[รีวิว-เรื่องย่อ] Stranger Things ซีซั่น 5 Part 2

• Stranger Things Season 5 Part 2 ปล่อยให้ดูวันที่ 25 ธันวาคม 2025 บน Netflix จำนวน 3 ตอน ก่อนที่ตอนจบจะลงในวันส่งท้ายปี 31 ธันวาคม
• วิลล์ ไบเออร์ส (โนอาห์ ชแนปป์) กลายเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง หลังจากได้รับพลังเวทย์ในตอนที่ 4 แต่พลังของเขาก็มาพร้อมกับข้อจำกัดที่ต้องเชื่อมต่อกับ Hivemind
• ความลับของ Upside Down ถูกเปิดเผย! มันไม่ใช่แค่มิติคู่ขนาน แต่เป็นประตูหนอนสู่โลกของเวคน่าที่เรียกว่า Abyss หรือ Camazotz
• อีเลฟเว่นและกาลี ตัดสินใจวางแผนร่วมกันเพื่อเอาชนะเวคน่า แม้ต้องแลกด้วยการเสียสละตัวเอง

หลายคนเคยตั้งคำถามไหมว่า ถ้าวันหนึ่ง โลกความเป็นจริงถูกรวมเข้ากับมิติมืด จะเกิดอะไรขึ้น? แล้วเด็กๆ จากเมืองฮอว์กินส์จะสามารถหยุดยั้งภัยคุกคามที่รอคอยมานานกว่าทศวรรษได้หรือไม่? Stranger Things Season 5 Part 2 มาถึงแล้วในวันคริสต์มาส 25 ธันวาคม 2025 พร้อม 3 ตอนใหม่ที่พาเราเจาะลึกเข้าไปใน Upside Down มากขึ้นกว่าเดิม เรื่องราวต่อเนื่องจากตอนจบของ Part 1 ที่ วิลล์ ไบเออร์ส ได้รับพลังเวทย์อย่างน่าตกใจ และตอนนี้เราใกล้จะเข้าสู่ศึกสุดท้ายกับ เวคน่า แล้ว ซีรีส์ที่เราตามมาตั้งแต่ปี 2016 กำลังจะปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ มาดูกันว่า Part 2 จะเซอร์ไพรส์เราขนาดไหน!

เรื่องราวของ Stranger Things Season 5 Part 2 ดำเนินต่อจากตอนที่ 4 “Sorcerer” ทันที หลังจากที่วิลล์แสดงพลังเวทย์ของเขาออกมาครั้งแรก ทำให้เพื่อนๆ ตื่นเต้นมาก แต่พลังของเขาก็มีข้อจำกัดสำคัญคือ ต้องเชื่อมต่อกับ Hivemind ของเวคน่าจึงจะใช้ได้ ซึ่งหมายความว่าทุกครั้งที่ใช้พลัง วิลล์ก็ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกเวคน่าควบคุมกลับไป ความจริงที่น่าตื่นเต้นคือเราได้รู้ว่า Upside Down ไม่ใช่มิติคู่ขนาน อย่างที่เคยคิด แต่เป็นประตูหนอน (Wormhole) สู่โลกที่แท้จริงของเวคน่าที่เรียกว่า Abyss หรือ Camazotz ซึ่งเป็นที่ที่อีเลฟเว่นเคยส่งเฮนรี่ ครีลไปเมื่อหลายปีก่อน

โนอาห์ ชแนปป์ (Noah Schnapp) ในบทวิลล์ ไบเออร์สนั้นกลายเป็นจุดศูนย์กลางของทั้งเนื้อเรื่องที่จริงจังและเนื้อหาเชิงอารมณ์ หลังจากต้องทนทุกข์และถูกเวคน่าควบคุมมาหลายซีซัน ในที่สุดเขาก็ได้ลุกขึ้นมาสู้กลับด้วยพลังที่ได้มาจากศัตรูโดยตรง การแสดงของชแนปป์แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครที่เติบโตจากเด็กชายหายตัวไปในซีซัน 1 มาเป็นนักรบที่พร้อมปกป้องคนที่รัก นอกจากนี้ Part 2 ยังเจาะลึกความสัมพันธ์ของวิลล์กับไมค์และยืนยันอัตลักษณ์ความเป็น LGBTQ+ ของตัวละครอีกด้วย สำหรับใครที่ชอบดูซีรีส์ไซไฟบน Netflix แล้วละก็ การแสดงของชแนปป์ในภาคนี้ถือว่าน่าประทับใจมากๆ

เซดี ซิงค์ (Sadie Sink) ในบทแม็กซ์ เมย์ฟิลด์ ยังคงรับบทหนักเมื่อต้องติดอยู่ใน จิตใจของเวคน่า ในมิติ Camazotz พร้อมกับ ฮอลลี่ วีลเลอร์ (เนลล์ ฟิชเชอร์) น้องสาวของไมค์ ทั้งสองต้องหาทางหนีจากโลกฝันร้ายที่เวคน่าสร้างขึ้น และในระหว่างทางพวกเธอก็ได้ค้นพบความทรงจำอันเจ็บปวดของเฮนรี่ ครีลที่ซ่อนอยู่ในถ้ำลึกลับ แม็กซ์ที่ใช้เวลาหลายเดือนติดอยู่ในจิตใจของเวคน่าได้เรียนรู้โครงสร้างของโลกแห่งนั้นอย่างละเอียด ทำให้เธอกลายเป็น “ผู้นำทาง” ที่สำคัญในการวางแผนโจมตีครั้งสุดท้าย การแสดงของทั้งสองคนนั้นเต็มไปด้วยความกล้าหาญและความอบอุ่น โดยเฉพาะฟิชเชอร์ที่เป็นหน้าใหม่แต่ทำได้น่าประทับใจมากท่ามกลางนักแสดงรุ่นเก๋าที่ผ่านมาหลายซีซัน

มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ (Millie Bobby Brown) ในบท อีเลฟเว่น (Eleven) ต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายใน Part 2 เมื่อเธอได้พบกับ กาลี (Kali) หรือหมายเลข 8 ที่ถูกกองทัพจับตัวไป กาลีเล่าให้ฟังว่า ดร.เคย์ (ลินดา แฮมิลตัน) ได้สานต่องานของ ดร.เบรนเนอร์ โดยนำเลือดของกาลีไปทดลองกับหญิงตั้งครรภ์เพื่อสร้างเด็กที่มีพลังจิต แต่ทุกคนล้มตาย ความจริงที่น่าสะเทือนใจนี้ทำให้กาลีเสนอแผนสุดโหด นั่นคือการฆ่าตัวตายหลังจากเอาชนะเวคน่า เพื่อไม่ให้รัฐบาลสามารถใช้เลือดของพวกเธอสร้าง “เฮนรี่” คนใหม่ได้อีก การกลับมาของกาลีหลังจากหายไปตั้งแต่ซีซัน 2 ถือเป็นเซอร์ไพรส์ที่แฟนๆ รอคอยมานาน

เจมี่ แคมป์เบลล์ บาวเวอร์ (Jamie Campbell Bower) ในบท เวคน่า หรือเฮนรี่ ครีล ยังคงน่าขนลุกและน่าหวาดกลัวเหมือนเดิม แผนการขั้นสุดท้ายของเขาถูกเปิดเผยใน Part 2 ว่าเขาต้องการ รวมโลกมนุษย์เข้ากับ Abyss โดยใช้เด็ก 12 คนที่ลักพาตัวมาเป็น “ภาชนะ” เพิ่มพลังให้เขา เวคน่าเลือกเด็กเพราะพวกเขาง่ายต่อการควบคุม และพยายามหลอกพวกเขาว่าแม็กซ์คือ “สิ่งมืด” (The IT) ที่มาทำร้ายพวกเขา ฉากที่เวคน่าปลอมตัวเป็น Mr. Whatsit เพื่อหลอกเด็กๆ นั้นทำได้น่าขยะแขยงและน่ากลัวมาก การแสดงของบาวเวอร์ยังคงเป็นจุดเด่นที่ทำให้ตัวร้ายของซีรีส์นี้น่าจดจำไปอีกนาน

หนึ่งในไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดของ Part 2 คือการเปิดเผยว่า Upside Down ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร ดัสตินค้นพบบันทึกของ ดร.เบรนเนอร์และ Exotic Matter ที่อธิบายว่า Upside Down ไม่ใช่มิติคู่ขนาน แต่เป็นประตูหนอนสู่ Abyss หรือ Camazotz ที่เป็นบ้านของเวคน่า เมื่ออีเลฟเว่นส่งเฮนรี่ไปยัง Abyss ในซีซัน 4 และ ดร.เบรนเนอร์บังคับให้เธอค้นหาเขาผ่านถังหมักประสาทสัมผัส การติดต่อของอีเลฟเว่นกับ Abyss ทำให้เกิด Upside Down ขึ้นมาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองโลก ความจริงนี้เปลี่ยนทุกอย่างที่เราเคยคิดเกี่ยวกับซีรีส์นี้ไปตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

เมื่อเข้าสู่ตอนที่ 7 “The Bridge” ทีมงานทั้งหมดกลับมารวมตัวกันและวางแผนโจมตีครั้งสุดท้าย แนนซี่เสนอให้ใช้ถังหมักที่ห้องแล็บฮอว์กินส์เวอร์ชัน Upside Down เพื่อให้อีเลฟเว่นเข้าถึงจิตใจของเวคน่าได้โดยตรง แม็กซ์อาสาเป็นผู้นำทางเพราะเธอรู้จักโครงสร้างจิตใจของเขาดีที่สุด กาลีจะเข้าไปช่วยอีเลฟเว่นต่อสู้กับ “พี่ชาย” ของพวกเธอ และดัสตินเสนอแผนสุดท้ายคือ วางระเบิดใกล้กับ Exotic Matter เพื่อทำลายสะพานเชื่อมระหว่างสองโลก เมื่อสะพานพัง ทุกอย่างรวมถึง Abyss, Mind Flayer และสัตว์ประหลาดทั้งหมดจะหายไปด้วย คำถามใหญ่ที่สุดคือ ใครจะรอดและใครจะต้องเสียสละในการต่อสู้ครั้งนี้?

Part 2 มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยที่เห็นได้ชัด จุดเด่นคือการเปิดเผยความลับสำคัญหลายอย่าง การพัฒนาตัวละครอย่างวิลล์และแม็กซ์ และฉากแอ็คชั่นที่ทำได้ดีเมื่อมี แต่จุดด้อยที่หลายคนรู้สึกคือ ความเร็วของเรื่องที่ช้าลงมาก เมื่อเทียบกับ Part 1 มีการอธิบายเนื้อหาซ้ำๆ เพื่อให้แน่ใจว่าคนดูเข้าใจ และฉากวางแผนที่ยาวเกินไปจนบางคนรู้สึกเบื่อ นอกจากนี้ตัวละครบางคนอย่าง ฮอปเปอร์ (เดวิด ฮาร์เบอร์) และไมค์ไม่ได้มีบทบาทมากเท่าที่ควร รู้สึกเหมือนซีรีส์กำลังยัดเนื้อหาเยอะเกินไปและต้องรีบตัดจบทุกอย่างในตอนสุดท้ายเพียงตอนเดียว สำหรับใครที่ชอบดูซีรีส์ Netflix Original แล้วละก็ อาจจะรู้สึกว่า Part 2 ไม่ลื่นไหลเท่ากับ Part 1

ตอนจบ “The Rightside Up” จะลงให้ดูในวันส่งท้ายปี 31 ธันวาคม 2025 โดยมีความยาวกว่า 2 ชั่วโมง และจะฉายพร้อมกันใน 500 โรงภาพยนตร์ทั่วสหรัฐอเมริกา ความคาดหวังสูงมากว่าตอนจบจะสามารถตอบคำถามทั้งหมดได้หรือไม่ ใครจะรอดใครจะตาย อีเลฟเว่นและกาลีจะต้องเสียสละตัวเองจริงๆ หรือเปล่า และที่สำคัญที่สุดคือเวคน่าจะถูกกำจัดได้สำเร็จหรือไม่ หลังจาก 10 ปีของการรอคอย แฟนๆ ทั่วโลกพร้อมที่จะร่ำไห้และเฉลิมฉลองไปพร้อมกับตัวละครที่เราเติบโตมาด้วยกัน

Stranger Things Season 5 Part 2 อาจไม่ถึงระดับความตื่นเต้นของ Part 1 แต่ก็ทำหน้าที่ของมันในการปูทางไปสู่ตอนจบสุดยิ่งใหญ่ การเปิดเผยความลับของ Upside Down, การพัฒนาตัวละคร และการเตรียมพร้อมสำหรับศึกสุดท้ายนั้นทำได้ดี แม้จะมีปัญหาเรื่องความเร็วและการกระจายเวลาให้ตัวละครบางคน แต่สำหรับใครที่ตามซีรีส์มาตลอด 10 ปี Part 2 เป็นสิ่งที่ต้องดูเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้าย อย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่รอดูตอนจบอยู่ แล้วมาพูดคุยกันในคอมเมนต์ว่าทายผลตอนจบยังไงบ้าง!

• ชื่อเรื่องในภาษาไทย: สเตรนเจอร์ ธิงส์ ซีซั่น 5
• ประเภท: ไซไฟ, ระทึกขวัญ, ดราม่า, สยองขวัญ
• วันที่ออกฉาย Part 2: 25 ธันวาคม 2025 (ตอนที่ 5-7), 31 ธันวาคม 2025 (ตอนจบ)
• นักแสดงนำ: มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ (Millie Bobby Brown), ฟินน์ โวล์ฟฮาร์ด (Finn Wolfhard), โนอาห์ ชแนปป์ (Noah Schnapp), เกเทน มาตาราซโซ (Gaten Matarazzo), คาเลบ แมคลาฟลิน (Caleb McLaughlin), เซดี ซิงค์ (Sadie Sink), เจมี่ แคมป์เบลล์ บาวเวอร์ (Jamie Campbell Bower)
• ผู้สร้าง: พี่น้องดัฟเฟอร์ (The Duffer Brothers)
• ความยาว Part 2: 3 ตอน
• เรตติ้ง IMDb: รอการอัปเดต
• ช่องทางการดู: Netflix