![[รีวิว-เรื่องย่อ] กาลครั้งหนึ่งของนักฆ่า | Néro the Assassin (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/10/Review-Nero-the-Assassin-2025.webp)
- Néro the Assassin สร้างจากโครงเรื่อง Chosen One แต่ขาดเสน่ห์และจังหวะ ทำให้ตัวละครอย่างเพิร์ลล่าดูจืดชืดและไม่น่าจดจำ
- แม่มดตาเดียวกลายเป็นตัวละครสนุกที่สุด ด้วยพฤติกรรมแปลกประหลาดที่เหมือนมนุษย์ถ้ำตลก แต่ซีรีส์ยังล้มเหลวในการใช้จุดแข็งนี้ให้เกิดประโยชน์
- ฝ่ายร้ายอย่างเหล่านักบวชและศาสนิกชนคือไฮไลต์ กลับบทบาทแม่มดที่ช่วยโลก แสดงให้เห็นมุมมองใหม่ต่อเวทมนตร์และศาสนา
- ซีรีส์เต็มไปด้วยฉากต่อสู้ดาบและการฝึก แต่การนำเสนอเรียบง่ายเกินไป ขาดความลึกซึ้งและการเชื่อมโยงที่ทำให้ติดตาม
เคยลองนึกภาพไหมว่า ถ้าโลกเวทมนตร์ต้องพึ่งพาเหล่าแม่มดที่ดูเหมือนเพื่อนงอนๆ แทนที่จะเป็นฮีโร่หล่อเหลาแบบในนิยายแฟนตาซีทั่วไป จะออกมาเป็นยังไง? Néro the Assassin (2025) ซีรีส์ดราม่าแฟนตาซีจากฝรั่งเศส พยายามพลิกผันสูตรสำเร็จของเรื่อง Chosen One แต่กลับติดหล่มในความจืดชืดและคลิชเช่ที่ซ้ำซาก เรื่องราวหมุนรอบนีโร่ นักฆ่าที่รวมตัวกับลูกสาวเพิร์ลล่า เพื่อต่อกรกับภัยแล้งที่กำลังกลืนกินโลก โดยมีเหล่าแม่มดเป็นผู้ช่วยหลัก ท่ามกลางศัตรูอย่างนักบวชและศาสนิกชนที่กลายเป็นตัวร้ายตัวจริง
ซีรีส์ชิ้นนี้ดึงดูดด้วยไอเดียที่สดใหม่ เช่น การให้แม่มดเป็นฝ่ายช่วยเหลือ ขณะที่ศาสนากลับเป็นตัวการสร้างความหายนะ แต่ปัญหาคือการเล่าเรื่องที่ขาดแรงดึงดูด ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางจากจุดเอถึงบี โดยไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นระหว่างทาง ตัวละครหลักอย่างเพิร์ลล่าที่ถูกยกย่องว่าเป็นผู้ถูกเลือก กลับกลายเป็นเด็กสาวที่ดูน่าเบื่อหน่าย จนอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงสำคัญขนาดนั้น บทความนี้จะพาไปเจาะลึกทุกมุมของ Néro the Assassin ตั้งแต่ตัวละครที่พลาดโอกาส ไปจนถึงธีมที่อยากสื่อแต่ไม่ถึงจุดหมาย มาดูกันว่าเซเรียลเรื่องนี้จะจุดประกายจินตนาการได้จริงหรือแค่หลอกลวงให้เสียเวลา
นอกจากนี้ ซีรีส์ยังสะท้อนสังคมผ่านมุมมองต่อศาสนาและเวทมนตร์ ที่ทำให้คิดถึงว่าอะไรคือ “ผู้ช่วยเหลือ” ที่แท้จริงในยามวิกฤต ด้วยการแสดงที่ผสมผสานแอ็คชั่นเบาๆ กับดราม่าครอบครัว แต่สุดท้าย มันก็เหมือนอาหารจานแรกที่ไม่อร่อยพอจะกินต่อ

Néro the Assassin เปิดเรื่องด้วยนีโร่ นักฆ่าผู้มีอดีตมืดมนที่กลับมารวมตัวกับลูกสาวเพิร์ลล่า (แสดงโดย ลิลี่-โรส คาร์เลียร์ ทาบูรี Lili-Rose Carlier Taboury) หลังจากแยกจากกันหลายปี เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกแฟนตาซีที่ภัยแล้งกำลังทำลายทุกอย่าง และเพิร์ลล่าถูกกำหนดให้เป็นผู้ถูกเลือกที่จะช่วยเหลือโลก แต่แทนที่จะเป็นเด็กสาวผู้กล้าหาญ เธอกลับดูเหมือนเด็กกำพร้าที่โดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อน ไม่สนใจอะไรมากไปกว่าการลอกหนังสัตว์ ซึ่งดูดิบเถื่อนแต่ไม่เคยได้ขยายความลึก ฉากที่เธอรวมตัวกับพ่อ ก็ขาดบทสนทนาที่จริงใจ เช่น ไม่เคยถามถึงชีวิตหรืองานของนีโร่ แค่คำถามพื้นๆ เกี่ยวกับแม่ ทำให้ความสัมพันธ์พ่อลูกดูห่างเหินและไม่น่าเชื่อถือ เหมือนตุ๊กตาที่ถูกโยกเยกไปตามพล็อตโดยไม่มีหัวใจ
ส่วนนีโร่เอง ก็เป็นตัวเอกที่คาดเดาได้ง่าย เขาฝึกเพิร์ลล่าให้ต่อสู้ด้วยกลอุบายและเครื่องมือลวง แต่เราไม่เคยเห็นการนำไปใช้จริงในฉากแอ็คชั่น ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนบทเรียนในห้องที่ไม่เคยสอบจริง ซีรีส์พยายามสร้างโมเมนตัมด้วยการเดินทางจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่ แต่ระหว่างนั้น ฉากต่อสู้ดาบหรือการฝึกฝนถูกถ่ายด้วยเลนส์ที่ดูเฉยเมย ไม่มีพลังงานหรือนวัตกรรม เหมือนกำลังดูคนเดินทางแบบไม่รีบร้อน โดยไม่มีอุปสรรคที่น่าติดตาม ตัวอย่างเช่น มีเด็กชายสัญญาจะสอนเพิร์ลล่าขี่ม้า แต่ฉากนั้นหายวับไป ไม่เหลือร่องรอยให้ผู้ชมได้ยินร่าเริง
ยิ่งไปกว่านั้น โลกในเรื่องยังขาดรายละเอียดที่ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา สถานที่อย่างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือป่าเวทมนตร์ ดูจืดชืดเกินไป ไม่มีองค์ประกอบที่ทำให้ผู้ชมอยากสำรวจเพิ่มเติม ซีรีส์นี้เหมือนรถไฟที่วิ่งช้า ไม่มีโค้งหรือเนินให้ตื่นเต้น จนทำให้พล็อต Chosen One ที่ควรจะเร่าร้อน กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อที่ขาดจังหวะและอารมณ์
สิ่งเดียวที่ทำให้ Néro the Assassin น่าจับตามองคือเหล่าตัวร้าย โดยเฉพาะเหล่านักบวชและศาสนิกชนที่กลายเป็นตัวการสร้างความโกลาหล ขณะที่แม่มดต่างหากที่เป็นผู้ช่วยเหลือตัวจริง ไอเดียนี้เจ๋งมาก เพราะมันพลิกมุมมองจากสูตรสำเร็จที่ศาสนาเป็นฝ่ายดีเสมอ ฉากมีดแทงรูปปั้นพระเยซูที่แขวนผนัง ดูเข้ากับธีมได้อย่างลงตัว แสดงให้เห็นว่าผู้ช่วยภัยแล้งที่แท้จริงไม่ใช่คนของพระเจ้า แต่เป็นเหล่าแม่มดที่ถูกขับไล่ แนวคิดนี้เหมือนการตบหน้าความเชื่อเดิมๆ ทำให้ผู้ชมต้องคิดทบทวนว่าอะไรคือ “ผู้ร้าย” จริงๆ ในสังคม
แต่ปัญหาคือ การนำไอเดียนี้ออกสู่จอทำได้อ่อนแอ ราวกับบทที่เขียนบนกระดาษยังไม่แน่นอนตั้งแต่แรก เหล่านักบวชดูน่ากลัวแต่ขาดมิติ ส่วนแม่มดที่ควรจะเป็นฮีโร่ กลับถูกนำเสนอแบบผิวเผิน โดยเฉพาะแม่มดตาเดียว (แสดงโดย คามิลล์ ราซัท Camille Razat) ที่ปรากฏตัวพร้อมเสียงกระซิบหลอนๆ แต่แทนที่จะน่ากลัว เธอกลับดูเหมือนเพื่อนที่กำลังเซ็ง อยากชวนนั่งคุยระบายปัญหา แล้วขอให้โชว์เวทมนตร์เล่นๆ สักหน่อย พฤติกรรมแปลกๆ ของเธอ เช่น เก็บหญ้ากับมดมากัดกินแบบขำๆ หรือขุดทรายด้วยเล็บเร็วปรื๋อ กลายเป็นมุกตลกที่ทำให้เธอดูเหมือนมนุษย์ถ้ำสุดฮา ถ้าเซเรียลเรื่องนี้มีพลังมากกว่านี้ ตัวละครนี้คงเปล่งประกายได้ดี ช่วยกลบช่วงน่าเบื่อยาวๆ แต่สุดท้าย มันก็ขี้เกียจแก้ไขจุดอ่อน เพียงกองคลิชเช่ทับกันแบบจืดๆ
น่าเสียดายที่ศักยภาพของตัวร้ายเหล่านี้ไม่ถูกขุดคุ้ยให้ลึกพอ ซีรีส์พลาดโอกาสที่จะสร้างความขัดแย้งที่เข้มข้นระหว่างศาสนากับเวทมนตร์ ทำให้ธีมที่ควรจะทรงพลัง กลายเป็นแค่พื้นหลังจางๆ ผู้ชมคงอดถอนหายใจไม่ได้ เมื่อเห็นไอเดียดีๆ ถูกทิ้งร้างแบบนี้

Néro the Assassin พยายามสำรวจธีมการเลือกผู้ถูกเลือกและความสัมพันธ์ครอบครัว แต่กลับทำได้แบบพื้นฐานสุดๆ เหมือนการผจญภัยที่แค่ย้ายคนจากจุดหนึ่งไปอีกจุด โดยไม่มีอะไรน่าจดจำระหว่างทาง ภัยแล้งในเรื่องควรเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก แต่กลับถูกมองข้ามไป เหลือแค่ฉากต่อสู้และการรวมตัวที่ถ่ายแบบไม่ใส่ใจ ราวกับผู้กำกับไม่อยากลงทุนกับรายละเอียดเล็กๆ ที่ทำให้เรื่องมีชีวิต เช่น การฝึกขี่ม้าที่สัญญาไว้แต่ไม่เคยโชว์ หรือการใช้กลอุบายต่อสู้ที่ขาดการประยุกต์จริง
การนำเสนอโดยรวมยังขาดจังหวะ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหนื่อยล้าแทนที่จะตื่นเต้น เปรียบเหมือนหนังสือที่พลิกหน้าเร็วแต่ไม่มีอะไรน่าอ่าน ซีรีส์นี้ไม่กระตุ้นให้อยากรีวิวด้วยซ้ำ เพราะไม่มีอะไรให้เคี้ยวกรุบกรอบ มันค้างคาในหัวจนต้องจดบันทึกเพื่อลืมให้ได้ แม่มดตาเดียวที่ถามว่าสามารถย้อนเวลากลับได้ไหม คงช่วยย้อนวินาทีที่เสียไปกับเซเรียลแบบง่วงๆ ได้ดี ถ้าเป็นแบบนั้น คงอยากเจอเธอจริงๆ แล้วขอให้โชว์เวทมนตร์สักสองสามท่าให้หายเบื่อ
สุดท้าย ธีมเรื่องมนุษย์กับเวทมนตร์ยังไม่ถึงจุดที่ควร ซีรีส์พลาดโอกาสที่จะทำให้ผู้ชมตั้งคำถามลึกๆ เกี่ยวกับความเชื่อและการเอาตัวรอดในโลกที่กำลังล่มสลาย
Néro the Assassin (2025) คือเซเรียลที่เต็มไปด้วยศักยภาพแต่ถูกทำลายด้วยความขี้เกียจและคลิชเช่ที่ซ้ำซาก มันแสดงให้เห็นว่าแม้ไอเดียดีอย่างการให้แม่มดเป็นฮีโร่และศาสนาเป็นตัวร้าย จะน่าสนใจแค่ไหน แต่ถ้าการเล่าเรื่องไม่ถึง ทุกอย่างก็พังได้ง่ายๆ ตัวละครอย่างเพิร์ลล่าและนีโร่ขาดความลึก ขณะที่แม่มดตาเดียวคือจุดสว่างเดียวที่ทำให้ยิ้มได้ แต่ไม่พอที่จะช่วยซีรีส์ทั้งเรื่อง
ถ้าชอบแฟนตาซีที่พลิกผันสูตรสำเร็จ ลองดูเพื่อตัดสินเองว่ามันพลาดตรงไหน แต่ถ้าเบื่อเรื่องจืดๆ คงข้ามดีกว่า มาแชร์ในคอมเมนต์ว่าคิดยังไงกับธีมศาสนาในแฟนตาซี หรืออยากเห็นแม่มดแบบไหนในเรื่องต่อไป แชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่ติดตามซีรีส์เวทมนตร์ด้วยนะ จะได้คุยกันสนุก!
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: กาลครั้งหนึ่งของนักฆ่า
- ประเภท: ดราม่า, แฟนตาซี, แอ็คชั่น
- วันที่ออกฉาย: 8 ตุลาคม 2568
- นักแสดงนำ: Pio Marmaï, Camille Razat
- ผู้กำกับ: Allan Mauduit
- ความยาว: 8 ตอน
- เรตติ้ง IMDb: 6.6/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix