
ใครๆ ก็รู้จัก ทิโมธี ชาลาเมต์ (Timothée Chalamet) นักแสดงหนุ่มที่ครองใจแฟนหนังทั่วโลกด้วยการแสดงที่ทรงพลังและรอยยิ้มที่ชวนหลงใหล ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วงการฮอลลีวูดอย่างจริงจัง เขาได้สร้างผลงานที่หลากหลาย ตั้งแต่ภาพยนตร์ ดราม่าโรแมนติก ที่ซาบซึ้งกินใจ ไปจนถึง หนังไซไฟฟอร์มยักษ์ ที่ยิ่งใหญ่อลังการ ทำให้เขาได้รับการเสนอชือเข้าชิง Oscar ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 25
สำหรับใครที่อยากติดตามผลงานของหนุ่มสุดฮอตคนนี้ หรือกำลังมองหาหนังดีๆ ที่แสดงนำโดยเขา เราได้คัดสรรมา 10 เรื่องที่ห้ามพลาดเด็ดขาด ทั้งบทบาทที่ทำให้เขาโด่งดัง ผลงานที่ได้รับรางวัล และหนังที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแสดงที่หลากหลายของเขา มาดูกันเลยว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ควรค่าแก่การรับชม
Call Me by Your Name (2017)

Call Me by Your Name คือหนังที่ทำให้ ทิโมธี ชาลาเมต์ กลายเป็นดาราระดับโลกในชั่วข้ามคืน เมื่อเขารับบท Elio หนุ่มวัย 17 ปีที่ตกหลุมรักนักวิชาการหนุ่ม Oliver (แสดงโดย Armie Hammer) ที่มาพักที่บ้านของครอบครัวเขาในอิตาลีช่วงฤดูร้อน หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวความรักที่บริสุทธิ์และซับซ้อนท่ามกลางบรรยากาศอิตาลีที่สวยงาม ทุกฉากถูกถ่ายทอดด้วยความละเอียดอ่อนที่ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของตัวละคร
การแสดงของชาลาเมต์ในหนังเรื่องนี้ได้รับคำชมอย่างล้นหลาม จนทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ทั้งที่อายุเพียง 22 ปี หนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องราวความรักธรรมดา แต่เป็นการเดินทางค้นพบตัวเอง ความปรารถนา และความเจ็บปวดของการรักที่ไม่อาจกลับมาอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นผลงานคลาสสิกสมัยใหม่ที่แฟนหนังโรแมนติกต้องไม่พลาด
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: คอล มี บาย ยัวร์ เนม
- ประเภท: โรแมนติก, ดราม่า
- วันที่ออกฉาย: 24 พฤศจิกายน 2017
- นักแสดงนำ: Timothée Chalamet, Armie Hammer
- ผู้กำกับ: Luca Guadagnino
- ความยาว: 132 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 7.8/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: Prime Video
Dune (2021)

Dune คือหนังไซไฟมหากาพย์ที่ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อดังของ Frank Herbert โดย ทิโมธี ชาลาเมต์ รับบทเป็น Paul Atreides เจ้าชายหนุ่มแห่งตระกูล Atreides ที่ต้องเดินทางไปยังดาวเคราะห์ Arrakis ดินแดนทะเลทรายที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่เป็นแหล่งผลิตสารที่มีค่าที่สุดในจักรวาล หนังเรื่องนี้นำเสนอโลกที่สร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งภาพที่สวยงามตระการตา เสียงเพลงที่ทรงพลัง และฉากแอ็คชั่นที่น่าตื่นเต้น
ชาลาเมต์แสดงได้อย่างโดดเด่นในบทบาทของเด็กหนุ่มที่ต้องเผชิญกับโชคชะตาที่หนักหนาสาหสัน และค่อยๆ เติบโตเป็นผู้นำที่ทรงพลัง หนังเรื่องนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีทั้งจากนักวิจารณ์และผู้ชม และคว้ารางวัล Oscar ไป 6 สาขา รวมถึงการถ่ายภาพ เสียง และเอฟเฟกต์พิเศษ Dune เป็นหนังที่ไม่ควรพลาดสำหรับแฟนไซไฟและใครก็ตามที่อยากเห็นชาลาเมต์ในบทบาทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: ดูน
- ประเภท: ไซไฟ, แอ็คชั่น, ผจญภัย
- วันที่ออกฉาย: 21 ตุลาคม 2021
- นักแสดงนำ: Timothée Chalamet, Rebecca Ferguson, Oscar Isaac, Zendaya
- ผู้กำกับ: Denis Villeneuve
- ความยาว: 155 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 8.0/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: HBO Max
Lady Bird (2017)

Lady Bird เป็นหนังดราม่าวัยรุ่นที่อบอุ่นและน่ารักจาก Greta Gerwig โดย ทิโมธี ชาลาเมต์ รับบทเป็น Kyle นักดนตรีหนุ่มสุดคูลที่กลายเป็นแฟนคนแรกของ Lady Bird (แสดงโดย Saoirse Ronan) เด็กสาววัย 17 ปีที่กำลังค้นหาตัวเอง หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวการเติบโตของเด็กสาวที่อยากจะหนีจากเมืองเล็กๆ ในแคลิฟอร์เนียไปสู่มหาวิทยาลัยในนิวยอร์ก พร้อมกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างเธอกับแม่
แม้ชาลาเมต์จะมีบทบาทรองในหนังเรื่องนี้ แต่เขาก็แสดงได้อย่างน่าประทับใจในฐานะหนุ่มที่ดูเท่แต่จริงๆ แล้วกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด หนังเรื่องนี้ได้รับคำชมอย่างท่วมท้นและถูกเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ถึง 5 สาขา รวมถึงหนังยอดเยี่ยม Lady Bird เป็นหนังที่พูดถึงวัยรุ่น ความรัก ครอบครัว และความฝันได้อย่างจริงใจและตลกขบขัน ใครที่ชอบหนังแนวนี้ไม่ควรพลาด
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: เลดี้ เบิร์ด
- ประเภท: ดราม่า, คอมเมดี้
- วันที่ออกฉาย: 3 พฤศจิกายน 2017
- นักแสดงนำ: Saoirse Ronan, Laurie Metcalf, Timothée Chalamet
- ผู้กำกับ: Greta Gerwig
- ความยาว: 94 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 7.4/10
Little Women (2019)

Little Women คือการดัดแปลงนวนิยายคลาสสิกของ Louisa May Alcott ที่กำกับโดย Greta Gerwig อีกครั้ง โดย ทิโมธี ชาลาเมต์ รับบทเป็น Theodore “Laurie” Laurence เพื่อนบ้านหนุ่มที่รักและชื่นชอบพี่น้อง March สี่คน โดยเฉพาะกับ Jo (แสดงโดย Saoirse Ronan) หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของสี่พี่น้องสาวในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา ที่ต่างต้องเผชิญกับความท้าทายในชีวิต ความรัก และความฝัน
ชาลาเมต์แสดงบทบาท Laurie ได้อย่างมีเสน่ห์ ทั้งความขี้เล่น ความอ่อนโยน และความเจ็บปวดของหนุ่มที่รักไม่สมหวัง หนังเรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ถึง 6 สาขา และคว้ารางวัลเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม Little Women เป็นหนังที่สวยงามทั้งภาพและเนื้อเรื่อง เหมาะสำหรับใครที่ชอบเรื่องราวครอบครัว ความรัก และความฝันที่ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นและซาบซึ้ง
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: สี่ดรุณี
- ประเภท: ดราม่า, โรแมนติก
- วันที่ออกฉาย: 25 ธันวาคม 2019
- นักแสดงนำ: Saoirse Ronan, Emma Watson, Florence Pugh, Timothée Chalamet
- ผู้กำกับ: Greta Gerwig
- ความยาว: 135 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 7.8/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix
Beautiful Boy (2018)

Beautiful Boy เป็นหนังดราม่าสุดซึ้งที่พูดถึงปัญหายาเสพติดและครอบครัว โดย ทิโมธี ชาลาเมต์ รับบทเป็น Nic Sheff วัยรุ่นที่ติดยาเสพติดอย่างหนัก ขณะที่ Steve Carell แสดงเป็นพ่อที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูกชาย หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงและดัดแปลงจากบันทึกความทรงจำของทั้งพ่อและลูก ทำให้ได้เห็นมุมมองทั้งสองฝ่ายของปัญหาที่เจ็บปวดนี้
การแสดงของชาลาเมต์ในหนังเรื่องนี้ได้รับคำชมว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดของเขา เขาแสดงความเปราะบาง ความสิ้นหวัง และการดิ้นรนของคนติดยาได้อย่างน่าเชื่อและสะเทือนใจ Beautiful Boy ไม่ใช่หนังที่ดูง่าย แต่เป็นหนังที่สำคัญและทรงพลัง เหมาะสำหรับคนที่อยากเข้าใจปัญหายาเสพติดและผลกระทบต่อครอบครัวอย่างลึกซึ้ง
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: แด่ลูกชายสุดที่รัก
- ประเภท: ดราม่า, ชีวประวัติ
- วันที่ออกฉาย: 12 ตุลาคม 2018
- นักแสดงนำ: Steve Carell, Timothée Chalamet, Maura Tierney
- ผู้กำกับ: Felix van Groeningen
- ความยาว: 120 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 7.3/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: Prime Video
The King (2019)

The King เป็นหนังดราม่าประวัติศาสตร์ที่ดัดแปลงจากบทละครของ Shakespeare โดย ทิโมธี ชาลาเมต์ รับบทเป็น King Henry V กษัตริย์หนุ่มแห่งอังกฤษที่ต้องก้าวขึ้นมาครองราชย์หลังจากพ่อสิ้นพระชนม์ หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของเจ้าชายที่เคยดื้อรั้นและไม่สนใจการปกครอง แต่ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อเป็นผู้นำที่ดีและนำอังกฤษไปสู่สงครามกับฝรั่งเศส
ชาลาเมต์แสดงได้อย่างน่าประทับใจในบทบาทที่ท้าทาย เขาแสดงทั้งความเปราะบาง ความสงสัยในตัวเอง และความมุ่งมั่นของกษัตริย์หนุ่มที่ต้องเผชิญกับความรับผิดชอบมหาศาล The King มีฉากแอ็คชั่นสงครามที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะฉากรบที่ Agincourt ที่ถ่ายทอดได้อย่างสมจริงและน่าติดตาม หนังเรื่องนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบหนังประวัติศาสตร์และอยากเห็นชาลาเมต์ในบทบาทกษัตริย์
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: เดอะ คิง
- ประเภท: ดราม่า, ประวัติศาสตร์, สงคราม
- วันที่ออกฉาย: 11 ตุลาคม 2019
- นักแสดงนำ: Timothée Chalamet, Joel Edgerton, Robert Pattinson
- ผู้กำกับ: David Michôd
- ความยาว: 140 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 7.3/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix
Dune: Part Two (2024)

Dune: Part Two เป็นภาคต่อของหนัง Dune ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม โดย ทิโมธี ชาลาเมต์ กลับมารับบท Paul Atreides ที่กลายเป็น Muad’Dib ผู้นำของชาว Fremen บนดาวเคราะห์ Arrakis หนังภาคนี้พาเราไปสู่การต่อสู้ครั้งใหญ่เพื่อแก้แค้นให้กับตระกูล Atreides และปลดปล่อย Arrakis จากการครอบงำของตระกูล Harkonnen ฉากแอ็คชั่นในหนังเรื่องนี้ยิ่งใหญ่และตื่นเต้นกว่าภาคแรก โดยเฉพาะฉากการต่อสู้กับเวิร์มทรายยักษ์
ชาลาเมต์แสดงได้อย่างทรงพลังในภาคนี้ เขาแสดงการเปลี่ยนแปลงของ Paul จากเด็กหนุ่มผู้เปราะบางเป็นผู้นำที่กล้าหาญและน่าเกรงขาม หนังเรื่องนี้ได้รับคำชมจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชม และทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของชาลาเมต์ Dune: Part Two เป็นหนังไซไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเป็นหนังที่ห้ามพลาดเด็ดขาดสำหรับแฟนไซไฟ
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: ดูน ภาคสอง
- ประเภท: ไซไฟ, แอ็คชั่น, ผจญภัย
- วันที่ออกฉาย: 29 กุมภาพันธ์ 2024
- นักแสดงนำ: Timothée Chalamet, Zendaya, Rebecca Ferguson, Austin Butler
- ผู้กำกับ: Denis Villeneuve
- ความยาว: 166 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 8.8/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: HBO Max
The French Dispatch (2021)

The French Dispatch เป็นหนังแนวคอมเมดี้ดราม่าสุดเก๋จาก Wes Anderson ที่เล่าเรื่องราวของนิตยสารอเมริกันในฝรั่งเศสผ่าน 4 เรื่องสั้น โดย ทิโมธี ชาลาเมต์ รับบทเป็น Zeffirelli นักศึกษานักเคลื่อนไหวที่เป็นหนึ่งในตัวละครหลักในเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง หนังเรื่องนี้มีสไตล์ภาพที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ของ Wes Anderson พร้อมทั้งดาราคับคั่งมากมาย
แม้ชาลาเมต์จะมีบทบาทไม่มากนัก แต่เขาก็แสดงได้อย่างโดดเด่นในฐานะนักศึกษาหนุ่มที่มีอุดมการณ์ หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ความคิดสร้างสรรค์ และการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ The French Dispatch เป็นหนังที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบสไตล์การทำหนังของ Wes Anderson และอยากเห็นชาลาเมต์ในบทบาทที่แตกต่าง
- ประเภท: คอมเมดี้, ดราม่า
- วันที่ออกฉาย: 22 ตุลาคม 2021
- นักแสดงนำ: Benicio del Toro, Adrien Brody, Tilda Swinton, Timothée Chalamet
- ผู้กำกับ: Wes Anderson
- ความยาว: 107 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 7.2/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: Disney+
Bones and All (2022)

Bones and All เป็นหนังโรแมนติกสยองขวัญที่แปลกและเข้มข้น โดย ทิโมธี ชาลาเมต์ รับบทเป็น Lee หนุ่มลึกลับที่พบกับ Maren (แสดงโดย Taylor Russell) สาวที่มีความปรารถนาแปลกประหลาดในการกินเนื้อมนุษย์ ทั้งสองตกหลุมรักกันและเดินทางข้ามอเมริการ่วมกัน ขณะเดียวกันก็ต้องหนีจากอดีตและพยายามค้นหาที่ยืนในโลกที่ไม่ยอมรับพวกเขา
หนังเรื่องนี้ผสมผสานความโรแมนติก ความสยองขวัญ และดราม่าได้อย่างลงตัว ชาลาเมต์แสดงได้อย่างเปราะบางและน่าสงสาร แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรับบทบาทที่ท้าทายและแตกต่าง Bones and All ไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน แต่เป็นหนังที่มีเอกลักษณ์และน่าจดจำ เหมาะสำหรับคนที่ชอบหนังแนวดาร์กและแปลกใหม่
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: โบนส์ แอนด์ ออล
- ประเภท: โรแมนติก, สยองขวัญ, ดราม่า
- วันที่ออกฉาย: 23 พฤศจิกายน 2022
- นักแสดงนำ: Taylor Russell, Timothée Chalamet, Mark Rylance
- ผู้กำกับ: Luca Guadagnino
- ความยาว: 130 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 6.8/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: Prime Video
Wonka (2023)

Wonka เป็นหนังมิวสิคัลแฟนตาซีที่เล่าเรื่องราวต้นกำเนิดของ Willy Wonka ช่างทำช็อกโกแลตผู้ลึกลับจากหนัง Charlie and the Chocolate Factory โดย ทิโมธี ชาลาเมต์ รับบทเป็น Wonka หนุ่มผู้มีความฝันที่จะเปิดร้านช็อกโกแลตในเมืองใหญ่ แต่ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายจากพ่อค้าช็อกโกแลตรายอื่นที่พยายามทำลายธุรกิจของเขา หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยเพลงสนุกสนาน ภาพที่สีสันสดใส และความมหัศจรรย์
ชาลาเมต์แสดงได้อย่างมีเสน่ห์และสนุกสนาน เขาร้องเพลงและเต้นได้ดี ทำให้ Wonka เป็นตัวละครที่น่ารักและน่าชื่นชอบ Wonka เป็นหนังที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว มีทั้งความบันเทิง อารมณ์ขัน และข้อคิดเกี่ยวกับการไล่ตามความฝัน หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในบ็อกซ์ออฟฟิศและได้รับคำชมจากผู้ชมทั่วโลก
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: วองก้า
- ประเภท: มิวสิคัล, แฟนตาซี, ผจญภัย
- วันที่ออกฉาย: 15 ธันวาคม 2023
- นักแสดงนำ: Timothée Chalamet, Olivia Colman, Hugh Grant
- ผู้กำกับ: Paul King
- ความยาว: 116 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 7.1/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: HBO Max
จากหนังทั้ง 10 เรื่องที่แนะนำไป จะเห็นได้ว่าชาลาเมต์มีความสามารถในการแสดงที่หลากหลายมาก ตั้งแต่หนังโรแมนติกซึ้งๆ อย่าง Call Me by Your Name ไปจนถึงหนังไซไฟมหากาพย์อย่าง Dune และหนังมิวสิคัลสนุกสนานอย่าง Wonka แต่ละเรื่องแสดงให้เห็นถึงมิติที่แตกต่างกันของเขา ทำให้เรารู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นแค่ดาราหน้าหวาน แต่เป็นนักแสดงมืออาชีพที่สามารถสวมบทบาทอะไรก็ได้อย่างน่าเชื่อถือ
ผลงานของเขาไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ เพราะยังมีโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่กำลังจะมาในอนาคต รวมถึง Dune: Part Three ที่แฟนๆ ต่างรอคอย การเติบโตของชาลาเมต์จากนักแสดงหน้าใหม่สู่ดาราระดับโลกเป็นเรื่องที่น่าติดตาม และหนังทั้ง 10 เรื่องนี้ก็คือหลักฐานที่ชัดเจนว่าทำไมเขาถึงเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ดีที่สุดในยุคนี้ ใครที่ยังไม่ได้ดูก็รีบหามาดูกันเลย รับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน