รีวิวหนัง-ซีรีส์

[รีวิว-เรื่องย่อ] เวลาที่เหลืออยู่ | The Time That Remains (2025)

  • เวลาที่เหลืออยู่ เป็นหนังโรแมนติกแฟนตาซีที่ผสมเรื่องแวมไพร์กับประวัติศาสตร์สงครามฟิลิปปินส์ปี 1941 แต่เนื้อเรื่องดูซ้ำซากและขาดเสน่ห์
  • การแสดงของตัวละครหลักดูโอเวอร์แอคติ้ง สร้างอารมณ์ไม่ขึ้น จนผู้ชมรู้สึกเบื่อหน่ายกับความรักอมตะแบบเดิมๆ
  • หนังพยายามสร้างปริศนาเรื่องตัวตนของแมททิอัส แต่พอเฉลยแล้วก็เสียอารมณ์ ไม่มีอะไรใหม่มานำเสนอ
  • แนะนำข้ามไปดูเรื่องอื่นดีกว่า เพราะหนังเรื่องนี้เหมือนพล็อตเก่าๆ ผสมกันแบบไม่ลงตัว

เคยลองนึกภาพไหมว่า ถ้าความรักต้องฝืนเวลาและกฎธรรมชาติแบบนั้น มันจะสวยงามหรือน่าเศร้าขนาดไหน? หนัง เวลาที่เหลืออยู่ (The Time That Remains (2025)) พยายามพาเราไปสำรวจเรื่องแบบนั้น ผ่านเรื่องราวของลีเลีย หญิงชราที่กำลังจะตาย เธอเล่าเรื่องเก่าๆ ให้หมอฟัง เกี่ยวกับแมวตัวโปรดที่กลายเป็นผู้ชายได้ และยังคงหนุ่มแน่นไม่เปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ฟังดูน่าติดตามใช่ไหม? แต่พอเรื่องเดินไป มันกลับกลายเป็นความรักระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ที่ซ้ำซาก จนหลายคนอาจรู้สึกว่าเสียเวลาเปล่า

เรื่องราวย้อนไปสมัยปี 1941 ที่เมืองบากิโอ ญี่ปุ่นบุกฟิลิปปินส์ สงครามปะทุ ลีเลียตอนเด็กต้องหนีไปบาตานัสกับครอบครัว คืนหนึ่งเธอเจอแมวชื่อแมททิอัส นำกลับบ้านแม้พ่อแม่จะไม่ชอบ พอโตขึ้น เธอค้นพบความลับว่าแมททิอัสคือผู้ชายที่แปลงร่างเป็นแมวได้ และในปัจจุบัน เขายังดูเด็กเหมือนเดิม ขณะที่ลีเลียใกล้ตาย หมอบอกว่าต้องการเลือดด่วน แต่เลือดของแมททิอัสช่วยไม่ได้เพราะเขาเป็น แวมไพร์ ที่อมตะ หนังเรื่องนี้เลยชวนคิดว่า ความรักแบบนี้จะฝืนชะตากรรมได้จริงเหรอ หรือมันแค่คำสาปที่ทำให้ทุกอย่างยิ่งเจ็บปวด

ในรีวิวนี้ จะพาไปเจาะลึกทุกส่วนของหนัง ตั้งแต่พล็อตที่พยายามสร้างความลึกลับ ไปจนถึงการแสดงที่ดูไม่จริงใจ และข้อความที่หนังอยากสื่อ แต่สุดท้ายมันกลับไม่ค่อยโดนใจ มาดูกันว่า เวลาที่เหลืออยู่ จะทำให้เรารู้สึกยังไง กับความรักที่ท้าทายเวลาแบบนี้

The Time That Remains (2025) #1

รีวิวและเรื่องย่อ เวลาที่เหลืออยู่ (The Time That Remains)

เวลาที่เหลืออยู่ เปิดเรื่องด้วยลีเลีย หญิงชราที่นอนป่วยหนัก เธอเล่าเรื่องชีวิตให้หมอฟังหลังเห็นลูกสาวเลิกกับแฟน เรื่องย้อนไปปี 1941 สมัยญี่ปุ่นบุกฟิลิปปินส์ ครอบครัวลีเลียต้องหนีจากบากิโอไปบาตานัส ท่ามกลางความโกลาหลของสงคราม คืนหนึ่งระหว่างซ่อนตัวในทุ่งนา ลีเลียเด็กน้อยเจอแมวตัวหนึ่งชื่อแมททิอัส เธอแอบพากลับบ้าน แม้พ่อแม่จะโกรธ แต่ความผูกพันนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องมหัศจรรย์ เมื่อคืนหนึ่งเธอเห็นแมททิอัสแปลงร่างเป็นผู้ชายหล่อเหลาได้

ย้ายมาปัจจุบัน ลีเลียใกล้ตายเพราะขาดเลือด หมอแนะนำให้เรียกแมททิอัสมาช่วย แต่ลีเลียรู้ดีว่าเลือดของเขาไร้ประโยชน์เพราะเขาเป็นแวมไพร์ที่ไม่แก่ชรา ตั้งแต่สมัยเด็กของเธอ แมททิอัสยังดูหนุ่มแน่นเหมือนเดิม สิ่งนี้ทำให้เรื่องชัดเจนขึ้นว่า เขาไม่ใช่คนธรรมดา กลางวันเขาเป็นสิ่งมีชีวิตอื่น และกลางคืนแปลงร่างเป็นแวมไพร์ แมททิอัสเล่าอดีตของตัวเองให้ฟัง ว่าความสามารถนี้มาจากคำสาปเก่าแก่ แต่เขาตกหลุมรักลีเลียที่เป็นมนุษย์ และไม่อยากให้เธอจากไปแบบนี้ หนังพยายามสร้างความตึงเครียดด้วยคำถามใหญ่ ว่าความรักจะชนะเวลาและธรรมชาติได้หรือเปล่า เหมือนกับการต่อสู้กับนาฬิกาทรายที่ไหลไม่หยุด

แต่พอเรื่องเดินไปเรื่อยๆ มันเริ่มรู้สึกว่าพล็อตนี้คุ้นๆ หนังผสมผสานสงครามประวัติศาสตร์เข้ากับแฟนตาซีแวมไพร์แบบครึ่งๆ กลางๆ ไม่มีอะไรสดใหม่ ลีเลียในวัยเด็กดูน่ารักและน่าสงสาร ท่ามกลางความวุ่นวายของสงครามที่ทำให้ครอบครัวต้องลำบาก แต่พอเฉลยตัวตนของแมททิอัส ความลึกลับที่สร้างมาตั้งแต่ต้นก็หายวับไป ผู้ชมหลายคนอาจรู้สึกผิดหวัง เพราะมันกลายเป็นเรื่องรักระหว่างอมตะกับมนุษย์ที่แก่ตัว เหมือนพล็อตเก่าๆ ที่เคยเห็นในหนังอื่นๆ จนขาดความตื่นเต้น

ตัวละครหลักอย่างลีเลียถูกสร้างให้เป็นสัญลักษณ์ของความเปราะบางของมนุษย์ เธอผ่านสงครามมา ตั้งแต่เด็กที่ต้องหนีภัย จนแก่ชราใกล้ตาย การเล่าเรื่องผ่านมุมมองของเธอช่วยให้หนังมีมิติทางอารมณ์ โดยเฉพาะฉากย้อนอดีตที่แสดงถึงความไร้เดียงสาของเด็กสาวท่ามกลางความโหดร้ายของโลก แต่การแสดงของนักแสดงที่รับบทลีเลียดูแสดงเกินไป บางฉากร้องไห้หรือเล่าเรื่องแบบเกินจริง จนรู้สึกไม่จริงใจ เหมือนพยายามบีบอารมณ์ผู้ชมแต่กลับออกแรงเกิน

ส่วนแมททิอัสคือจุดศูนย์กลางของปริศนา เขาเป็นแวมไพร์ที่แปลงร่างเป็นแมวได้ ดูหล่อเหลาและลึกลับ แต่พอเล่าอดีต มันก็กลายเป็นเรื่องราวในอดีตทั่วไป ว่าคำสาปทำให้เขาเห็นคนรักตายไปหลายคน จนความเป็นอมตะกลายเป็นคำสาป การแสดงที่นี่ก็ดูไม่ค่อยโดดเด่น นักแสดงพยายามสร้างเสน่ห์แบบแวมไพร์คลาสสิก แต่กลับออกมาดูตลกนิดๆ เพราะบางท่าทางหรือบทพูดดูเกินจริง หนังพยายามให้ผู้ชมเห็นใจเขา โดยบอกว่าความอมตะทำให้เขาทรมานจากการสูญเสีย แต่สุดท้ายมันไม่ค่อยสะกิดใจ เพราะขาดความลึกซึ้งทางอารมณ์

ตัวละครรองอย่างหมอและครอบครัวลีเลียช่วยเติมสีสันให้เรื่อง แต่ก็ไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก หมอเป็นคนที่จุดประกายให้ลีเลียเรียกแมททิอัส ซึ่งนำไปสู่การเฉลยใหญ่ แต่ฉากเหล่านี้ดูเร่งรีบและไม่น่าประทับใจ การแสดงโดยรวมในหนังเรื่องนี้รู้สึกว่าทุกคนเล่นใหญ่เกิน จนอารมณ์ไม่ไหลลื่น เหมือนละครเวทีที่พยายามดึงดูดสายตาแต่กลับทำให้ผู้ชมเบื่อหน่ายแทน

The Time That Remains พยายามสำรวจธีมความรักที่ท้าทายเวลา เหมือนกับการต่อสู้ระหว่างมนุษย์ที่แก่ตัวกับแวมไพร์ที่อมตะ มันชวนคิดถึงความสูญเสียที่มาพร้อมอายุขัยสั้นๆ ของคนเรา โดยเฉพาะผ่านเรื่องราวในอดีตของแมททิอัสที่เห็นคนรักจากไปซ้ำๆ จนความเป็นอมตะกลายเป็นภาระหนักอึ้ง หนังผสมเรื่องนี้เข้ากับพื้นหลังสงครามปี 1941 ที่แสดงถึงความโหดร้ายของโลกจริง ซึ่งทำให้ความรักของทั้งคู่ดูยิ่งเปราะบาง เหมือนดอกไม้ที่บานท่ามกลางพายุ

แต่ธีมเหล่านี้กลับไม่ค่อยลงตัว เพราะหนังพยายามยัดเยียดทุกอย่างเข้าไป ทั้งแฟนตาซี แวมไพร์ สงคราม และโรแมนติก จนรู้สึกว่ามันกระจัดกระจาย คำถามที่หนังโยนมาว่า สามารถฝืนธรรมชาติและเวลาได้ไหม มันน่าสนใจในตอนแรก แต่พอเฉลยแล้วก็จบแบบห้วนๆ ไม่มีบทสรุปที่ทรงพลัง เปรียบเหมือนเค้กที่หน้าตาน่ากินแต่รสชาติจืดชืด ไม่มีอะไรติดปาก

ข้อความหลักที่หนังอยากสื่อคือ ความรักแท้จริงต้องยอมรับความเป็นจริง แม้จะเจ็บปวด แต่การนำเสนอมันดูเชยเกินไป เหมือนเล่าเรื่องเก่าๆ ที่เคยเห็นในหนังแวมไพร์ยุคก่อน โดยขาดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะทำให้ธีมนี้สดชื่น ผู้กำกับพยายามสร้างความน่าสนใจด้วยการเก็บความลับของแมททิอัสไว้ แต่พอเปิดเผยแล้ว ความน่าสนใจหายไป เหลือแต่ความรู้สึกว่ามันเป็นแค่พล็อตผสมๆ ที่ไม่ลงตัว

The Time That Remains (2025) #2

จุดเด่นเล็กน้อยของ The Time That Remains คือการใช้พื้นหลังสงครามจริงในฟิลิปปินส์ปี 1941 ซึ่งช่วยให้เรื่องมีกลิ่นอายประวัติศาสตร์ ฉากหนีภัยจากบากิโอไปบาตานัสดูสมจริงและตึงเครียดดี สร้างบรรยากาศที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความทุกข์ยากของยุคนั้น นอกจากนี้เรื่องราวในอดีตของลีเลียในวัยเด็กก็ค่อนข้างน่าติดตาม โดยเฉพาะความผูกพันกับแมททิอัสที่เริ่มจากแมวตัวน้อย หนังพยายามใช้สิ่งนี้สร้างความผูกพันทางอารมณ์ที่นุ่มนวล

แต่จุดด้อยชัดเจนกว่ามาก การแสดงโดยรวมดูแสดงเกินไปทุกตัวละคร ร้องไห้ โวยวาย หรือยิ้มแบบเกินจริง จนหนังรู้สึกตลกโดยไม่ตั้งใจ แทนที่จะสะเทือนใจ พล็อตเรื่องรักอมตะกับมนุษย์ก็ซ้ำซาก ไม่มีจุดพลิกผันที่เซอร์ไพรส์ หลังเฉลยว่าแมททิอัสเป็นแวมไพร์ ผู้ชมส่วนใหญ่จะเสียความสนใจทันที เพราะมันคาดเดาได้หมด หนังยาวเกินไปด้วย ฉากยืดเยื้อทำให้เบื่อหน่าย เหมือนนั่งดูละครที่วนลูปไม่จบ

นอกจากนี้ เทคนิคพิเศษเรื่องการแปลงร่างของแมททิอัสดูง่อยๆ ไม่น่าตื่นเต้น ฟังก์ชันแฟนตาซีที่ควรจะเป็นไฮไลต์กลับกลายเป็นจุดอ่อน เพราะขาดความสมจริงและน่าติดตาม ผู้กำกับดูเหมือนพยายามเล่าเรื่องให้ลึกซึ้ง แต่กลับออกมาเป็นแค่ผสมของหนังเก่าๆ ที่เคยฮิต โดยไม่มีอะไรใหม่ให้ค้นหา สุดท้าย หนังเลยกลายเป็นเรื่องที่ดูจบแล้วลืมเลือน ไม่ทิ้งผลกระทบอะไรไว้

The Time That Remains พยายามเล่าเรื่องความรักที่ฝืนเวลาและคำสาปแวมไพร์ ท่ามกลางพื้นหลังสงครามที่น่าสนใจ แต่สุดท้ายมันกลับกลายเป็นหนังที่ขาดเสน่ห์ ด้วยพล็อตซ้ำซาก การแสดงที่แสดงเกินไป และอารมณ์ที่ไม่ไหลลื่น ผู้ชมที่ชอบโรแมนติกแฟนตาซีคลาสสิกอาจพอได้ แต่สำหรับคนที่อยากได้อะไรสดใหม่ หนังเรื่องนี้คงไม่ตอบโจทย์ มันชวนคิดถึงหนังดังอย่าง Benjamin Button ในบางฉาก แต่ขาดความลึกซึ้งที่ทำให้เรื่องน่าจดจำ

สิ่งที่ได้จากหนังหลักคือ ความรักต้องเผชิญความจริง ไม่ว่าจะอมตะหรือไม่ แต่หนังนำเสนอมันแบบเชยๆ จนไม่ค่อยสะกิดใจ ถ้าอยากดูเรื่องรักต้องห้าม ลองหาหนังอื่นที่ทำได้ดีกว่า เช่นพวกเรื่องรักแวมไพร์ที่มีจุดพลิกผันเจ๋งๆ มากกว่า อย่าพลาดโอกาสดูเรื่องดีๆ แทนที่จะเสียเวลากับอันนี้ ลองแชร์ความเห็นในคอมเมนต์ว่าคิดยังไงกับพล็อตแบบนี้ หรือมีหนังแฟนตาซีเรื่องไหนแนะนำบ้าง? แชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่ชอบหนังแนวนี้ด้วยนะ จะได้ช่วยกันหาหนังเจ๋งๆ มาดูแทน!

  • ชื่อเรื่องภาษาไทย: เวลาที่เหลืออยู่
  • ประเภท: โรแมนติก, แฟนตาซี, ดราม่า
  • วันที่ออกฉาย: 16 ตุลาคม 2568
  • นักแสดงนำ: คาร์โล อากีโน, บิง ปีเมนเดล, บิวตี้ กอนซาเลซ, จัสมิน เคอร์ติส-สมิร, เบมโบล โรโก, เอริน เอสปิริตู, อาร์ซี อาดามอส, อลัน ปอล, ริตา อาวีลา, เมอร์เซเดส คาบรอล, แวนซ์ ลาเรนา
  • ผู้กำกับ: อาดอลโฟ อาลิกซ์ จูเนียร์
  • ความยาว: 1 ชั่วโมง 57 นาที
  • เรตติ้ง IMDb: 5/10
  • ช่องทางการดูในไทย: Netflix

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button