รีวิวหนังเกาหลี

[รีวิว-เรื่องย่อ] บู๊ระห่ำล่าล้างนรก | The Roundup (2022)

  • The Roundup เป็นภาคต่อจาก The Outlaws ที่ตั้งเหตุการณ์ 4 ปีหลัง เน้นการไล่ล่าฆาตกรต่อเนื่องสุดโหด
  • การแสดงของ Ma Dong-seok เด่นสุดๆ ผสมแอ็คชั่นดุเดือดกับมุกตลกที่ลงตัวแบบไม่ฝืน
  • หนังสำรวจธีมการล่าอาชญากรข้ามประเทศ ผสมความรุนแรงและฮาแบบเกาหลีแท้ๆ
  • ผู้กำกับ Lee Sang-yong รักษาสูตรสำเร็จแต่เพิ่มความสดใหม่ให้สนุกยิ่งขึ้น

เคยคิดไหมว่าถ้าตำรวจโหดๆ แบบ Ma Seok-do ต้องไปไล่ล่าอาชญากรข้ามประเทศ จะเกิดอะไรขึ้น? หนัง The Roundup (2022) ของเกาหลีใต้พาเราไปสัมผัสความมันส์ระห่ำที่ต่อยอดจาก The Outlaws มาอย่างลงตัว หลังจากภาคแรกที่ Ma Dong-seok สร้างตำนานตำรวจกำปั้นเหล็ก ภาคนี้เขากลับมาพร้อมภารกิจใหม่ในเวียดนาม ที่ต้องเจอกับฆาตกรโรคจิต Kang Hae-sang ที่ลักพาตัวและฆ่านักท่องเที่ยวเกาหลีแบบไม่เลือกหน้า หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่แอ็คชั่นธรรมดา แต่ยังผสมมุกฮาที่ทำให้เรายิ้มได้แม้ในฉากเลือดสาด

เรื่องราวเกิดขึ้น 4 ปีหลังเหตุการณ์ใน The Outlaws เมื่อ Ma Seok-do และกัปตันของเขา (Choi Gwi-hwa) เดินทางไปเวียดนามเพื่อรับตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่กลับเจอคดีใหญ่โต เมื่อ Kang Hae-sang (Son Suk-ku) ฆาตกรสุดเหี้ยมกำลังไล่ฆ่าคนเกาหลีเพื่อเงิน หนังพาเราไปสำรวจความขัดแย้งระหว่างตำรวจกับอาชญากรที่ไม่ยอมหยุดง่ายๆ ทำให้การไล่ล่ากลายเป็นสงครามเลือดที่เดือดพล่าน ถ้าเราเคยดูหนังแอ็คชั่นเกาหลี เราจะรู้ว่ามันไม่เคยแผ่วเรื่องความรุนแรง แต่เรื่องนี้เพิ่มเลเวลด้วยฉากต่อสู้ที่เหมือนรถบรรทุกชนกันเลยทีเดียว

ในบทความนี้ เราจะพาไปเจาะลึกทุกมุมของ หนัง The Roundup ตั้งแต่เรื่องย่อที่ตื่นเต้น ไปจนถึงจุดเด่นของการแสดงและบทที่ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นซีรีส์ยอดฮิตของเกาหลี มาดูกันว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงทำให้เราอยากลุกขึ้นมาต่อยใครสักคน (แบบในหนังนะ) และมันสะท้อนอะไรเกี่ยวกับ การล่าอาชญากร ในโลกที่ไร้กฎหมาย

รีวิวและเรื่องย่อ The Roundup (บู๊ระห่ำล่าล้างนรก)

The Roundup เล่าเรื่องการไล่ล่าที่เริ่มต้นจากภารกิจรับตัวผู้ร้ายข้ามแดนในเวียดนาม แต่กลายเป็นการเผชิญหน้ากับ Kang Hae-sang ฆาตกรโรคจิตที่ลักพาตัวและฆ่านักท่องเที่ยวเกาหลีเพื่อเรียกค่าไถ่ เขาเป็นพวกที่แทงคนไม่เลือกหน้า แถมยังหักหลังพวกพ้องตัวเองแบบไม่ลังเล เหมือนแมวป่าที่หิวโหยและพร้อมข่วนทุกอย่างที่ขวางทาง Kang มองว่าคนอื่นไม่เคยสุภาพกับเขาเลยสักครั้ง ซึ่งทำให้เขายิ่งโหดเหี้ยมขึ้นไปอีก หนังพาเราไปเห็นด้านมืดของมนุษย์ที่ไร้ซึ่งความเมตตา เหมือนกับการโยนคนกลุ่มหนึ่งลงไปในถ้ำมืดแล้วดูว่าพวกเขาจะฆ่ากันยังไง

เรื่องราวดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เมื่อ Ma Seok-do พยายามจับ Kang แต่กลับพบว่ามีคนอื่นๆ ก็ไล่ตามฆาตกรคนนี้เหมือนกัน ทำให้การล่ากลายเป็นสงครามเลือดที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม หนังใช้สูตรเดิมจากภาคแรกแต่ปรับให้สดใหม่ เช่น เพิ่มฉากในเวียดนามที่แปลกตาและเพิ่มความตึงเครียดจากการข้ามวัฒนธรรม เราจะได้เห็นว่าแม้ Kang จะโหดแค่ไหน แต่ Ma ก็พร้อมตอบโต้ด้วยกำปั้นที่หนักหน่วง เหมือนรถถังบุกทะลวงกำแพง มันทำให้เรานั่งไม่ติดเก้าอี้ รอคอยว่าตอนจบจะเดือดขนาดไหน

ผู้กำกับ Lee Sang-yong นำองค์ประกอบจาก The Outlaws มาปรับปรุงให้ลงตัวยิ่งขึ้น ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นแอ็คชั่นสูตรสำเร็จแต่ไม่น่าเบื่อ หนังไม่พยายามลึกซึ้งอะไรมาก แค่เน้นความบันเทิงจากการต่อสู้และมุกตลก แต่ก็ทำได้ดีจนกลายเป็นจุดขาย เหมือนกินข้าวมันไก่ที่สูตรเดิมแต่เพิ่มน้ำจิ้มใหม่ให้อร่อยขึ้น

Ma Dong-seok ในบท Ma Seok-do คือดาวเด่นตัวจริง เขากลับมารับบทตำรวจกำปั้นเหล็กที่ต่อยใครก็ล้มเป็นแถว แต่ภาคนี้เพิ่มมุกตลกให้สมดุลกับความรุนแรงมากขึ้น เหมือนมีฉากเลือดสาดแล้วตัดมาที่มุกฮาที่ทำให้เราหัวเราะกลบความโหด หมัดของ Ma หนักเหมือนโดนรถชน แต่พวกอาชญากรก็ยังชอบยั่วโมโหเขาอยู่ดี มันทำให้หนังสนุกแบบไม่เครียดเกินไป และ Ma Dong-seok ขายบทนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนเขาเกิดมาเพื่อบทนี้เลย

การผสมผสานระหว่างแอ็คชั่นและคอมเมดี้ในหนังเรื่องนี้ลงตัวกว่าภาคแรกเยอะ ทีมนักแสดงสมทบอย่าง Choi Gwi-hwa ในบทกัปตันก็ช่วยเพิ่มความฮา ทำให้แม้เหตุการณ์จะดราม่า แต่หนังไม่รู้สึกฝืน บทเขียนมาเพื่อใช้จุดแข็งของนักแสดงจริงๆ ทำให้เรื่องดำเนินไปอย่างลื่นไหล เราจะได้เห็นว่าทำไมซีรีส์นี้ถึงฮิต เพราะมันไม่พยายามซับซ้อน แค่ให้เราได้มันส์กับการไล่ล่าและหัวเราะไปด้วย

Son Suk-ku ในบท Kang Hae-sang ก็เด่นไม่แพ้กัน เขาถ่ายทอดความโรคจิตได้น่ากลัว เหมือนเสือที่พร้อมกระโจนใส่เหยื่อทุกเมื่อ การแสดงของเขาทำให้ Kang ไม่ใช่แค่วายร้ายธรรมดา แต่เป็นตัวร้ายที่เราอยากเห็นโดน Ma ต่อยจริงๆ มันเพิ่มความตื่นเต้นให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นแอ็คชั่นที่ดูเพลิน

หนังเรื่องนี้สำรวจธีม การล่าอาชญากรข้ามชาติ โดยไม่ลงลึกเรื่องพัฒนาการตัวละครหรือความซับซ้อน แต่กลับทำให้มันกลายเป็นจุดแข็ง เพราะเน้นที่ความบันเทิงล้วนๆ เหมือนกินป๊อปคอร์นดูหนังแอ็คชั่น ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ได้ความสนุกเต็มๆ บทไม่มีซับเท็กซ์อะไร แต่ก็ไม่จำเป็น เพราะหนังตั้งใจเป็นแค่หนังมันส์ๆ ที่มีมุกตลกแทรก

ความสำเร็จของ The Roundup มาจากการเป็นหนังแอ็คชั่นคอมเมดี้ที่ไม่พยายามมากเกินไป มันสดใหม่พอที่จะไม่ซ้ำซาก แม้จะใช้สูตรเดิม และนั่นทำให้มันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของซีรีส์ยอดฮิตในเกาหลี เราจะได้เห็นว่าแม้ในโลกที่เต็มไปด้วยความรุนแรง แต่ฮาก็ยังแทรกเข้ามาได้ เหมือนชีวิตจริงที่บางทีเราก็หัวเราะกลบความเครียด

ผู้กำกับและทีมงานยังเพิ่มองค์ประกอบอย่างการถ่ายทำในเวียดนามที่ทำให้หนังดูแปลกใหม่ เพิ่มความตึงเครียดจากการเปลี่ยนสถานที่ มันทำให้เราคิดว่าถ้า Ma ต้องไปไล่ล่าในที่แปลกๆ อีก จะมันส์ขนาดไหน

The Roundup (2022) เป็นหนังที่ทำให้เรารู้ว่าความบันเทิงแท้จริงไม่ต้องซับซ้อน แค่มีแอ็คชั่นเดือดผสมฮาที่ลงตัว ก็พอแล้ว หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติของมนุษย์ในโลกอาชญากรรมเต็มไปด้วยความโหดร้าย แต่ก็มีด้านตลกที่ทำให้เรายิ้มได้ แม้จะไม่มีพัฒนาการตัวละครลึกซึ้ง แต่ความมันส์ทำให้เราลืมจุดนั้นไปเลย

สำหรับใครที่ชอบ หนังแอ็คชั่นเกาหลี ที่ผสมความฮาและเลือดสาด The Roundup คือตัวเลือกที่ไม่ควรพลาด มันจะทำให้เราอยากดูภาคต่อ No Way Out ทันที มาแชร์กันในคอมเมนต์ว่าฉากไหนที่ทำให้เราลุ้นสุดๆ หรือมุกไหนที่ฮาที่สุด และอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่ชอบหนังบู๊ระห่ำแบบนี้!

  • ชื่อเรื่องในภาษาไทย: บู๊ระห่ำล่าล้างนรก
  • ประเภท: แอ็คชั่น, คอมเมดี้, อาชญากรรม
  • วันที่ออกฉาย: 18 พฤษภาคม 2565
  • นักแสดงนำ: Ma Dong-seok, Son Suk-ku, Choi Gwi-hwa
  • ผู้กำกับ: Lee Sang-yong
  • ความยาว: 1 ชั่วโมง 46 นาที
  • เรตติ้ง IMDb: 7.0/10

กดเพื่ออ่านต่อ

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button