![[รีวิว-เรื่องย่อ] Splinter Cell: Deathwatch (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/10/Review-Splinter-Cell-Deathwatch-2025.webp)
- Splinter Cell: Deathwatch ดึงเรื่องราวจากเกมคลาสสิกปี 2005 มาสานต่อ แต่ปรับเป็นแอ็คชั่นหนักแน่นเหมาะกับซีรีส์ทีวีมากกว่า stealth ช้าๆ
- การแสดงของลีฟ ชไรว์เบอร์ ในบทแซม ฟิชเชอร์ แสดงความแก่ชราแต่ยังโหดได้สมจริง โดยมีฉากต่อสู้ที่เหนื่อยหอบแต่ลุ้นระทึก
- ซีรีส์สำรวจธีมการสมรู้ร่วมคิดและการกลับมาของตัวละครเก่า แต่ขาดการอธิบายให้มือใหม่เข้าใจง่าย อาจทำให้คนดูใหม่สับสน
- โชว์รันเนอร์เดเร็ค คอลสตัด จาก John Wick ทำให้เรื่องราวเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นโหด แต่บางทีก็ดูไม่เข้ากับสไตล์เกมต้นฉบับ
เคยลองนึกภาพไหมว่า ถ้าโลกของเกมสายลับที่เคยทำให้หัวใจเต้นรัว กลายมาเป็นซีรีส์บนหน้าจอ Netflix จะออกมาเป็นยังไง? Splinter Cell: Deathwatch (2025) พยายามดึงแฟนเก่ากลับมาด้วยเรื่องราวที่สานต่อจาก Chaos Theory สุดคลาสสิกปี 2005 แต่กลับเจอปัญหาใหญ่เพราะต้องเปลี่ยนจากสไตล์ลอบเร้นช้าๆ เป็นแอ็คชั่นดุเดือดแบบ John Wick ผลคือ ซีรีส์นี้น่าดูแต่ก็อาจทำให้แฟนตัวยงผิดหวัง เพราะมันไม่ใช่เกมที่เราคุ้นเคยอีกต่อไป
เรื่องราวเกิดขึ้นหลังจากแซม ฟิชเชอร์ วางมือจากหน่วย Fourth Echelon ไปนาน แต่แล้วภารกิจช่วยเหลือในลิทัวเนียของเอเย่นต์รุ่นใหม่ซินเนีย แม็คเคนนาก็พังทลายเพราะอารมณ์พลุ่งพล่าน เธอต้องหนีและขอความช่วยเหลือจากฟิชเชอร์ สองคนนี้เลยเริ่มคลายปมสมรู้ร่วมคิดที่เกี่ยวข้องกับไดอาน่า เช็ตแลนด์ ลูกสาวของศัตรูเก่าจาก Displace International ความลึกลับนี้ดึงดูดใจ แต่การเล่าเรื่องที่กระโดดไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน อาจทำให้คนดูใหม่งงได้ง่ายๆ
ซีรีส์นี้ไม่ใช่แค่รีเมคเกม แต่เป็นการพยายามสร้างโลกใหม่บน Netflix ที่เข้าถึงคนดูทั่วโลก บทความนี้จะพาไปเจาะลึกทุกมุม ตั้งแต่การแสดงที่พยายามเลียนแบบเสียงพากย์เก่า ไปจนถึงฉากแอ็คชั่นที่โหดเหี้ยมเกินคาด มาดูกันว่า Deathwatch จะจุดประกายความหวังให้แฟน Splinter Cell รอเกมใหม่ได้ไหม หรือมันจะกลายเป็นแค่ตอนจบที่ค้างคา

Splinter Cell: Deathwatch เริ่มต้นด้วยแซม ฟิชเชอร์ที่เกษียณตัวเองไปนั่งชิลหลังจากภารกิจหนักหน่วงในอดีต หน่วย Fourth Echelon ยังคงดำเนินต่อไปภายใต้การนำของอันนา กริมส์ดอทเทอร์ เพื่อนสนิทคนเก่า แต่ปัญหาใหญ่เกิดขึ้นเมื่อซินเนีย แม็คเคนนา เอเย่นต์สาวไฟแรง ไปพลาดในการช่วยเหลือเป้าหมายสำคัญในลิทัวเนีย เพราะปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ สถานการณ์ยิ่งแย่ลงเมื่อเธอถูกตามล่าและต้องขอความช่วยเหลือจากฟิชเชอร์ที่วางมือมานาน สองคนนี้เริ่มสืบหาความจริงเบื้องหลังสมรู้ร่วมคิดที่เกี่ยวข้องกับไดอาน่า เช็ตแลนด์ ลูกสาวของดักลาส เช็ตแลนด์ ศัตรูเก่าจากเกม Chaos Theory และบริษัท Displace International ที่เคยสร้างปัญหาใหญ่ในอดีต
การเล่าเรื่องในซีรีส์นี้ผสมผสานระหว่างแฟลชแบ็กที่พยายามอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างฟิชเชอร์กับตัวละครหลักจากอดีต แต่บางจุดก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับเนื้อเรื่องใหม่ มันเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ที่ขาดชิ้นส่วนสำหรับคนดูมือใหม่ เพราะคอนเซ็ปต์อย่างหน่วยลับประธานาธิบดีหรือเทคโนโลยีล้ำๆ อย่างแว่นตาและ OPSAT ถูกโยนเข้ามาโดยไม่ค่อยอธิบายมากนัก สำหรับแฟนเก่าที่รู้จัก Splinter Cell มาตั้งแต่สมัย Blacklist ปี 2013 มันสนุกและคุ้นเคย แต่สำหรับคนที่เพิ่งมาจาก Netflix ทั่วไป อาจรู้สึกเหมือนถูกโยนลงทะเลลึกโดยไม่มีห่วงชูชีพ
ซีรีส์ทั้ง 8 ตอนพยายามสร้างความตึงเครียดด้วยปริศนาที่ค่อยๆ คลายออก แต่บางทีก็เร่งจังหวะแอ็คชั่นมากเกินไป จนลืมเสน่ห์ของการลอบเร้นที่เป็นหัวใจของเกมต้นฉบับ มันเหมือนรถสปอร์ตที่พยายามวิ่งในซอยแคบ เร็วแต่เสี่ยงพลิกคว่ำ อย่างไรก็ตาม การนำตัวละครเก่ากลับมาอย่างกริมส์ดอทเทอร์ที่ยังคงสั่งการจากเบื้องหลัง ช่วยให้เรื่องราวมีรากฐานที่มั่นคง และปมสมรู้ร่วมคิดเรื่อง Displace ก็เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของแฟรนไชส์ได้อย่างแนบเนียน
ลีฟ ชไรว์เบอร์ รับบทแซม ฟิชเชอร์ด้วยน้ำเสียงที่พยายามเลียนแบบไมเคิล ไอรอนไซด์ พากย์ต้นฉบับได้ใกล้เคียงมาก แม้จะไม่เหมือนเป๊ะ แต่ก็ดีกว่าเอริค จอห์นสัน จาก Blacklist ชัดเจน การแสดงของเขาสร้างมิติให้ฟิชเชอร์ที่แก่ตัวลงจริงๆ อย่างเห็นได้ชัด เช่น ฉากที่ต้องหยุดนึกถึงรหัสกุญแจบ้านปลอดภัย หรือตอนต่อสู้ที่เหนื่อยหอบจนแทบล้ม มันไม่ใช่แซมที่กระโดดโลดเต้นแบบวัยหนุ่ม แต่เป็นสายลับรุ่นใหญ่ที่ยังคงโหดด้วยประสบการณ์ ผมมัดหางม้าที่ดูน่ารำคาญในตอนแรก กลายเป็นสัญลักษณ์ของการปรับตัวที่ตลกแต่สมจริง
คิร์บี ฮาวเวล-บาปติสต์ ในบทซินเนีย แม็คเคนนา เป็นตัวละครใหม่ที่ถูกออกแบบให้คล้ายแซมเวอร์ชันรุ่นน้อง เธอเก่งเรื่องปฏิบัติการแต่ชอบทำตามอารมณ์ ตัวละครนี้จะถูกเกลียดจากแฟนๆ เพราะไม่ใช่แซมแท้ๆ แต่จริงๆ แล้วเธอคือตัวแทนของ Splinter Cell ในยุคใหม่ที่ต้องเผชิญความท้าทายจากโลกดิจิทัลและศัตรูที่ฉลาดขึ้น ฉากที่เธอหนีตายในลิทัวเนียแสดงให้เห็นความดื้อรั้นที่ทำให้ลุ้น แต่ก็เป็นจุดอ่อนที่นำไปสู่ความโกลาหลในเรื่อง
ส่วนอันนา กริมส์ดอทเทอร์ ที่เจนี่ วาร์นีย์ แสดงไว้ในสไตล์เพื่อนสนิทที่เย็นชาแต่ภักดี ยังคงเป็นหัวใจของ Fourth Echelon เธอสั่งการจากระยะไกลและช่วยให้ทีมรอดพ้นจากวิกฤตหลายครั้ง โจเอล โอเล็ตต์ ในบทธันเดอร์ แฮกเกอร์ชาวแคนาดาที่เจ้าเล่ห์ กลายเป็นตัวประกอบที่เติมสีสันให้ทีมด้วยมุกเทคนิคและการแฮกระบบศัตรู แม้จะดูเป็น archetype เก่าๆ แต่เขาก็ช่วยให้เรื่องไม่น่าเบื่อ โดยเฉพาะฉากที่ทีมต้องร่วมมือกันถอดรหัสปมสมรู้ร่วมคิดของไดอาน่า

ซีรีส์นี้ไม่ประหยัดฉากแอ็คชั่นเลย แต่เปลี่ยนจากสไตล์ลอบเร้นเงียบๆ เป็นการต่อสู้แบบดิบเถื่อนที่โหดร้ายเกินคาด เหมือนการชกมวยที่ทุบกันไม่ยั้งจนเลือดสาด มันสนุกสำหรับคนชอบ John Wick แต่สำหรับแฟน Splinter Cell ที่รักความตึงเครียดแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจรู้สึกแปลกๆ โดยเฉพาะฉากที่ฟิชเชอร์ต้องสู้กับศัตรูรุ่นเยาว์และดูเหนื่อยล้า มันสะท้อนความจริงของสายลับสูงวัยที่ร่างกายไม่เหมือนเดิม แต่ก็ทำให้บางฉากดูโหดเกินแบรนด์เดิมที่เน้นสมองมากกว่ากำปั้น
ภาพและเสียงยังคงเอกลักษณ์ Splinter Cell ไว้ได้ดี แว่นตากันกระสุน หน้าจอ OPSAT และปืน SC-20K โผล่มาสั้นๆ แต่พอให้แฟนกรี๊ด เสียงเอฟเฟกต์ที่ดังก้องเหมือนเกม ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนวัย แต่การถ่ายทำแบบทีวีทำให้บางฉากดูมืดมนและลึกลับ เหมาะกับปมสมรู้ร่วมคิดที่ค่อยๆ เปิดเผย มันเหมือนการเดินในเงามืดที่คุ้นเคย แต่เพิ่มแสงแฟลชจากกระสุนเพื่อให้เข้ากับ Netflix สไตล์สตรีมมิง
โชว์รันเนอร์เดเร็ค คอลสตัด ที่เคยสร้าง John Wick ใส่ความโหดเข้าไปเต็มๆ จนบางตอนกลายเป็นจิตวิทยาโรคจิต แต่ก็ช่วยให้เรื่องไหลลื่นและไม่น่าเบื่อ อย่างไรก็ตาม การกระโดดจากเกมสู่ซีรีส์ทำให้ต้องปรับตัวเยอะ เช่น การอธิบายโลกของ Fourth Echelon ที่น้อยเกินไปสำหรับมือใหม่ ผลคือ ซีรีส์นี้เหมาะกับแฟนเก่ามากกว่า แต่ก็พอจะดึงดูดคนดูทั่วไปด้วยแอ็คชั่นที่มันส์

Splinter Cell: Deathwatch ประสบความสำเร็จในการนำ “แซม ฟิชเชอร์” กลับมาอยู่ในสปอตไลต์อีกครั้ง หลังจากที่ Ubisoft ปล่อยให้แฟน ๆ รอคอยกันมาตั้งแต่ภาค Blacklist ในปี 2013 และมีเพียงการปรากฏตัวแบบแคมิโอในเกมอื่น ๆ อย่าง xDefiant เท่านั้น มันช่วยจุดกระแสความสนใจให้แฟรนไชส์นี้กลับมาอีกครั้ง และอาจปูทางไปสู่การรีเมกเกมภาคแรกที่แฟน ๆ เฝ้าฝันถึง แต่ซีรีส์นี้ก็ยังมีจุดอ่อนชัดเจน เช่น การไม่อธิบายปูมหลังของตัวละครอย่างละเอียด ทำให้คนดูหน้าใหม่รู้สึกหลงทาง และฉากแอ็คชั่นที่รุนแรงเกินไปจนทำให้เสน่ห์ของความเป็นเกมลอบเร้นแบบต้นฉบับถูกกลบหายไป
โดยรวมแล้ว มันคือการทดลองที่โอเคแต่ไม่สมบูรณ์แบบ เหมือนกาแฟที่รสชาติดีแต่ขมไปนิดสำหรับคนชอบหวาน 8 ตอนนี้สนุกพอให้ดูจบ แต่ไม่ถึงกับติดงอมแงม สำหรับแฟน Splinter Cell มันคือของขวัญที่มาช้าแต่ยังดีกว่าไม่มีเลย และอาจเป็นสะพานเชื่อมไปสู่โปรเจกต์ใหม่ๆ ในอนาคต
Splinter Cell: Deathwatch พิสูจน์ว่าการดึงเกมดังมาทำซีรีส์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็แสดงให้เห็นศักยภาพของแฟรนไชส์นี้ในการเล่าเรื่องสมรู้ร่วมคิดและสายลับที่ยังคงลุ้นระทึก แม้จะมีข้อบกพร่องเรื่องการเข้าถึงมือใหม่ แต่การแสดงที่สมจริงและฉากแอ็คชั่นที่มันส์ทำให้มันคุ้มค่ากับการสตรีมบน Netflix ลองคิดดูสิว่าถ้าไม่มีซีรีส์นี้ แฟนๆ อาจยังต้องรอเกมใหม่ไปอีกนาน ใครที่ชอบแอ็คชั่นสายลับแบบดิบๆ เรื่องนี้ตอบโจทย์แน่นอน แต่สำหรับคนที่รอ stealth แท้ๆ อาจต้องอดใจรอโปรเจกต์หน้า
สุดท้าย ซีรีส์นี้ชวนให้ตั้งคำถามว่าโลกของ Splinter Cell จะไปทางไหนต่อ ถ้าชอบเรื่องสมรู้ร่วมคิดและตัวละครที่พัฒนา ลองดูแล้วมาแชร์ในคอมเมนต์ว่าฟิชเชอร์รุ่นเก่าว่าอะไรถึงทำให้ลุ้นขนาดนี้ หรือซินเนียจะกลายเป็นฮีโร่ใหม่ได้ไหม แชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่ติดเกมสายลับด้วยนะ ใครรู้ อาจช่วยจุดประกายให้ Ubisoft ทำรีเมค Chaos Theory เร็วขึ้นก็ได้!
- ประเภท: แอ็คชั่น, ระทึกขวัญ, สายลับ
- วันที่ออกฉาย: 14 ตุลาคม 2568
- นักแสดงนำ: ลีฟ ชไรว์เบอร์ (Liev Schreiber), คิร์บี ฮาวเวล-บาปติสต์ (Kirby Howell-Baptiste), เจนี่ วาร์นีย์ (Janey Varney), โจเอล โอเล็ตต์ (Joel Oulette)
- ความยาว: 8 ตอน
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix