รีวิวหนัง-ซีรีส์

[รีวิว-เรื่องย่อ] ซันไชน์ | Sunshine (2025)

  • Sunshine เป็นหนังจากฟิลิปปินส์ที่เล่าเรื่องนักกายกรรมรุ่นเยาว์ผู้ต้องเผชิญกับการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในช่วงการคัดเลือกทีมชาติโอลิมปิก
  • หนังพยายามหยิบยกประเด็นที่อ่อนไหวเกี่ยวกับสิทธิสตรีและการทำแท้งในประเทศที่มีกฎหมายเข้มงวด แต่การนำเสนอขาดความละเอียดอ่อน
  • บทภาพยนตร์มีปัญหาด้านความสมบูรณ์ของเรื่องราว ตัวละครบางตัวไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน และหลายฉากดูเร่งรีบเกินไป
  • Maris Racal แสดงนำได้อย่างเต็มที่ แต่บทและการกำกับไม่ได้ช่วยให้เธอแสดงศักยภาพได้อย่างสมบูรณ์

เคยสงสัยไหมว่าเมื่อฝันใกล้จะเป็นจริง แต่ชีวิตกลับพาเราไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด เราจะเลือกอย่างไร? หนัง Sunshine (2025) จากผู้กำกับ Antoinette Jadaone พยายามนำเสนอคำถามนี้ผ่านเรื่องราวของ ซันไชน์ นักกายกรรมหนุ่มสาวที่กำลังจะได้เข้าทีมชาติเพื่อไปแข่งขันโอลิมปิก แต่กลับพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ในช่วงสัปดาห์ก่อนการคัดเลือก หนังเรื่องนี้หยิบยกประเด็นที่อ่อนไหวอย่างการทำแท้งในประเทศฟิลิปปินส์ที่ถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

หนังเรื่องนี้ได้รับเลือกให้เข้าฉายใน Toronto International Film Festival เมื่อปี 2024 และชนะรางวัล Crystal Bear สาขาหนังยอดเยี่ยมจาก Berlin International Film Festival ในปี 2025 ก่อนจะเปิดตัวในโรงภาพยนตร์ของฟิลิปปินส์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 และมาให้รับชมทาง Netflix ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน แม้หนังจะได้รับคำชมจากนักวิจารณ์บางส่วน แต่เมื่อดูจริงแล้ว เรื่องราวกลับมีปัญหาที่ทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ยังไม่สมบูรณ์

ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกว่าหนัง Sunshine พยายามสื่ออะไร ทำไมการนำเสนอถึงดูเร่งรีบและขาดความละเอียดอ่อน และทำไมหนังที่ควรจะเป็นเรื่องราวที่ทรงพลังกลับกลายเป็นประสบการณ์การรับชมที่น่าผิดหวัง

เรื่องราวของ Sunshine เริ่มต้นด้วย ซันไชน์ (รับบทโดย Maris Racal) นักกายกรรมอายุ 19 ปี ที่กำลังฝึกซ้อมหนักเพื่อเข้าทีมชาติและไปแข่งขันโอลิมปิก เธออาศัยอยู่กับพี่สาวคือ กีลีน นักกายกรรมเก่าที่กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว และน้องชายชื่อ ร็อด ชีวิตของซันไชน์ดูเหมือนจะไปในทิศทางที่ดี จนกระทั่งเธอค้นพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ในช่วงสัปดาห์ก่อนการคัดเลือกทีมชาติ ความฝันที่เธอสร้างมาตลอดชีวิตกำลังจะพังทลายลงในพริบตา

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีกคือการทำแท้งถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายในฟิลิปปินส์ ซันไชน์จึงต้องหาทางซื้อยาทำแท้งผิดกฎหมาย เธอยืมเงินจากพ่อ และจาก มิกกี้ แฟนหนุ่มที่เป็นพ่อของลูกในครรภ์ ระหว่างทางเธอได้พบกับเด็กหญิงลึกลับที่คอยติดตามเธอไปทุกที่ ซึ่งพูดและคิดเหมือนกับเธออย่างแปลกประหลาด แต่หนังไม่เคยอธิบายชัดเจนว่าเด็กคนนี้คือใคร เป็นจินตนาการของเธอหรือเป็นตัวละครจริง

ซันไชน์พยายามทำแท้งด้วยตัวเองในโรงแรม แต่กลับล้มเหลวและเกือบจะตายเพราะเลือดออกรุนแรง เด็กหญิงลึกลับพยายามปลอบโยนเธออย่างสิ้นหวัง เธอถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล แพทย์สูตินรีเวชที่มีอคติว่ากล่าวตำหนิเธออย่างรุนแรง จนกระทั่งพี่สาวกีลีนมารับเธอกลับบ้าน กีลีนสังเกตเห็นอาการตั้งครรภ์ของซันไชน์ตั้งแต่ตอนที่เธออาเจียนขณะดูแลลูกน้อย แต่เธอไม่บังคับ กลับบอกให้ซันไชน์พักผ่อน แต่ซันไชน์ปฏิเสธเพราะเธอบอกว่ากายกรรมคือชีวิตของเธอ

ข่าวลือเรื่องการตั้งครรภ์ของซันไชน์แพร่สะพัดออกไป โค้ชอีเดน เตือนเธอว่าจะถูกถอดออกจากทีมหากข่าวลือเป็นจริง และขอให้เธอแยกปัญหาส่วนตัวออกจากการกีฬา ซันไชน์ซื้อยาทำแท้งอีกครั้ง แล้วเธอก็ได้พบกับ แมรี่ เกรซ เด็กหญิงอายุ 13 ปีที่ตั้งครรภ์เช่นกัน เด็กคนนี้เปิดเผยว่าเธอถูกลุงชื่อ โบบ็อต ข่มขืนจนตั้งครรภ์ และต้องการทำแท้งแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ซันไชน์ใจอ่อน จึงให้เงินเธอไปซื้อยาทำแท้ง

ซันไชน์ตามเด็กหญิงลึกลับไปพบกับ อาเรียนา เด็กเกย์ที่หนีออกจากบ้านเพราะถูกทารุณกรรม พวกเขาคุยกันอยู่ แล้วอาเรียนาก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติที่บ้าน จึงรีบวิ่งกลับไป ซันไชน์และเด็กหญิงลึกลับตามไปเจอแมรี่ เกรซนอนหมดสติและเลือดไหลเพราะพยายามทำแท้งด้วยตัวเองในโรงแรม พวกเขารีบพาเธอไปโรงพยาบาล แพทย์กลัวโทษทางกฎหมายจึงไม่กล้าช่วย จนกระทั่ง หมอเฮเลนา แพทย์หญิงที่เห็นใจยอมช่วยอย่างลับๆ

แมรี่ เกรซหายดีแต่เสียลูก ขณะที่ซันไชน์ปลอบใจเธออยู่ เธอได้ยินเสียงเด็กหญิงลึกลับตามหาอาเรียนาที่หายไป ซันไชน์พยายามปลอบโยน แต่เด็กหญิงกลับโวยวายและวิ่งหนีไป ซันไชน์บอกแม่ของแมรี่ เกรซเรื่องที่เกิดขึ้น แต่กลับพบว่าแม่ของเธอกำลังคบหากับโบบ็อต ซันไชน์โกรธจัด จึงตีโบบ็อตด้วยขวดแล้วหนีไป

เธอได้นัดหมอเฮเลนาเพื่อทำแท้งอย่างปลอดภัย ก่อนนัดหมายมิกกี้และพ่อของเขาคือ เจม ศิษยาภิบาล มาที่บ้านของซันไชน์ มิกกี้ขอโทษอย่างไม่จริงใจ ขณะที่เจมเสนอจะช่วยดูแลลูก แต่ซันไชน์ปฏิเสธ เธอบอกว่าไม่อยากเป็นแม่ กีลีนไล่พวกเขาออกไป และปลอบโยนซันไชน์ว่าจะสนับสนุนทุกการตัดสินใจของเธอ ท้ายสุดซันไชน์กลับมาฝึกซ้อม และเด็กหญิงลึกลับก็ปรากฏตัวอีกครั้งเพื่อดูเธอฝึก ซันไชน์ถามเธอว่าเข้าใจการตัดสินใจของเธอหรือไม่

หลังจากดูหนังจบ สิ่งที่เหลืออยู่คือความสับสนและความผิดหวัง หนังเรื่องนี้เริ่มต้นด้วยแนวคิดที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการเลือกระหว่างความฝันกับความเป็นจริงที่โหดร้าย แต่การดำเนินเรื่องกลับทำให้ประเด็นสำคัญเหล่านั้นจางหายไป บทภาพยนตร์ดูเหมือนไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ตัวละครบางตัวปรากฏตัวแล้วหายไปโดยไม่มีคำอธิบาย และหลายฉากรู้สึกเหมือนถูกบีบให้เร็วเกินไปจนขาดความลึกซึ้ง

เด็กหญิงลึกลับ ที่ติดตามซันไชน์ตลอดเรื่องคือหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่สุด เธอคือใคร? เป็นจินตนาการของซันไชน์หรือเปล่า? ทำไมเธอถึงพูดและคิดเหมือนซันไชน์? และทำไมเธอถึงหายไปโดยไม่มีคำอธิบายในท้ายเรื่อง? หนังไม่เคยตอบคำถามเหล่านี้ ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าตัวละครนี้ถูกใส่เข้ามาเพื่อเพิ่มความลึกลับ แต่กลับไม่มีจุดประสงค์ที่แท้จริง

เรื่องราวของ แมรี่ เกรซ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา เธอเป็นเด็กหญิง 13 ปีที่ถูกลุงข่มขืนและต้องการทำแท้ง ซันไชน์ช่วยเธอ และเราเห็นว่าเธอเกือบตายจากการทำแท้งด้วยตัวเอง แต่หลังจากนั้นล่ะ? เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? เธอกลับไปอยู่กับแม่ที่คบหากับคนที่ข่มขืนเธอหรือเปล่า? หนังไม่ได้ให้คำตอบ ทำให้รู้สึกว่าตัวละครนี้ถูกใช้เพียงเพื่อแสดงให้เห็นว่าการทำแท้งผิดกฎหมายอันตรายแค่ไหน แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับชีวิตของเธอหลังจากนั้น

การนำเสนอเรื่องการทำแท้งในหนังเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาอีกเช่นกัน หนังพยายามจะสื่อว่านี่เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพูดถึง แต่กลับทำให้ดูเหมือนว่าการตั้งครรภ์และการทำแท้งเป็นเรื่องง่ายๆ ซันไชน์ทำแท้งล้มเหลว เกือบตาย แต่พอหายแล้วก็กลับมาฝึกกายกรรมได้ปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจที่ผู้หญิงต้องเผชิญหลังจากการทำแท้งไม่ได้ถูกนำเสนออย่างจริงจัง ทำให้หนังดูขาดความละเอียดอ่อนที่ควรจะมีกับประเด็นนี้

จังหวะการเล่าเรื่องก็เป็นปัญหาใหญ่อีกเช่นกัน หนังเรื่องนี้มีความยาว 91 นาที ซึ่งถือว่าไม่สั้นเกินไป แต่รู้สึกเหมือนทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนขาดความลึก ฉากสำคัญๆ ดูเหมือนจะถูกบีบให้จบเร็ว เช่น ฉากที่มิกกี้ปฏิเสธความรับผิดชอบ ฉากที่โค้ชเตือนซันไชน์ หรือฉากที่กีลีนให้กำลังใจน้องสาว ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วจบลงอย่างรวดเร็ว ไม่ให้เวลาผู้ชมได้ซึมซับอารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร

สิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดคือหนังเรื่องนี้แทบไม่ได้แสดงให้เห็นเรื่องกายกรรมเลย แม้ว่าซันไชน์จะบอกว่ากายกรรมคือชีวิตของเธอ แต่เราแทบไม่เห็นเธอฝึกซ้อม ไม่เห็นความทุ่มเท ความเจ็บปวด และความฝันที่เธอมี เราไม่รู้สึกถึงความสำคัญของโอลิมปิกต่อเธอ ดังนั้นเมื่อเธอต้องเลือกระหว่างความฝันกับการตั้งครรภ์ เราก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของการตัดสินใจนั้น

Maris Racal ในบทซันไชน์พยายามแสดงอย่างเต็มที่ เธอถ่ายทอดความกลัว ความสับสน และความสิ้นหวังได้ในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาคือบทภาพยนตร์ไม่ได้ช่วยให้เธอแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ตัวละครซันไชน์ขาดความลึกและการพัฒนาที่ชัดเจน เราไม่ค่อยได้เห็นว่าเธอคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร และทำไมเธอถึงตัดสินใจแบบนั้น การแสดงของ Racal สามารถทำได้ดีกว่านี้มากถ้าบทเขียนได้ดีกว่านี้

Jennica Garcia ในบทกีลีน พี่สาวของซันไชน์ แสดงได้ดีในฐานะผู้หญิงที่เคยผ่านเรื่องยากลำบากมาก่อน เธอให้กำลังใจน้องสาวและไม่ตัดสินเธอ แต่ตัวละครของเธอก็ไม่ได้รับการพัฒนามากพอ เราไม่ค่อยรู้เรื่องราวของเธอว่าเธอเคยเป็นนักกายกรรมแต่ต้องหยุดเพราะอะไร และทำไมเธอถึงเข้าใจซันไชน์ได้ดีขนาดนี้

Elijah Canlas ในบทมิกกี้ แสดงได้ตรงตามที่บทต้องการคือเป็นแฟนหนุ่มที่ไร้ความรับผิดชอบ แต่ตัวละครของเขาก็ดูแบนราบ เราไม่เห็นการพัฒนาหรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ เขาแค่เป็นคนเลวในตอนแรกและยังคงเป็นคนเลวในตอนจบ

Xyriel Manabat ในบทแมรี่ เกรซ เด็กหญิง 13 ปีที่ถูกข่มขืนและต้องการทำแท้ง แสดงได้น่าสงสารและน่าเห็นใจ แต่เรื่องราวของเธอถูกละทิ้งไปกลางคัน ทำให้รู้สึกว่าตัวละครนี้ถูกใช้แค่เป็นเครื่องมือเพื่อแสดงให้เห็นความอันตรายของการทำแท้งผิดกฎหมาย ไม่ใช่เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตและอารมณ์ที่สมบูรณ์

นักแสดงสมทบอย่าง Annika Co, Meryll Soriano และ Piolo Pascual (ในบทศิษยาภิบาล) ต่างก็แสดงได้ดีในบทของตัวเอง แต่พวกเขาปรากฏตัวไม่นานพอที่จะสร้างผลกระทบที่แท้จริง

Antoinette Jadaone เป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียงในวงการหนังฟิลิปปินส์ จากผลงานอย่าง That Thing Called Tadhana และ Fan Girl ที่ได้รับคำชม แต่กับ Sunshine เธอดูเหมือนจะสูญเสียทิศทางไป หนังเรื่องนี้พยายามจะพูดถึงหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน ทั้งการทำแท้ง ความฝันของนักกีฬา สิทธิสตรี และ ความรับผิดชอบของสังคม แต่กลับไม่สามารถพูดถึงอะไรได้อย่างลึกซึ้งจริงจัง

การถ่ายภาพของ Pao Orendain มีบางฉากที่สวยงาม โดยเฉพาะฉากที่ซันไชน์ฝึกกายกรรม แต่โดยรวมแล้วหนังดูมืดและหดหู่เกินไป บางทีการใช้สีเขียวในหลายฉาก (ตามที่นักวิจารณ์บางคนกล่าวว่าเป็นการสะท้อนถึงการครอบงำของคาทอลิกในฟิลิปปินส์) อาจมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ แต่สำหรับผู้ชมทั่วไป มันแค่ทำให้หนังดูไม่น่าสนใจ

ดนตรีประกอบของ Rico Blanco ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก electronic music และเพลง “Elektrobank” ของ The Chemical Brothers พยายามสร้างบรรยากาศที่ตึงเครียด แต่ในบางฉากกลับรู้สึกไม่เข้ากับภาพ ทำให้อารมณ์ของฉากนั้นๆ ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเต็มที่

การตัดต่อของ Ben Tolentino เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ หนังดูเหมือนจะกระโดดจากฉากหนึ่งไปอีกฉากหนึ่งอย่างรวดเร็ว ไม่ให้เวลาผู้ชมได้ซึมซับอารมณ์ บางฉากสำคัญถูกตัดออกหรือย่อให้สั้นเกินไป จนรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้อาจจะต้องการความยาวมากกว่า 91 นาทีเพื่อเล่าเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์

หนัง Sunshine พยายามจะเป็นเสียงสะท้อนให้กับผู้หญิงหลายแสนคนในฟิลิปปินส์ที่ต้องเผชิญกับการตั้งครรภ์ไม่พร้อมและไม่มีทางเลือกที่ปลอดภัย สถิติจากฟิลิปปินส์แสดงว่ามีวัยรุ่นประมาณ 500 คนตั้งครรภ์ทุกวัน และมีการทำแท้งประมาณ 973,000 รายต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยเพราะการทำแท้งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

หนังพยายามจะสื่อว่าผู้หญิงควรมีสิทธิในการเลือกและควรได้รับการดูแลที่ปลอดภัย แต่วิธีการนำเสนอกลับทำให้ประเด็นนี้ดูเบาและขาดความละเอียดอ่อน การที่หนังแสดงให้เห็นว่าซันไชน์สามารถทำแท้งแล้วกลับมาฝึกกายกรรมได้ปกติ ทำให้ดูเหมือนว่าการทำแท้งไม่มีผลกระทบใดๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งไม่ใช่ความจริง

หนังยังพยายามจะพูดถึงความฝันของนักกีฬาและการเสียสละที่พวกเขาต้องทำ แต่เราแทบไม่ได้เห็นซันไชน์ฝึกซ้อมหรือแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทของเธอต่อกีฬา ดังนั้นเมื่อเธอต้องเลือกระหว่างความฝันกับการตั้งครรภ์ เราก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของการตัดสินใจนั้น

สิ่งที่หนังทำได้ดีคือการแสดงให้เห็นว่าสังคมฟิลิปปินส์ที่เป็นคาทอลิกและอนุรักษ์นิยมนั้นไม่ให้ความสำคัญกับสิทธิของผู้หญิง โดยเฉพาะในเรื่องการทำแท้ง เราเห็นว่าแพทย์กลัวที่จะช่วยผู้หญิงที่ทำแท้งเพราะกลัวโทษทางกฎหมาย เราเห็นว่าศิษยาภิบาลพยายามบังคับให้ผู้หญิงคงลูกไว้โดยไม่สนใจว่าเธอพร้อมหรือไม่ และเราเห็นว่าผู้หญิงที่ต้องการทำแท้งต้องเสี่ยงชีวิตกับวิธีการที่ไม่ปลอดภัย

Sunshine (2025) คือหนังที่มีประเด็นสำคัญและน่าสนใจ แต่กลับไม่สามารถนำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทภาพยนตร์สับสน ตัวละครขาดความลึก การเล่าเรื่องเร่งรีบ และหลายฉากดูไม่จบ ผู้กำกับพยายามจะพูดถึงหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน แต่กลับทำให้ทุกอย่างดูผิวเผินและไม่มีน้ำหนัก

การแสดงของ Maris Racal พยายามช่วยให้หนังเรื่องนี้ดีขึ้น แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะเอาชนะปัญหาเชิงโครงสร้างของหนัง หนังเรื่องนี้ควรจะเป็นเรื่องราวที่ทรงพลังเกี่ยวกับสิทธิสตรี ความฝัน และ การเลือกในชีวิต แต่กลับกลายเป็นประสบการณ์การรับชมที่น่าผิดหวังและสับสน

หากใครสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับสิทธิสตรีและปัญหาสังคมในฟิลิปปินส์ อาจจะลองดูหนังเรื่องนี้ได้ แต่อย่าคาดหวังว่าจะได้รับประสบการณ์การรับชมที่สมบูรณ์หรือได้ข้อความที่ชัดเจน สำหรับคนที่ต้องการดูหนังที่มีเนื้อหาลึกซึ้งและการเล่าเรื่องที่ดี อาจจะต้องหาหนังเรื่องอื่นดีกว่า มาแชร์ความคิดเห็นกันในคอมเมนต์ว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เราคิดอย่างไรเกี่ยวกับประเด็นที่หยิบยกมา และอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่อาจสนใจหรือกำลังมองหาหนังดราม่าเกี่ยวกับประเด็นสังคม

  • ชื่อเรื่องในภาษาไทย: ซันไชน์
  • ประเภท: ดราม่า, กีฬา
  • วันที่ออกฉาย: 23 กรกฎาคม 2025 (ฟิลิปปินส์) / 26 พฤศจิกายน 2025 (Netflix)
  • นักแสดงนำ: Maris Racal, Elijah Canlas, Xyriel Manabat, Jennica Garcia, Annika Co, Meryll Soriano
  • ผู้กำกับ: Antoinette Jadaone
  • ความยาว: 1 ชั่วโมง 32 นาที
  • ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix

กดเพื่ออ่านต่อ

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button