![[รีวิว-เรื่องย่อ] The Stringer: The Man Who Took the Photo (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/12/Review-The-Stringer-The-Man-Who-Took-the-Photo-2025.webp)
- The Stringer เป็นสารคดีที่เจาะลึกข้อพิพาทเกี่ยวกับภาพถ่ายสงครามเวียดนามที่โด่งดังที่สุดภาพหนึ่ง คือภาพ Napalm Girl
- Nick Ut ได้รับรางวัล Pulitzer Prize จากภาพนี้ แต่ Nguyen Thanh Nghe อ้างว่าเป็นคนถ่ายจริง
- สารคดีนำเสนอทั้งสองมุมมอง แต่ไม่ได้ตัดสินว่าใครถูกใครผิด ทิ้งให้ผู้ชมตัดสินเอง
- Associated Press และ World Press Photo ได้ทำการสอบสวน แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน
เราเคยสงสัยไหมว่าภาพถ่ายสงครามที่โด่งดังที่สุดภาพหนึ่งของโลกนั้น ใครเป็นคนกดชัตเตอร์กันแน่? ภาพของเด็กหญิงเปลือยกายวิ่งหนีจากการโจมตีด้วยระเบิดนาปาล์มในช่วงสงครามเวียดนาม เป็นภาพที่ฝังใจผู้คนทั่วโลกมากว่า 50 ปี ภาพนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพถ่าย แต่มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้ายของสงคราม และเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของขบวนการต่อต้านสงคราม Nick Ut ช่างภาพชาวเวียดนามอเมริกันได้รับเกียรติและรางวัล Pulitzer Prize จากภาพนี้ แต่แล้วในปี 2025 ก็มีสารคดีเรื่องหนึ่งออกมาตั้งคำถามว่า เขาเป็นคนถ่ายจริงหรือเปล่า
สารคดี The Stringer: The Man Who Took the Photo จาก Netflix พาเราไปเจาะลึกข้อพิพาทที่สั่นสะเทือนวงการสื่อมวลชนและการถ่ายภาพข่าวทั่วโลก ด้วยการเปิดเผยอีกมุมมองหนึ่งจาก Nguyen Thanh Nghe ช่างภาพฟรีแลนซ์ชาวเวียดนาม หรือที่เรียกกันว่า “stringer” ที่อ้างว่าเขาต่างหากที่เป็นคนถ่ายภาพ Napalm Girl ที่แท้จริง แต่ไม่เคยได้รับเครดิต ไม่เคยได้รับเกียรติ และถูกโลกลืม สารคดีเรื่องนี้ไม่ได้แค่เล่าเรื่องราวของสองช่างภาพที่อ้างสิทธิ์ในภาพเดียวกัน แต่ยังเป็นการตั้งคำถามกับระบบสื่อมวลชน ความยุติธรรม และการยอมรับในงานของช่างภาพท้องถิ่นที่มักถูกมองข้าม
ในบทความนี้ เราจะพาไปสำรวจทุกมุมของสารคดีเรื่องนี้ ตั้งแต่เรื่องราวของภาพถ่าย Napalm Girl ข้อพิพาทที่เกิดขึ้น การนำเสนอของสารคดี ไปจนถึงคำถามที่ยังไม่มีคำตอบว่า ใครคือคนที่ถ่ายภาพนี้จริงๆ
รีวิวและเรื่องย่อ The Stringer (ช่างภาพเบื้องหลังรูปถ่ายประวัติศาสตร์)
The Stringer เริ่มต้นด้วยการย้อนกลับไปในวันที่ 8 มิถุนายน 1972 ที่หมู่บ้าน Trang Bang ในเวียดนามใต้ เมื่อเครื่องบินของกองทัพอากาศเวียดนามใต้ทิ้งระเบิดนาปาล์มโดยเข้าใจผิดว่าพลเรือนที่กำลังหนีออกจากวัดเป็นทหารฝ่ายตรงข้าม การโจมตีครั้งนั้นทำให้เด็กหญิงอายุ 9 ขวบชื่อ Phan Thi Kim Phuc ถูกไฟไหม้จนต้องถอดเสื้อผ้าที่ติดไฟทิ้งและวิ่งหนีอย่างสิ้นหวัง ขณะนั้นมีช่างภาพหลายคนอยู่ที่เกิดเหตุ และภาพที่จับได้ในวันนั้นกลายเป็นภาพถ่ายสงครามที่โด่งดังที่สุดภาพหนึ่งของโลก
Nick Ut ช่างภาพของ Associated Press ได้รับเครดิตว่าเป็นคนถ่ายภาพนี้ เขาไม่เพียงแต่ถ่ายภาพ แต่ยังช่วยชีวิตเด็กหญิง Kim Phuc โดยพาเธอไปโรงพยาบาล ภาพนี้ทำให้เขาได้รับรางวัล Pulitzer Prize ในปี 1973 และกลายเป็นช่างภาพข่าวที่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาใช้ชีวิตครึ่งหลังทำงานให้กับ AP ในลอสแองเจลิส พบปะกับผู้นำระดับโลก และเดินทางไปทั่วโลกพร้อมกับ Kim Phuc เพื่อเป็นตัวแทนของสันติภาพ เรื่องราวของเขาดูสมบูรณ์แบบ จนกระทั่งปี 2022
Carl Robinson อดีตบรรณาธิการภาพของ AP ในเวียดนามติดต่อ Gary Knight ช่างภาพข่าวและผู้อำนวยการของ VII Foundation ด้วยข้อความที่ว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะปลดปล่อยจิตสำนึก” Robinson เผยว่าเมื่อครั้งที่เขาตรวจสอบฟิล์มที่ส่งมาจากสนามข่าวในวันนั้น ภาพ Napalm Girl มาจากม้วนฟิล์มของช่างภาพฟรีแลนซ์ (stringer) ไม่ใช่จาก Nick Ut และช่างภาพฟรีแลนซ์คนนั้นคือ Nguyen Thanh Nghe
Nguyen Thanh Nghe ช่างภาพฟรีแลนซ์ชาวเวียดนามที่ไปถึงสนามข่าวเช่นกัน อ้างว่าเขาคือคนที่ถ่ายภาพ Napalm Girl ที่แท้จริง เขาเล่าว่าเขาได้เงินเพียง 20 เหรียญจากภาพนั้น และ AP คืนฟิล์มให้เขาพร้อมกับภาพพิมพ์เป็นที่ระลึก แต่เขาไม่เคยได้รับเครดิตหรือรางวัลใดๆ จากภาพที่เปลี่ยนโลก สารคดีนำเสนอเรื่องราวของ Nghe ด้วยความละเอียด รวมถึงหลักฐานจากข่าวโทรทัศน์ในวันนั้นที่แสดงว่าเขาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกว่า Ut ในการถ่ายภาพนี้
สารคดีแบ่งออกเป็นสองมุมมอง ฝ่ายหนึ่งคือของ Nick Ut และ Associated Press ที่ยืนยันว่า Ut เป็นคนถ่ายภาพ พวกเขาชี้ให้เห็นว่า Ut มีชื่อเสียงและเป็นช่างภาพที่มีฝีมือ เขาช่วยชีวิต Kim Phuc และมีเรื่องราวที่สอดคล้องกัน การสอบสวนของ AP ที่ใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี สรุปว่าไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่า Nghe เป็นคนถ่ายภาพ และการเปลี่ยนเครดิตจะต้องการ “การกระโดดความเชื่อหลายครั้ง”
ฝ่ายอีกข้างคือของ Nguyen Thanh Nghe และผู้สนับสนุน ซึ่งนำเสนอหลักฐานจากฟุตเทจข่าว บันทึกของบรรณาธิการ และการวิเคราะห์ตำแหน่งที่ช่างภาพแต่ละคนยืนอยู่ในวันนั้น World Press Photo ที่เคยมอบรางวัล Photo of the Year ให้กับภาพนี้ในปี 1973 ได้ทำการสอบสวนและประกาศ “ระงับ” การระบุผู้ถ่ายในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยระบุว่าหลักฐานทางภาพและทางเทคนิคชี้ไปที่ Nghe มากกว่า แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ 100 เปอร์เซ็นต์
การนำเสนอของสารคดีมีความน่าสนใจในการให้ทั้งสองฝ่ายได้พูด ผู้ชมได้ยินเรื่องราวจาก Nghe โดยตรง ได้เห็นอารมณ์และความรู้สึกของเขาที่ถูกมองข้ามมาตลอด และได้ฟังคำอธิบายจาก Nick Ut ผ่านทนายความและคำแถลงของ AP สารคดียังสัมภาษณ์ช่างภาพคนอื่นๆ ที่อยู่ในสนามข่าววันนั้น ครอบครัวของทั้งสองฝ่าย และผู้เชี่ยวชาญที่วิเคราะห์หลักฐาน ทำให้ผู้ชมได้เห็นภาพรวมที่กว้างขึ้น
สารคดียังเจาะลึกถึงประเด็นของช่างภาพฟรีแลนซ์ท้องถิ่น หรือ “stringer” ที่มักถูกมองข้ามในวงการสื่อมวลชน พวกเขาเสี่ยงชีวิตถ่ายภาพในสนามรบ แต่มักไม่ได้รับเครดิตหรือรางวัลเท่าที่ควร ในกรณีของ สงครามเวียดนาม ช่างภาพชาวเวียดนามหลายคนทำงานให้กับสำนักข่าวต่างประเทศ แต่ชื่อของพวกเขาไม่ค่อยปรากฏในประวัติศาสตร์ สารคดีนี้ตั้งคำถามว่า มีช่างภาพคนอื่นๆ อีกกี่คนที่ถูกปฏิเสธสิทธิ์ในผลงานของตัวเอง
ประเด็นจริยธรรมก็เป็นอีกหนึ่งแง่มุมที่สารคดีสำรวจ Nick Ut เองก็เคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการเผยแพร่ภาพเด็กเปลือยกาย เขาบอกว่า Horst Faas บรรณาธิการหัวหน้าของ AP เป็นคนตัดสินใจใช้ภาพนี้ โดย Ut เองไม่ได้อยากให้ใช้ภาพของเด็กหญิงที่ไม่มีเสื้อผ้า แต่ในท้ายที่สุด คุณค่าข่าวของภาพก็มีน้ำหนักมากกว่าข้อกังวลเรื่องความเหมาะสม และภาพนี้ก็ออกไปเปลี่ยนแปลงโลก
สิ่งที่น่าสนใจคือ Kim Phuc เด็กหญิงในภาพที่ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่และเป็นทูตสันติภาพของสหประชาชาติ ไม่ได้แสดงความเห็นชัดเจนเกี่ยวกับข้อพิพาทนี้ เธอเคยพูดถึงว่า Ut ช่วยชีวิตเธอในวันนั้น และพวกเขายังคงสัมพันธ์กันดีจนถึงทุกวันนี้ แต่เธอก็ไม่ได้ยืนยันว่า Ut เป็นคนถ่ายภาพหรือไม่ ทัศนคติของเธอคือ ไม่ว่าใครจะเป็นคนถ่าย ภาพนั้นแสดงถึงความโหดร้ายของสงครามและความจำเป็นในการสร้างสันติภาพ
Associated Press ทำการสอบสวนอย่างเป็นทางการใช้เวลากว่าหนึ่งปี โดยวิเคราะห์หลักฐานทุกชิ้นที่มี รวมถึงการสัมภาษณ์พยาน การตรวจสอบกล้อง การสร้างโมเดล 3D ของสถานที่เกิดเหตุ และการตรวจสอบฟิล์มเนกาทีฟที่เหลืออยู่ ผลสรุปของ AP คือ “ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าควรเปลี่ยนการระบุผู้ถ่าย” แม้ว่าพวกเขาจะยอมรับว่าเวลาที่ผ่านไปและการขาดหลักฐานสำคัญทำให้ “เป็นไปไม่ได้ที่จะพิสูจน์อย่างสมบูรณ์” ว่า Ut เป็นคนถ่ายหรือไม่ แต่การให้เครดิต Nghe จะต้องการ “การกระโดดความเชื่อหลายครั้ง”
อย่างไรก็ตาม การสอบสวนก็เปิดเผยประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น AP พบว่าภาพนั้น “น่าจะ” ถ่ายด้วยกล้อง Pentax ซึ่ง Nghe เป็นที่รู้จักว่าใช้ ในขณะที่ Ut เคยบอกว่าเขาใช้กล้อง Leica และ Nikon แต่เมื่อถูกถามในการสอบสวน Ut บอกว่าเขาก็ใช้กล้อง Pentax ด้วย และ AP พบฟิล์มเนกาทีฟในคลังที่ถ่ายโดย Ut ในเวียดนามที่มี “ลักษณะของกล้อง Pentax”
World Press Photo ทำการสอบสวนแยกต่างหากและนำเสนอผลการค้นพบในเดือนพฤษภาคม 2025 ที่อัมสเตอร์ดัม พวกเขาสรุปจากการวิเคราะห์ตำแหน่ง ระยะทาง และกล้องที่ใช้ว่า Nghe หรือ Huynh Cong Phuc (ช่างภาพทหารที่บางครั้งขายภาพให้ AP) อาจอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า Ut ในการถ่ายภาพนี้ ด้วยความไม่แน่ใจที่ยังคงอยู่ World Press Photo ประกาศว่าจะ “ระงับการระบุผู้ถ่าย” ของภาพนี้ต่อไป
สารคดียังชี้ให้เห็นว่ามีช่างภาพคนที่สามที่อาจเป็นผู้ถ่ายได้ คือ Huynh Cong Phuc ช่างภาพทหารที่บางครั้งทำงานฟรีแลนซ์ให้กับ AP การสอบสวนของ AP ระบุว่าเขา เช่นเดียวกับ Ut และ Nghe “สามารถอยู่ในตำแหน่งที่จะถ่ายภาพได้” แต่ข้อมูลเกี่ยวกับเขามีน้อยมาก และเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อมาให้การ
เรื่องราวนี้ทำให้เราคิดถึงสารคดีอื่นๆ จาก Netflix ที่เจาะลึกความจริงเบื้องหลังเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ และตั้งคำถามกับสิ่งที่เราคิดว่ารู้แน่ชัด การที่สารคดีนี้กล้าท้าทายความจริงที่ยอมรับกันมานานกว่า 50 ปี แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการให้เสียงแก่คนที่ถูกมองข้าม
จุดเด่นของ The Stringer คือการให้พื้นที่แก่ทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียม ผู้ชมได้เห็นหลักฐาน ได้ฟังคำให้การจากผู้ที่เกี่ยวข้อง และได้คิดไตร่ตรองเองว่าจะเชื่ออย่างไร สารคดีไม่ได้พยายามบอกผู้ชมว่าควรจะเชื่อฝ่ายไหน แต่นำเสนอข้อมูลและให้ผู้ชมตัดสินเอง นอกจากนี้ สารคดียังเจาะลึกถึงประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับความยุติธรรมในวงการสื่อมวลชน และการยอมรับในงานของช่างภาพท้องถิ่นที่มักถูกมองข้าม
การใช้ฟุตเทจจากข่าวในอดีตถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ชมได้เห็นวิดีโอจากวันที่เกิดเหตุจริง ได้เห็นตำแหน่งของช่างภาพแต่ละคน และได้เห็นว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นอย่างไร การนำเสนอแบบนี้ช่วยให้ผู้ชมเข้าใจบริบทได้ดีขึ้น และทำให้เรื่องราวมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น การสัมภาษณ์ Nguyen Thanh Nghe โดยตรงก็เป็นจุดเด่น เราได้เห็นอารมณ์ของเขา ได้ฟังเรื่องราวจากมุมมองของเขา และได้รู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมที่เขาต้องเผชิญ
จุดด้อยของสารคดีคือการเปลี่ยนระหว่างเรื่องราวของทั้งสองฝ่ายที่บางครั้งทำให้สับสน ผู้ชมอาจไม่แน่ใจว่าในช่วงเวลาใดกำลังนำเสนอมุมมองของฝ่ายไหน ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่เข้าใจ นอกจากนี้ สารคดีก็มีจังหวะที่ช้าไปบ้างในบางส่วน ผู้ชมบางคนอาจรู้สึกเบื่อหรือหงุดหงิดกับการเล่าเรื่องที่ยืดยาว โดยเฉพาะในส่วนที่อธิบายรายละเอียดทางเทคนิคเกี่ยวกับกล้องและการวิเคราะห์ตำแหน่ง
อีกประเด็นหนึ่งคือ สารคดีไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน ผู้ชมบางคนอาจรู้สึกไม่พอใจที่ไม่ได้รับคำตอบว่าใครเป็นคนถ่ายภาพจริงๆ แต่นี่อาจเป็นเจตนาของผู้สร้างที่ต้องการให้ผู้ชมคิดเองและตัดสินเอง หรืออาจเป็นเพราะความจริงก็คือ ไม่มีใครรู้แน่ชัดจริงๆ ว่าใครเป็นคนถ่ายภาพ และการบอกว่ารู้ก็คงเป็นการโกหกผู้ชม
สารคดีนี้ทำให้เรานึกถึงซีรีส์ The Sympathizer ที่เล่าเรื่องสงครามเวียดนามจากมุมมองของคนเวียดนาม ซึ่งเป็นมุมมองที่มักถูกมองข้ามในสื่อตะวันตก ทั้งสองเรื่องต่างตั้งคำถามกับการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ที่เรายอมรับกัน และเปิดพื้นที่ให้เสียงที่ไม่ค่อยได้ยิน
The Stringer ทำให้เราตั้งคำถามกับหลายสิ่ง ไม่ใช่แค่เรื่องของใครเป็นคนถ่ายภาพ Napalm Girl แต่เรื่องของระบบสื่อมวลชนที่ไม่เป็นธรรม ต่อช่างภาพท้องถิ่น การที่องค์กรข่าวใหญ่ๆ มักให้เครดิตกับช่างภาพชาวตะวันตกมากกว่าช่างภาพท้องถิ่น แม้ว่าทั้งสองจะเสี่ยงชีวิตเท่าๆ กัน การที่ “stringer” หรือช่างภาพฟรีแลนซ์ท้องถิ่นมักไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม ไม่ได้รับการคุ้มครอง และไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
สารคดียังทำให้เราคิดถึงคุณค่าของการระบุแหล่งที่มาและการให้เครดิต ในยุคที่ข้อมูลแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว การระบุว่าใครเป็นผู้สร้างงานนั้นมีความสำคัญมาก ไม่เพียงแต่เพื่อเกียรติของผู้สร้าง แต่ยังเพื่อความถูกต้องของประวัติศาสตร์ด้วย หากภาพ Napalm Girl ถูกถ่ายโดย Nguyen Thanh Nghe จริง การที่โลกไม่รู้จักชื่อของเขามา 50 ปี ก็คือความอยุติธรรมครั้งใหญ่
อีกประเด็นหนึ่งคือ ความซับซ้อนของความจริง ในหลายกรณี ความจริงไม่ได้เป็นขาวดำขาวขาว มีความเป็นไปได้มากมาย มีหลักฐานที่ขัดแย้งกัน และมีความทรงจำของผู้คนที่อาจไม่ตรงกัน การที่สารคดีนี้ไม่ได้บอกคำตอบที่ชัดเจนอาจทำให้ผู้ชมบางคนไม่พอใจ แต่มันก็สะท้อนความจริงของชีวิตที่ว่า บางอย่างเราอาจไม่มีทางรู้ได้แน่ชัด
สารคดีนี้เหมาะสำหรับใครที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ การถ่ายภาพข่าว และสงครามเวียดนาม หรือใครที่สนใจเรื่องความยุติธรรมในสื่อมวลชนและการให้เสียงแก่คนที่ถูกมองข้าม แม้สารคดีจะมีจังหวะที่ช้าไปบ้าง แต่เนื้อหาที่นำเสนอก็มีคุณค่าและน่าสนใจมาก มาแชร์ความคิดเห็นกันในคอมเมนต์ว่าหลังจากดูสารคดีนี้แล้ว เราคิดอย่างไรกับประเด็นนี้ และอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่สนใจเรื่องราวเบื้องหลังภาพถ่ายประวัติศาสตร์!
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: ช่างภาพเบื้องหลังรูปถ่ายประวัติศาสตร์
- ประเภท: สารคดี, ประวัติศาสตร์
- วันที่ออกฉาย: 28 พฤศจิกายน 2025
- ผู้กำกับ: Bao Nguyen
- ความยาว: ประมาณ 90 นาที
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix
สารคดีตั้งคำถามใครคือคนถ่าย Napalm Girl จริง
บทภาพยนตร์ - 7.5
การแสดง - 7.8
โปรดักชัน - 8.2
ความบันเทิง - 7
ความคุ้มค่าในการรับชม - 7.6
7.6
The Stringer เป็นสารคดีที่กล้าหาญในการตั้งคำถามกับความจริงที่โลกยอมรับมานานกว่า 50 ปี ด้วยการนำเสนอมุมมองของช่างภาพฟรีแลนซ์ชาวเวียดนามที่อ้างว่าเขาคือคนถ่ายภาพ Napalm Girl แต่ไม่เคยได้รับเครดิต สารคดีนำเสนอหลักฐาน การสัมภาษณ์ และความเห็นจากทั้งสองฝ่าย แม้จะไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน แต่ก็ทำให้เราได้คิดทบทวนเกี่ยวกับความยุติธรรมในวงการสื่อมวลชน และคุณค่าของงานช่างภาพท้องถิ่นที่มักถูกมองข้าม
![[รีวิว-เรื่องย่อ] โทรลล์ 2 | Troll 2 (2025) หนังสัตว์ประหลาดโทรลล์กลับมาอีกครั้ง](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/12/Review-Troll-2.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] ห้องที่ว่างเปล่า | All the Empty Rooms (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/12/Review-All-the-Empty-Rooms-2025.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] เกมหลอน ลักพาตาย | Playing Gracie Darling (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/12/Review-Playing-Gracie-Darling-2025.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] โจรกรรมจิงเกิลเบล | Jingle Bell Heist (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-Jingle-Bell-Heist-2025.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] ซันไชน์ | Sunshine (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-Sunshine-2025.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] Stranger Things ซีซั่น 5 Vol. 1 บทจบที่ยิ่งใหญ่เริ่มต้นแล้ว](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-Stranger-Things-5-Vol.-1.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] คนหาย: ตายหรือเป็น | Missing: Dead or Alive ซีซั่น 2](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-Missing-Dead-or-Alive-2.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] อิ่มอร่อยกับครอบครัวคาปูร์ | Dining With the Kapoors (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-Dining-With-the-Kapoors-2025.webp)