รีวิวหนัง-ซีรีส์

[รีวิว-เรื่องย่อ] สตีเฟน: พิพากษาฆาตกร | Stephen (2025)

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางหนังระทึกขวัญถึงทำให้เรานั่งจ้องหน้าจอไม่กระพริบตา ในขณะที่บางเรื่องกลับทำให้เรามองนาฬิกาบ่อยครั้ง? ความลับอยู่ที่การสร้างจังหวะและการดำเนินเรื่องที่กระชับ Stephen (2025) บน Netflix เป็นหนังที่พยายามเจาะลึกจิตใจของฆาตกรต่อเนื่องผ่านการสนทนาและการเปิดเผยแรงจูงใจ แต่กลับกลายเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการยืดเนื้อหาที่ควรจะเป็นหนังสั้นให้กลายเป็นหนังยาว 2 ชั่วโมงนั้นอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีเสมอไป

หนังมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่กับการสนทนาระหว่างตัวละคร บทสนทนาเหล่านี้สร้างดราม่า ความลุ้นระทึก หรือเปิดเผยแรงจูงใจของตัวละคร เมื่อทุกองค์ประกอบของหนังประสานกันได้ลงตัว เราจะลืมไปเลยว่าเราใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงนั่งฟังผู้คนคุยกัน แต่เมื่อการทำหนังอ่อนแอและขาดฝีมือ เราจะรู้สึกได้ทันทีว่ากำลังดูตัวละครที่เหมือนหุ่นเชิดพูดบทที่เขียนมาในบทภาพยนตร์ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Stephen หนังเรื่องนี้พยายามจะเล่าเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องผ่านมุมมองที่แตกต่าง แต่กลับสะดุดกับปัญหาพื้นฐานของการเล่าเรื่องและการแสดง

ในบทความนี้ เราจะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุมของ Stephen ตั้งแต่แนวคิดเบื้องหลังที่น่าสนใจแต่ไม่ได้ผล ไปจนถึงปัญหาต่างๆ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่สามารถสร้างความประทับใจได้ มาดูกันว่าทำไมหนังที่มีแนวคิดดีกลับกลายเป็นผลงานที่พลาดเป้า

Stephen เริ่มต้นจากแนวคิดที่น่าสนใจของผู้กำกับ มิธุน บาลาจี (Mithun Balaji) ที่วางแผนจะสร้างหนังสั้นความยาว 10 นาที แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นหนังเต็มความยาว 2 ชั่วโมงที่พยายามจะบอกเล่าเรื่องราวมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น การตัดสินใจนี้กลายเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของหนัง เพราะเห็นได้ชัดว่าเนื้อหาไม่เพียงพอที่จะรองรับความยาวนี้ ความพยายามในการยืดเนื้อหาทำให้หนังรู้สึกหละหลวมและขาดจุดโฟกัส แนวคิดเดิมที่จะทำเป็นหนังสั้นน่าจะเหมาะสมกว่ามาก

หนังเรื่องนี้เป็นแนว whydunit ที่มุ่งเน้นไปที่การอธิบายแรงจูงใจของตัวละครหลัก สตีเฟน ซึ่งเป็นฆาตกรต่อเนื่อง แต่สิ่งที่น่าผิดหวังคือหนังใช้เวลาทั้งหมดในการอธิบายแรงจูงใจของเขา แต่กลับทำลายทุกอย่างที่สร้างมาใน 15 นาทีสุดท้าย ผู้กำกับบาลาจีและนักเขียนบทร่วม โกมาตี ชังการ์ (Gomathi Shankar) ซึ่งรับบทเป็นสตีเฟนเองพยายามสื่อสารแนวคิดเดียวกับหนัง Mukundan Unni Associates ว่าความชั่วร้ายมักเป็นฝ่ายชนะ แต่ Mukundan เป็นคอมเมดี้ดาร์คที่สนุกสนาน ในขณะที่ Stephen กลับตลกโดยไม่ได้ตั้งใจ

หนึ่งในปัญหาใหญ่ของหนังคือการแสดงที่ไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ ตัวอย่างเช่น ฉากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงโดย ไมเคิล ทังกาดูไร (Michael Thangadurai) พยายามกดขมับเพื่อจำหน้าคนร้าย ท่าทางของเขาดูเหมือนนักเรียนที่แกล้งทำเป็นคิดหนักต่อหน้าผู้คุมสอบมากกว่าจะเป็นตำรวจที่กำลังพยายามจำรายละเอียดสำคัญ ฉากนี้ควรจะสร้างความตึงเครียดและแสดงให้เห็นถึงความพยายามของตำรวจ แต่กลับกลายเป็นฉากที่ดูเทียมและขาดความจริงใจ

ฉากอีกฉากหนึ่งที่น่าจะเป็นจุดไคลแม็กซ์ทางอารมณ์คือเมื่อสตีเฟนเห็นภาพถ่ายสองภาพเริ่มพูดคุยกับเขา สิ่งนี้ควรจะเป็นช่วงเวลาที่น่าขนลุกและรบกวนจิตใจ แสดงให้เห็นถึงความสับสนทางจิตของตัวละคร แต่สิ่งที่ได้คือฉากที่ทำให้ผู้ดูหัวเราะแทน การจัดฉากและการแสดงไม่สามารถสื่อสารความหวาดกลัวหรือความผิดปกติทางจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่หนังไม่สามารถสร้างบรรยากาศที่น่ากลัวได้นี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับหนังที่ต้องการจะเจาะลึกจิตวิทยาของฆาตกร

หนังเรื่องนี้ใช้วงล้อเฟอร์รีสเป็นสัญลักษณ์หลักตลอดทั้งเรื่อง และพยายามใช้มันเพื่อสื่อความหมายหลายอย่างจนเกินไป เมื่อผู้หญิงกลายเป็นบุคคลที่มีอำนาจเหนือกว่าในครอบครัว หนังจะแสดงเธอขึ้นไปบนวงล้อในขณะที่สามีลงมา ซึ่งเป็นการใช้สัญลักษณ์ที่ตรงไปตรงมาและขาดความละเอียดอ่อน นอกจากนี้วงล้อยังถูกใช้เพื่อแสดงถึงชีวิตของสตีเฟนที่”หมุนไปเรื่อยๆ” มีขึ้นมีลง บางช่วงเขาสนุกกับการเล่นวิดีโอเกมกับเพื่อน แต่ช่วงต่อมาเขาถูกแม่ทุบตี เขาอาจมีความสุขกับผู้หญิงสักคนสองสามวันหรือสองสามเดือน แต่หลังจากนั้นความสัมพันธ์ก็เริ่มตกต่ำ

แนวคิดเหล่านี้อาจดูฉลาดในทางทฤษฎี แต่เมื่อนำมาแสดงบนจอภาพกลับดูไร้สาระและเกินจริง การใช้สัญลักษณ์แบบนี้ทำให้หนังดูเหมือนพยายามแสดงความฉลาดมากเกินไป แทนที่จะปล่อยให้เรื่องราวและตัวละครพูดแทนตัวเอง หนังยังพยายามใช้วงล้อในเชิง”สไตล์” เช่นในช็อตที่วงล้อสร้างรูปตัวอักษร “C” สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเทคนิคการถ่ายทำที่พยายามจะเป็นศิลปะ แต่กลับกลายเป็นเทคนิคที่รบกวนการเล่าเรื่องมากกว่า

สิ่งที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นคือหลายฉากดูไร้ทิศทางและธรรมดา ขาดความตึงเครียดที่ควรจะมีในหนังแนวนี้ ตัวอย่างเช่น ฉากที่เด็กชายกลัวพ่อที่ติดเหล้าและพยายามซ่อนลูกหมา ฉากนี้ควรจะเต็มไปด้วยความกลัวและความลุ้นระทึก ผู้ดูควรจะรู้สึกถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ฉากนี้กลับรู้สึกหละหลวมและ…ธรรมดา ไม่มีแรงตึงที่ควรจะมี ไม่มีความรู้สึกว่ามีอะไรกำลังจะระเบิด สำหรับหนังที่ต้องการโน้มน้าวให้เราเชื่อว่าปีศาจนั้นมีเล่ห์เหลี่ยมและลื่นไหล ความน่ากลัวของมันและสิ่งมีชีวิตที่ควรจะเป็นตัวแทนของมันกลับเข้ามาด้วยความเย็นชาเหมือนตุ๊กตาหมี มันไม่ได้ฆ่า มันแค่จั๊กจี้เบาๆ เท่านั้น

การจัดฉากที่ไม่มีพลังนี้ทำให้หนังไม่สามารถสร้างบรรยากาศของความกลัวหรือความไม่แน่นอนได้ ผู้ดูไม่รู้สึกกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของตัวละคร ไม่มีความรู้สึกว่าอะไรก็ได้อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ การขาดความตึงเครียดนี้ทำให้หนังระทึกขวัญเรื่องนี้ไม่สามารถทำให้ผู้ดูรู้สึกระทึกใจได้จริง แทนที่จะนั่งลุ้นไปกับเรื่องราว ผู้ดูอาจพบว่าตัวเองกำลังรอให้หนังจบมากกว่า

การยืดเนื้อหาจากแนวคิดหนังสั้น 10 นาทีให้กลายเป็นหนังยาว 2 ชั่วโมงส่งผลให้เกิดปัญหาในเรื่องของจังหวะการเล่าเรื่อง หนังเต็มไปด้วยช่วงเวลาที่ดูเหมือนถูกเติมเข้าไปเพียงเพื่อเพิ่มเวลา ไม่ใช่เพราะมันจำเป็นต่อการเล่าเรื่อง ฉากบางฉากดูเหมือนซ้ำซากและไม่เคลื่อนเรื่องราวไปข้างหน้า การขาดการตัดต่อที่กระชับทำให้หนังรู้สึกยืดยาวและน่าเบื่อในบางช่วง

นอกจากนี้ บทภาพยนตร์ยังมีปัญหาในการสร้างตัวละครที่มีมิติ ตัวละครส่วนใหญ่รู้สึกเหมือนเป็นเพียงเครื่องมือในการขับเคลื่อนพล็อตมากกว่าจะเป็นบุคคลที่มีชีวิตจริง แรงจูงใจของพวกเขาไม่ชัดเจน และการตัดสินใจของพวกเขามักดูไม่มีเหตุผล ความขาดความสมเหตุสมผลของตัวละครนี้ทำให้ยากที่จะเชื่อมโยงทางอารมณ์กับพวกเขา

Stephen (2025) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการมีแนวคิดที่ดีไม่เพียงพอสำหรับการสร้างหนังที่ดี การดำเนินเรื่องต้องมีความกระชับ การแสดงต้องน่าเชื่อถือ และการใช้สัญลักษณ์ต้องมีความละเอียดอ่อน หนังเรื่องนี้ล้มเหลวในทุกด้าน จากการยืดเนื้อหาที่ควรจะเป็นหนังสั้นให้กลายเป็นหนังยาว การใช้สัญลักษณ์ที่เกินจริง ไปจนถึงการแสดงที่ขาดความน่าเชื่อถือและการขาดความตึงเครียดที่จำเป็นสำหรับหนังแนวระทึกขวัญ

สำหรับใครที่กำลังมองหาหนังระทึกขวัญที่เข้มข้นหรือหนังที่เจาะลึกจิตวิทยาของฆาตกรอย่างมีประสิทธิภาพ Stephen อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าการขยายแนวคิดเล็กๆ ให้ใหญ่ขึ้นโดยไม่มีเนื้อหาที่เพียงพอมารองรับอาจนำไปสู่ผลงานที่ขาดพลังและไม่น่าจดจำ แม้ว่าจะมีความพยายามในการสื่อสารแนวคิดเรื่องความชั่วร้ายและวัฏจักรของความรุนแรง แต่การนำเสนอที่อ่อนแอทำให้ข้อความเหล่านั้นไม่มีน้ำหนัก ถ้าเราต้องการดูหนังที่พูดถึงฆาตกรต่อเนื่องอย่างจริงจัง อาจจะดีกว่าหาหนังเรื่องอื่นที่สามารถทำให้เราสะดุ้งและคิดตามได้อย่างแท้จริง มาแชร์ความคิดเห็นกันในคอมเมนต์ว่าเคยเจอหนังที่ยืดเนื้อหาจนเสียความน่าสนใจบ้างไหม และอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนที่กำลังมองหาหนังดูบน Netflix!

  • ชื่อเรื่องในภาษาไทย: สตีเฟน: พิพากษาฆาตกร
  • ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ: Stephen
  • ประเภท: ระทึกขวัญ, จิตวิทยา, อาชญากรรม
  • วันที่ออกฉาย: 2025
  • นักแสดงนำ: โกมาตี ชังการ์ (Gomathi Shankar), ไมเคิล ทังกาดูไร (Michael Thangadurai)
  • ผู้กำกับ: มิธุน บาลาจี (Mithun Balaji)
  • ความยาว: 2 ชั่วโมง 3 นาที
  • ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix

กดเพื่ออ่านต่อ

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button