รีวิวหนังฝรั่ง

[รีวิว-เรื่องย่อ] โทรลล์ 2 | Troll 2 (2025) หนังสัตว์ประหลาดโทรลล์กลับมาอีกครั้ง

  • Troll 2 เป็นหนังต่อจากภาคแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก กลายเป็นหนังที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษที่ได้รับความนิยมที่สุดบน Netflix
  • ภาคสองนำเสนอโทรลล์สองตัว Megatroll ที่ใหญ่กว่าและอันตรายกว่า กับ Beautiful ที่กลับมาช่วยต่อสู้
  • บทหนังมีปัญหาใหญ่ ตื้นเขิน คาดเดาได้ง่าย และขาดความลึกซึ้งทางอารมณ์ที่ภาคแรกมี
  • ภาพเอฟเฟกต์และฉากแอ็คชั่นมีสเกลใหญ่ขึ้น แต่คุณภาพไม่ประทับใจเท่าที่ควรในปี 2025

เคยสงสัยไหมว่าเมื่อโทรลล์ยักษ์สูง 50 ฟุตโผล่ออกมาจากภูเขาแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น? คำตอบคือ ความหายนะอย่างแน่นอน! หนัง Troll 2 (2025) กลับมาให้เราได้สัมผัสกับการทำลายล้างอีกครั้ง หลังจากที่ภาคแรกประสบความสำเร็จจนกลายเป็น หนังที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษที่ได้รับความนิยมที่สุดบน Netflix ด้วยยอดชมมากกว่า 103 ล้านครั้ง

ภาคต่อนี้พาเราติดตามทีม โนร่า ทิดดีมันน์ (Nora Tidemann) นักฟอสซิลวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านโทรลล์, อันเดรียส อิซัคเซน (Andreas Isaksen) ที่ปรึกษารัฐบาล และ คริสโตเฟอร์ โฮล์ม (Kristoffer Holm) นายทหารผู้กล้า ที่ต้องกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อรับมือกับภัยคุกคามใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เมื่อโทรลล์ตัวใหม่ที่เรียกว่า Megatroll ตื่นขึ้นมาและเริ่มสร้างความหายนะทั่วนอร์เวย์

ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกทุกแง่มุมของหนังเรื่องนี้ ตั้งแต่เรื่องราว การแสดง ภาพเอฟเฟกต์ ไปจนถึงข้อดีข้อเสียที่ทำให้ภาคสองนี้ต่างจากภาคแรก มาดูกันว่า Troll 2 จะสามารถสร้างความประทับใจให้กับแฟนๆ ได้เหมือนภาคแรกหรือไม่

รีวิวและเรื่องย่อ Troll 2 (โทรลล์ 2)

Troll 2 เปิดเรื่องด้วยการที่อันเดรียสไปเยี่ยมโนร่า ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก เธอได้กลายเป็นคนโดดเดี่ยวและหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาเรื่องโทรลล์เหมือนกับพ่อของเธอ ผู้กำกับ รอร์ อุทเฮาก์ (Roar Uthaug) อธิบายว่าเขาต้องการเริ่มต้นจากจุดที่น่าสนใจ เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าเวลาหยุดนิ่งตั้งแต่ภาคแรก แต่น่าเสียดายที่การพัฒนาตัวละครในครั้งนี้กลับดูรีบเร่งและไม่เป็นธรรมชาติ

เรื่องราวดำเนินไปเมื่อโทรลล์ตัวใหม่ที่เรียกว่า Megatroll ตื่นขึ้นมาและเริ่มก่อความวุ่นวายทั่วนอร์เวย์ โนร่าใช้ความรู้เรื่อง ตำนานนอร์ส (Norse mythology) ที่ได้รับมาจากพ่อ เธอค้นพบว่าโทรลล์ตัวนี้กำลังมุ่งหน้าไปยัง มหาวิหารนิดารอส (Nidaros Cathedral) ในเมืองทรอนด์เฮม เพื่อแก้แค้นกษัตริย์โอลาฟ (King Olaf) ผู้ที่เคยขับไล่โทรลล์ออกจากนอร์เวย์ในอดีต ทีมของโนร่าจึงเดินทางไปที่มหาวิหารและพบกับนักประวัติศาสตร์ที่ช่วยพวกเขาค้นหาหลุมฝังศพของโอลาฟ

การค้นหาหลุมฝังศพเป็นฉากที่ รอร์ อุทเฮาก์ บอกว่าได้รับแรงบันดาลใจจากหนัง Indiana Jones แต่ในความเป็นจริง ฉากเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นการลอกแบบมากกว่าการสร้างสรรค์อะไรใหม่ การที่อันเดรียสบังเอิญเปิดประตูลับด้วยความเผลอนั้นดูบังคับและไม่มีความน่าเชื่อถือ บทหนังพยายามใส่ องค์ประกอบแบบ Chekov’s Gun คือสิ่งที่ปรากฏในตอนต้นต้องถูกใช้ในตอนจบ แต่การเชื่อมโยงเหล่านี้ดูชัดเจนและคาดเดาได้ง่ายเกินไป

แผนการของทีมคือใช้ กระดูกของกษัตริย์โอลาฟ เป็นเหยื่อล่อเพื่อดึงดูด Megatroll และพวกเขาได้สร้างอาวุธที่ใช้ แสง UV ซึ่งเป็นจุดอ่อนของโทรลล์ แต่แผนการนี้ไม่เพียงพอที่จะหยุดสัตว์ประหลาดตัวนี้ ในช่วงที่ทุกคนกำลังจะถอยร่น โทรลล์อีกตัวที่ชื่อ Beautiful ซึ่งทุกคนคิดว่าจมน้ำตายไปแล้ว กลับโผล่มาช่วยสู้กับ Megatroll การที่ผู้กำกับนำโทรลล์สองตัวมาสู้กันนั้นเป็นไฮไลท์ที่น่าตื่นเต้น แต่ฉากการต่อสู้กลับขาดน้ำหนักทางอารมณ์ที่จะทำให้ผู้ชมลุ้นจริงๆ

Ine Marie Wilmann กลับมารับบทโนร่าอีกครั้ง แต่ตัวละครของเธอในภาคนี้กลับเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน โนร่าที่เคยเป็นนักวิชาการผู้เงียบขรึม กลายเป็น ฮีโร่แอ็คชั่น อย่างไม่มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือ การพัฒนาตัวละครดูบังคับและไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้การแสดงของวิลมันน์ไม่โดดเด่นเท่าที่ควร แม้เธอจะพยายามถ่ายทอดความมุ่งมั่นของตัวละคร

Kim Falck ในบทอันเดรียสให้การแสดงที่เรียบๆ แต่ไม่มีอะไรน่าประทับใจ ตัวละครของเขาในภาคนี้ดูเหมือนจะเป็นแค่ตัวประกอบที่ติดตามโนร่าไปทุกที่ โดยไม่มีบทบาทที่ชัดเจนของตัวเอง ในตอนจบ อันเดรียสมีการเสียสละที่ควรจะเป็นฉากที่ซาบซึ้ง แต่กลับไม่ได้สร้างความประทับใจอะไรเพราะบทหนังไม่ได้สร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างตัวละครกับผู้ชม

Mads Sjøgård Pettersen รับบทนายทหารคริสที่เลื่อนยศเป็นพันเอก แต่การเปลี่ยนแปลงของตัวละครนี้ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเรื่องราวมากนัก เขายังคงเป็นคนที่พร้อมใช้กำลังทหารแก้ปัญหา และบทหนังไม่ได้พัฒนาความคิดของเขาอะไรเพิ่มเติมจากภาคแรก การแสดงของเพทเทอร์เซนก็เป็นไปตามสคริปต์ ไม่มีอะไรโดดเด่น

นักแสดงใหม่อย่าง Sara Khorami, Jon Ketil Johnsen, Gard B. Eidsvold ที่เข้ามาร่วมในภาคนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ตัวละครของพวกเขาดูเหมือนจะถูกใส่เข้ามาเพียงเพื่อเติมจำนวนคน โดยไม่มีบุคลิกภาพหรือบทบาทที่น่าสนใจ บทสนทนาของทุกคนดูเหมือนกันหมด ไม่มีความแตกต่างทางบุคลิกภาพที่จะทำให้แต่ละคนโดดเด่น

ถึงแม้ว่า Netflix จะเพิ่มงบประมาณให้กับภาคสองนี้เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ แต่ ภาพเอฟเฟกต์ของโทรลล์ กลับดูไม่น่าเชื่อถือและล้าหลังสำหรับหนังที่ออกในปี 2025 โทรลล์ทั้งสองตัวดูเหมือนภาพคอมพิวเตอร์กราฟิกที่ไม่ได้ถูกรวมเข้ากับฉากจริงอย่างลงตัว ทำให้บางครั้งดูเหมือนเราดูหนังแอนิเมชั่นมากกว่าหนังจริง

ฉากการทำลายล้างเมืองและการต่อสู้ระหว่างโทรลล์สองตัวมีสเกลใหญ่และดูมันส์ แต่ขาดรายละเอียดและความสมจริงที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้นจริงๆ ผู้กำกับภาพ Mathias Herndl พยายามถ่ายทอดความยิ่งใหญ่ของทิวทัศน์นอร์เวย์ แต่ส่วนใหญ่แล้วภาพดูแบนราบและไม่มีมิติ ไม่ได้สร้างความรู้สึกของความอันตรายหรือความตื่นเต้นให้กับผู้ชม

สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ แม้ผู้กำกับจะบอกว่าพวกเขา “ใช้ green screen แค่วันเดียว” แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับดูเหมือนว่าทั้งหนังถูกถ่ายในสตูดิโอเกือบทั้งหมด ความพยายามที่จะทำให้หนังดู “เป็นธรรมชาติ” และ “ไม่ได้พึ่ง CGI มาก” นั้นไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

ดนตรีประกอบ ของหนังก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ไม่มีทำนองที่จดจำได้หรือช่วยสร้างบรรยากาศของความตึงเครียด ดนตรีเพียงแค่อยู่ในพื้นหลังโดยไม่ได้เพิ่มอะไรให้กับฉากต่างๆ

นี่คือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของหนังเรื่องนี้ บทภาพยนตร์โดย Espen Aukan ขาดความลึกซึ้งและความซับซ้อนที่ภาคแรกมี ภาคแรกมีบรรยากาศลึกลับและค่อยๆ เปิดเผยเรื่องราวของโทรลล์อย่างน่าติดตาม แต่ภาคสองพยายามวิ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่ใส่ใจรายละเอียดหรือการพัฒนาตัวละคร

โครงเรื่องคาดเดาได้ง่ายจนน่าหงุดหงิด ผู้ชมสามารถเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปตั้งแต่ฉากแรกๆ ไม่มีความประหลาดใจหรือจุดพลิกผันที่ทำให้ต้องตกตะลึง การพยายามใส่ ธีมเรื่องความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ก็ดูผิวเผินและไม่ได้ถูกเจาะลึกอะไรจริงจัง

บทสนทนาในหนังก็เป็นปัญหาใหญ่ ตัวละครพูดคุยกันด้วยประโยคที่เหมือนออกมาจากตำราเรียนมากกว่าการสนทนาจริง ไม่มีความเป็นธรรมชาติหรือลักษณะเฉพาะของแต่ละคน ทุกคนพูดในน้ำเสียงและสไตล์เดียวกัน ทำให้รู้สึกว่าเราดูตัวละครหุ่นจำลองมากกว่ามนุษย์จริง

รอร์ อุทเฮาก์ ในฐานะผู้กำกับพยายามเลียนแบบสไตล์ของ Steven Spielberg และหนังแนว disaster movie ในยุค 90s แต่กลับเอาแค่เปลือกนอกมาโดยไม่ได้เอาแก่นแท้ของหนังพวกนั้นมาด้วย หนังของ Spielberg มีตัวละครที่เราใส่ใจและเรื่องราวที่สร้างความรู้สึกทางอารมณ์ แต่ Troll 2 ขาดสิ่งเหล่านี้ไปหมด

Troll 2 คือตัวอย่างที่ดีของภาคต่อที่พยายามทำให้ยิ่งใหญ่ขึ้น แต่กลับสูญเสียสิ่งที่ทำให้ภาคแรกพิเศษไป ภาคแรกมีความลึกลับ มีบรรยากาศที่น่าติดตาม และมีตัวละครที่เราใส่ใจ แต่ภาคสองพยายามเน้นไปที่ฉากแอ็คชั่นและสเกลที่ใหญ่ขึ้น โดยลืมไปว่าที่ทำให้หนังสัตว์ประหลาดน่าดูนั้นไม่ใช่แค่ความใหญ่โตของสัตว์ประหลาด แต่คือความรู้สึกทางอารมณ์ที่เราได้รับจากการติดตามตัวละคร

บทหนังที่อ่อนแอและคาดเดาได้ง่ายทำให้หนังเรื่องนี้รู้สึกเหมือนการเสียเวลาในหลายช่วง การแสดงที่ไม่โดดเด่นและภาพเอฟเฟกต์ที่ไม่น่าประทับใจยิ่งทำให้ปัญหาแย่ลงไปอีก แม้จะมีฉากแอ็คชั่นที่ดูมันส์บ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะชดเชยข้อเสียเหล่านี้

สำหรับใครที่เป็นแฟนหนังสัตว์ประหลาดและไม่ได้คาดหวังอะไรมาก Troll 2 อาจจะยังดูได้เพื่อฆ่าเวลา แต่ถ้าคาดหวังว่าจะได้รับความสนุกเหมือนภาคแรก แนะนำว่าลดความคาดหวังลงให้เหลือน้อยที่สุด หนังเรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าการทำภาคต่อไม่ใช่เรื่องง่าย และบางครั้งก็ควรปล่อยให้บางเรื่องจบไปอย่างสวยงามแค่ภาคเดียว

หากกำลังมองหาหนังบน Netflix ที่น่าดูกว่านี้ แนะนำให้ลองดูเรื่องอื่นไปก่อนดีกว่า มาแชร์ความคิดเห็นกันในคอมเมนต์ว่าพอดูแล้วรู้สึกอย่างไร และอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่กำลังคิดจะดูหนังเรื่องนี้ เพื่อช่วยให้พวกเขาตัดสินใจได้ถูกต้อง!

  • ชื่อเรื่องในภาษาไทย: โทรลล์ 2
  • ชื่อภาษาอังกฤษ: Troll 2
  • ประเภท: แอ็คชั่น, ผจญภัย, ดราม่า, สัตว์ประหลาด
  • วันที่ออกฉาย: 1 ธันวาคม 2025
  • นักแสดงนำ: Ine Marie Wilmann (ไอน์ มารี วิลมันน์), Kim Falck (คิม ฟาล์ค), Mads Sjøgård Pettersen (มัดส์ ชอการ์ด เพทเทอร์เซน), Sara Khorami (ซาร่า คอร์รามี), Jon Ketil Johnsen (จอน เคติล จอห์นเซน)
  • ผู้กำกับ: Roar Uthaug (รอร์ อุทเฮาก์)
  • ผู้เขียนบท: Espen Aukan (เอสเพน เอาคาน)
  • ความยาว: 1 ชั่วโมง 42 นาที (102 นาที)
  • เรตติ้ง IMDb: 5.5/10
  • ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix

โทรลล์กลับมาแต่มันส์ไม่ขึ้น ภาคสองพลาดไปหน่อย

บทภาพยนตร์ - 4.5
การแสดง - 5
โปรดักชัน - 6
ความบันเทิง - 5.5
ความคุ้มค่าในการรับชม - 5

5.2

Troll 2 พยายามเพิ่มสเกลให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยโทรลล์สองตัว แต่กลับสูญเสียเสน่ห์ที่ทำให้ภาคแรกน่าจับตา บทหนังตื้นเขินและคาดเดาได้ง่าย การแสดงไม่โดดเด่น ภาพเอฟเฟกต์ก็ไม่ประทับใจเท่าที่ควร แม้จะมีฉากแอ็คชั่นทำลายล้างที่ดูมันส์ แต่ขาดความลึกซึ้งทางอารมณ์ที่จะทำให้ผู้ชมสนใจ ภาคต่อที่ผิดหวังสำหรับแฟนภาคแรก

User Rating: Be the first one !

กดเพื่ออ่านต่อ

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button