มเหลวในทุกอย่างอย่างน่ารัก

การทะเลาะกัน ความตื่นตระหนก และการทำผิดพลาดในหน้าที่ความรับผิดชอบพื้นฐาน เป็นสิ่งที่พวกเขาทำได้อย่างชำนาญ แต่ภายใต้ความงุ่มง่ามทั้งหมดนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่ค่อยๆ พัฒนาไปสู่ความห่วงใยที่แท้จริง มันอาจไม่ได้สวยงามหรือราบรื่น แต่กลับรู้สึกจริงใจและน่าเชื่อถือ การที่พวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนจากคนที่แค่ดูแลเพราะจำเป็น มาเป็นคนที่เริ่มใส่ใจอย่างแท้จริง เป็นจุดเด่นที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าติดตาม

เด็กหญิงที่อยู่ตรงกลางของเรื่องราวทั้งหมดนี้ แสดงโดย Myesha Lin เป็นผู้ให้น้ำหนักทางอารมณ์แก่หนัง เธอไม่ได้ถูกเขียนให้เป็นตัวละครที่น่าสงสารแบบมิติเดียว หรือเป็นเด็กวิเศษที่เปลี่ยนผู้ดูแลของเธอได้ในทันที แต่เธอตอบสนองเหมือนเด็กธรรมดาที่ถูกโยนเข้าไปในสถานการณ์แปลกประหลาด มีความระแวงใจ มีอารมณ์ขัน และบางครั้งก็มีความหวัง การปรากฏตัวของเธอทำให้เรื่องราวมีความสมจริงมากขึ้น และดึงชายทั้งสองคนออกจากโซนสบายที่ยังไม่โตเต็มที่ ให้ก้าวเข้าสู่การเป็น ผู้ใหญ่ ที่แท้จริง แม้จะเป็นเวอร์ชันที่งุ่มง่ามและเรียนรู้ไปทีละขั้นก็ตาม

นักแสดงทั้งสามคนมีเคมีที่ลงตัวและสร้างความน่าสนใจให้กับหนังเรื่องนี้ Ringgo Agus Rahman แสดงได้อย่างมีเสน่ห์ในบทคนเก็บหนี้ที่พยายามทำตัวเป็นผู้นำแต่กลับงุ่มง่ามในทุกเรื่อง ในขณะที่ Boris Bokir Manullang สร้างความสนุกสนานด้วยบุคลิกที่พยายามจะดูเท่แต่กลับตลกขบขัน ทั้งคู่มีพลังและจังหวะการแสดงที่เข้ากันได้ดี ทำให้ฉากที่พวกเขาทะเลาะกันหรือพยายามแก้ปัญหาต่างๆ ดูน่ารักและตลกในเวลาเดียวกัน

Myesha Lin แสดงได้อย่างน่าประทับใจสำหรับนักแสดงเด็ก เธอไม่ได้แสดงแบบเกินจริงหรือพยายามทำตัวน่ารักเกินไป แต่กลับถ่ายทอดความเป็นเด็กที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากได้อย่างสมจริง ไม่ว่าจะเป็นความระแวงใจในตอนแรก ความหงุดหงิดกับพฤติกรรมงุ่มง่ามของผู้ดูแล หรือความอบอุ่นที่เริ่มค่อยๆ เกิดขึ้น เธอทำให้ตัวละครมีชีวิตและน่าเชื่อถือ

ช่วงเวลาที่หนังสัมผัสใจที่สุดคือเมื่อมันเรียบง่ายและไม่ได้พยายามเกินไป ท่าทีเล็กๆ น้อยๆ เช่น การรับประทานอาหารด้วยกัน การนั่งรถเงียบๆ หรือการทะเลาะกันเพื่อปกป้องกัน ล้วนพูดได้ดีกว่าฉากดราม่าใหญ่ๆ ที่พยายามเกินไป มีจังหวะที่จริงใจ อึดอัด และอบอุ่นที่แสดงให้เห็นว่าทั้งสามคนกำลังพยายามหาคำตอบว่าการเป็นส่วนหนึ่งของที่ไหนสักแห่งหมายความว่าอย่างไร ความรักที่สับสน ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ และไม่สมบูรณ์แบบระหว่างพวกเขา กลับเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเรื่องราวได้ดีกว่าบทสนทนาใดๆ เกี่ยวกับ “การทำในสิ่งที่ถูกต้อง”

อารมณ์ขัน เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่แข็งแกร่งที่สุดของหนังเรื่องนี้ เมื่อมันโดนใจก็โดนใจมากจริงๆ โดยเฉพาะฉากที่คนเก็บหนี้ทั้งสองพยายามทำหน้าที่ พ่อเลี้ยง ด้วยความสามารถเทียบเท่าหุ่นยนต์ที่ทำงานผิดพลาดสองตัว การดูพวกเขาพยายามรับมือกับกฎของโรงเรียน กลยุทธ์การลงโทษ หรือแม้แต่การซื้อของชำ เป็นเรื่องที่ทำให้ผ่อนคลายได้หากชอบดูผู้ใหญ่ล้มเหลวอย่างไม่เป็นอันตราย ฉากที่พวกเขาพยายามทำอาหาร หรือช่วยเด็กทำการบ้าน หรือแก้ปัญหาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่กลายเป็นเรื่องใหญ่ ล้วนสร้างเสียงหัวเราะได้อย่างเป็นธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกมุกตลกที่จะทำงานได้ดี บางครั้งอารมณ์ขันพยายามหนักเกินไป หรืออยู่นานเกินกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ขัดจังหวะกับจังหวะทางอารมณ์ของเรื่อง มีบางฉากที่รู้สึกว่ามุกตลกถูกยัดเยียดเข้ามา แม้ว่าช่วงเวลานั้นควรจะเป็นช่วงที่จริงจังมากกว่า การหาสมดุลระหว่างความตลกกับความจริงจังยังไม่สมบูรณ์แบบทุกครั้ง

เรื่องของโทนของหนัง เป็นจุดที่หนังเรื่องนี้มีปัญหาเล็กน้อย มันพยายามผสมผสานความเป็นจริงที่หยาบกร้าน อารมณ์ขันสีเข้ม และช่วงเวลาครอบครัวที่อบอุ่นหัวใจ และแม้ว่าส่วนใหญ่จะทำได้สำเร็จ แต่ก็มีบางฉากที่การเปลี่ยนแปลงรู้สึกกะทันหันเกินไป การสนทนาที่อบอุ่นหัวใจอาจถูกตามมาด้วยจังหวะคอมเมดี้ที่ไม่จำเป็น หรือช่วงเวลาที่หนักอาจเปลี่ยนไปเป็นซับพล็อตที่ไม่ได้เพิ่มอะไรมากนัก การขัดจังหวะเหล่านี้บางครั้งทำให้ความตึงเครียดทางอารมณ์ที่หนังพยายามสร้างขึ้นมาลดลง

ตัวอย่างเช่น อาจมีฉากที่ตัวละครกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่และมีการสนทนาที่ลึกซึ้ง แต่แล้วฉากถัดไปกลับกลายเป็นการทำอาหารที่ล้มเหลวอย่างตลกขบขัน ซึ่งทำให้รู้สึกว่าหนังไม่แน่ใจว่าต้องการจะเป็นคอมเมดี้หรือดราม่ามากกว่ากัน การมีความหลากหลายไม่ใช่สิ่งเลว แต่การเชื่อมโยงระหว่างจังหวะต่างๆ ให้ราบรื่นยังเป็นสิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำได้ไม่ดีพอ

เรื่องของภาพ หนังเรื่องนี้เน้นไปที่ความสมจริงด้วยโทนสีที่เรียบๆ และพื้นที่ที่แคบและดูมีคนอาศัยอยู่จริงๆ มันไม่ได้พยายามทำให้สภาพแวดล้อมของตัวละครดูสวยงามหรูหรา แต่กลับแสดงให้เห็นความหยาบกร้านของชีวิตพวกเขา ซึ่งทำให้ ชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขามีผลกระทบที่แข็งแกร่งขึ้น บ้านที่พวกเขาอาศัยดูเหมือนบ้านจริงๆ ที่มีความยุ่งเหยิง มีของเก่าๆ และไม่ได้ถูกจัดแต่งให้สวยงาม ร้านอาหารที่พวกเขาไป ถนนที่เดิน ล้วนดูเป็นธรรมชาติและไม่ปลอมตัว

การกำกับมีลักษณะที่ใช้งานได้จริงมากกว่าที่จะโอ่อ่าหรูหรา โดยเน้นไปที่การโต้ตอบระหว่างตัวละครมากกว่าการสร้างฉากภาพยนตร์ใหญ่โต มันเหมาะสมกับเรื่องราว แม้ว่าบางฉากอาจได้ประโยชน์จากการตัดต่อที่กระชับขึ้น หรือการเน้นที่ชัดเจนขึ้นก็ตาม มีบางช่วงที่ฉากยืดเยื้อไปนานกว่าที่ควรจะเป็น หรือบางฉากที่อาจจะถูกตัดออกได้โดยไม่ทำให้เสียความหมายของเรื่อง

ทางลัดในการเล่าเรื่อง บางอย่างเป็นสิ่งที่ทำให้หนังด้อยลง การตัดสินใจของตัวละครบางอย่างมารวมกันได้อย่างสะดวกเกินไป ราวกับว่าบทภาพยนตร์นึกขึ้นได้ในนาทีสุดท้ายว่าต้องการขับเคลื่อนเรื่องราวไปข้างหน้า ซับพล็อตบางอย่างปรากฏขึ้นมาสั้นๆ แล้วหายไปโดยไม่มีการจบ ทำให้เหลือปลายเรื่องที่รู้สึกเหมือนเป็นโอกาสที่พลาดไป และบางครั้ง หนังรีบเร่งผ่านส่วนของการพัฒนาตัวละครที่ควรจะได้รับเวลามากกว่านี้

ตัวอย่างเช่น การที่ตัวละครเปลี่ยนจากไม่สนใจเป็นห่วงใยอย่างลึกซึ้ง บางครั้งเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนรู้สึกไม่น่าเชื่อถือเท่าที่ควร หรือการแก้ปัญหาบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคใหญ่ กลับถูกแก้ไขได้ง่ายๆ ในฉากเดียว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำลายหนังทั้งหมด แต่ทำให้รู้สึกว่าบทภาพยนตร์อาจจะได้ประโยชน์จากการพัฒนาเพิ่มเติมอีกนิด

ถึงแม้จะมีข้อบกพร่อง Call Me Dad ก็ทำงานได้ดีเพราะมันไม่ได้แกล้งทำเป็นว่ามีคำตอบทุกอย่าง มันไม่ได้แก้ไขคนที่มีปัญหาได้อย่างมหัศจรรย์ หรือจัดการกับสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงที่พาพวกเขามารวมกันได้อย่างเรียบร้อย แต่มันแสดงให้เห็นว่ามันเป็นอย่างไรเมื่อสามคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ด้วยกัน พยายาม—อย่างอึดอัด อย่างดื้อดึง และบางครั้งก็ตลกขบขัน—ที่จะสร้างบางอย่างที่คล้ายกับครอบครัว ความพยายามนั้น ไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่เป็น กลายเป็นองค์ประกอบที่น่าสนใจที่สุดของหนังเรื่องนี้

หนังเรื่องนี้สื่อถึงความหมายของครอบครัวที่ไม่จำเป็นต้องมาจากสายเลือด แต่มาจากความห่วงใย การยอมรับ และการพยายามดูแลซึ่งกันและกัน แม้ว่าจะงุ่มง่ามและไม่รู้จะทำอย่างไรก็ตาม มันแสดงให้เห็นว่าการเป็นพ่อแม่หรือผู้ดูแลไม่ได้หมายความว่าต้องสมบูรณ์แบบ แต่หมายถึงการพยายามทำให้ดีที่สุดด้วยสิ่งที่มี และเรียนรู้จากความผิดพลาด

เมื่อจบลง ไม่มีอะไรที่ถูกห่อหุ้มด้วยโบว์ที่เรียบร้อย ปัญหายังคงมีอยู่ ผลที่ตามมายังคงรออยู่ และไม่มีตัวละครใดกลายเป็นเวอร์ชันที่ฉลาดและหายดีของตัวเองอย่างกะทันหัน แต่มีความหวัง อยู่ เป็นความหวังเล็กๆ ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งรู้สึกว่าได้มาจากการสั่งสมมากกว่าการสร้างขึ้นมา และนั่นเองที่ทำให้การเดินทางนี้คุ้มค่า

Call Me Dad ไม่ใช่หนังที่ราบรื่นหรือประณีตที่สุด แต่มันมีหัวใจ มีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ และมีความเต็มใจที่จะยอมรับความแปลกประหลาดของมันเอง เราหัวเราะ หวิวไปตามสถานการณ์ และบางครั้งก็พึมพำว่า “ทำไมถึงทำแบบนี้?” กับตัวละคร แต่ก็ยังคงห่วงใยพวกเขา ถ้ากำลังมองหาบทเรียนศีลธรรมที่เรียบร้อย หนังเรื่องนี้จะไม่ให้สิ่งนั้น แต่ถ้าต้องการเรื่องราวที่ยุ่งเหยิง มีข้อบกพร่อง แต่กลับสัมผัสใจอย่างไม่คาดคิด เกี่ยวกับผู้คนที่พยายามหาวิธีดูแลซึ่งกันและกัน หนังเรื่องนี้คุ้มค่าที่จะดู อย่างแน่นอน

สำหรับใครที่ชอบหนังครอบครัว ที่ไม่ได้เรียบร้อยเกินไป หรือชอบคอมเมดี้ที่มีหัวใจ หนัง Call Me Dad เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ มันอาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความจริงใจและความพยายามของตัวละครในการเติบโตและดูแลซึ่งกันและกัน ทำให้หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์และน่าจดจำ มาแชร์ความคิดเห็นกันในคอมเมนต์ว่าชอบฉากไหนของหนังเรื่องนี้มากที่สุด และอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่ชอบหนังคอมเมดี้ดราม่าที่อบอุ่นหัวใจ!

  • ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ: Call Me Dad
  • ประเภท: คอมเมดี้, ดราม่า, ครอบครัว
  • ประเทศ: อินโดนีเซีย
  • ปีที่ออกฉาย: 2025
  • นักแสดงนำ: Ringgo Agus Rahman, Boris Bokir Manullang, Myesha Lin
  • ช่องทางการดู: Netflix

กดเพื่ออ่านต่อ

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button