
- AdGuard DNS คือบริการ DNS ฟรีที่บล็อกโฆษณา ตัวติดตาม และเว็บไซต์อันตราย โดยทำงานในระดับ DNS ทำให้สามารถปกป้องอุปกรณ์ทุกชิ้นในเครือข่ายได้โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติม
- มี 3 โหมดให้เลือกใช้: Default Mode สำหรับบล็อกโฆษณาและภัยคุกคาม, Family Protection Mode ที่เพิ่มการบล็อกเนื้อหาผู้ใหญ่และ Safe Search, และ Non-filtering Mode สำหรับการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยโดยไม่บล็อกอะไร
- รองรับโปรโตคอลที่เข้ารหัสหลายแบบ เช่น DNS-over-HTTPS (DoH), DNS-over-TLS (DoT) และ DNS-over-QUIC (DoQ) ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวและป้องกันการดักฟังข้อมูล DNS จาก ISP หรือบุคคลที่สาม
- การตั้งค่าง่ายมาก สามารถทำได้บนอุปกรณ์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น Android, iOS, Windows, macOS, Linux หรือ Router โดยเพียงแค่เปลี่ยนการตั้งค่า DNS ก็สามารถใช้งานได้ทันที ทำให้เหมาะสำหรับผู้ใช้ทุกระดับความรู้
ในยุคที่โฆษณาออนไลน์และการติดตามพฤติกรรมผู้ใช้งานทวีความรุนแรงมากขึ้น หลายคนเริ่มมองหาวิธีปกป้องความเป็นส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ต AdGuard DNS กลายเป็นหนึ่งในโซลูชันที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับการบล็อกโฆษณาและเพิ่มความปลอดภัยในการท่องเว็บ บริการนี้ทำงานในระดับ DNS (Domain Name System) ซึ่งหมายความว่าสามารถปกป้องอุปกรณ์ทุกชิ้นในเครือข่ายได้โดยไม่ต้องติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติมบนแต่ละเครื่อง
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีลดโฆษณาที่รบกวน เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ และปกป้องข้อมูลส่วนตัวจากการถูกติดตาม AdGuard DNS คือคำตอบที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่งแตกต่างจากโปรแกรมบล็อกโฆษณาทั่วไปที่ต้องติดตั้งบนเบราว์เซอร์หรืออุปกรณ์แต่ละชิ้น DNS นี้ทำงานที่จุดเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์กับอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถกรองเนื้อหาที่ไม่พึงประสงค์ได้ก่อนที่จะถึงมือผู้ใช้
บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ AdGuard DNS อย่างละเอียด ตั้งแต่การทำงาน คุณสมบัติที่โดดเด่น ประโยชน์ที่ได้รับ ไปจนถึงวิธีการตั้งค่าบนอุปกรณ์ต่างๆ พร้อมตอบคำถามที่พบบ่อยเพื่อให้ผู้อ่านสามารถตัดสินใจเลือกใช้บริการได้อย่างมั่นใจ

AdGuard DNS คืออะไร และทำงานอย่างไร
AdGuard DNS คือบริการ DNS resolver ฟรีที่มุ่งเน้นความเป็นส่วนตัว ทำหน้าที่แปลงชื่อโดเมน (Domain Name) เป็นที่อยู่ IP (IP Address) เช่นเดียวกับ DNS ทั่วไป แต่มาพร้อมกับฟีเจอร์พิเศษในการบล็อกโฆษณา ตัวติดตาม (Trackers) และเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติมบนอุปกรณ์
การทำงานของ AdGuard DNS เริ่มต้นเมื่ออุปกรณ์ส่งคำขอ (DNS Request) เพื่อเข้าถึงเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่ง ระบบจะตรวจสอบว่าโดเมนที่ร้องขอมานั้นอยู่ในรายการบล็อกหรือไม่ หากโดเมนดังกล่าวเป็นของเว็บโฆษณา เว็บติดตามพฤติกรรม หรือเว็บที่มีมัลแวร์ ระบบจะส่งค่าว่างกลับไปแทนที่อยู่ IP จริง ทำให้อุปกรณ์ไม่สามารถเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์เหล่านั้นได้
ข้อดีสำคัญของการใช้ DNS ระดับเครือข่าย คือความสามารถในการปกป้องอุปกรณ์ทุกชิ้นที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ Smart TV หรือแม้แต่อุปกรณ์ IoT ต่างๆ เพียงแค่ตั้งค่า DNS บน Router หรืออุปกรณ์แต่ละชิ้น ก็สามารถรับประโยชน์จากการบล็อกโฆษณาและการป้องกันภัยคุกคามได้ทันที
นอกจากนี้ AdGuard DNS ยังมีฐานข้อมูล (Database) ของโดเมนที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งมีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ ทำให้สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว การทำงานในระดับ DNS ยังช่วยประหยัดแบนด์วิดท์และเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ เนื่องจากเนื้อหาที่ไม่พึงประสงค์ถูกบล็อกก่อนจะดาวน์โหลดมายังอุปกรณ์
การเข้ารหัสการเชื่อมต่อด้วยโปรโตคอลที่ทันสมัย เช่น DNS-over-HTTPS (DoH), DNS-over-TLS (DoT), DNS-over-QUIC (DoQ) และ DNSCrypt ยังช่วยปกป้องข้อมูล DNS จากการถูกดักฟัง (Eavesdropping) หรือถูกแก้ไข (Manipulation) โดยบุคคลที่สาม รวมถึง Internet Service Provider (ISP) ที่อาจต้องการเก็บข้อมูลการท่องเว็บของผู้ใช้
สำหรับองค์กรที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงเว็บไซต์ในระดับที่ละเอียดยิ่งขึ้น AdGuard DNS เวอร์ชันส่วนตัว (Private DNS) ยังมี Dashboard ที่ให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบสถิติการใช้งาน ปรับแต่งกฎการกรอง และจัดการอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างละเอียด
คุณสมบัติเด่นของ AdGuard DNS ที่ควรรู้
AdGuard DNS มาพร้อมกับคุณสมบัติที่หลากหลายซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ตให้ดีขึ้น ทั้งในด้านความเร็ว ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว คุณสมบัติแรกที่โดดเด่นคือ การบล็อกโฆษณาและตัวติดตาม ซึ่งทำงานโดยอัตโนมัติในทุกแอปพลิเคชันและเบราว์เซอร์บนอุปกรณ์ ไม่เพียงแค่เว็บไซต์เท่านั้น แต่รวมถึงโฆษณาในแอปมือถือด้วย
บริการนี้มี สามโหมดการทำงาน ให้เลือกใช้ตามความต้องการ โหมดแรกคือ Default Mode ที่บล็อกโฆษณา ตัวติดตาม มัลแวร์ และเว็บไซต์ฟิชชิ่ง เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป โหมดที่สองคือ Family Protection Mode ที่นอกจากจะบล็อกสิ่งเดียวกับโหมดแรกแล้ว ยังบล็อกเว็บไซต์สำหรับผู้ใหญ่และบังคับใช้ Safe Search บนเครื่องมือค้นหาต่างๆ เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็ก ส่วนโหมดสุดท้ายคือ Non-filtering Mode ที่ให้การเชื่อมต่อที่ปลอดภัยโดยไม่บล็อกอะไรเลย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพียงความเป็นส่วนตัวโดยไม่ต้องการฟีเจอร์การกรอง
การรองรับโปรโตคอลที่ทันสมัย เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญ AdGuard DNS รองรับ DNS-over-HTTPS (DoH), DNS-over-TLS (DoT), DNS-over-QUIC (DoQ) และ DNSCrypt ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่เข้ารหัสการสื่อสาร DNS ทำให้ ISP หรือบุคคลที่สามไม่สามารถดูว่าผู้ใช้เข้าเว็บไซต์อะไรบ้าง โดยเฉพาะ DNS-over-QUIC เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ AdGuard DNS เป็นหนึ่งในบริการแรกๆ ที่รองรับ ให้ประสิทธิภาพที่รวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่ใช้บริการแบบส่วนตัว Custom Dashboard ช่วยให้สามารถดูสถิติการใช้งานแบบ Real-time ได้ว่าอุปกรณ์แต่ละเครื่องพยายามเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ใดบ้าง คำขอใดถูกบล็อก และเมื่อไหร่ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งกฎการกรองได้ตามต้องการ เพิ่มหรือลบโดเมนในรายการบล็อกหรืออนุญาต และตั้งค่าการควบคุมสำหรับแต่ละอุปกรณ์ได้อย่างยืดหยุ่น
การป้องกันที่ครอบคลุม ไม่เพียงแค่โฆษณา แต่ยังรวมถึง Malware Protection ที่ป้องกันเว็บไซต์ที่มีมัลแวร์ เว็บฟิชชิ่งที่พยายามขโมยข้อมูลส่วนตัว และเว็บที่มีเนื้อหาอันตราย ระบบจะตรวจสอบโดเมนกับฐานข้อมูลภัยคุกคามที่อัปเดตอยู่เสมอ หากพบว่าเว็บไซต์ใดมีความเสี่ยง จะบล็อกทันทีก่อนที่อุปกรณ์จะเชื่อมต่อเข้าไป
ที่น่าสนใจคือ ไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ บนอุปกรณ์แต่ละชิ้น เพียงแค่เปลี่ยนการตั้งค่า DNS บน Router หรืออุปกรณ์เป็น DNS ของ AdGuard ก็สามารถใช้งานได้ทันที ทำให้เหมาะสำหรับทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Windows, macOS, Linux, Android, iOS, Smart TV หรือ Gaming Console รวมถึง IoT Devices ต่างๆ
นอกจากนี้ยังมี API และการผสานรวม สำหรับผู้ที่ต้องการนำ AdGuard DNS ไปใช้ในองค์กรหรือโครงการพิเศษ มี JSON API สำหรับการทำงานกับ DNS-over-HTTPS และสามารถผสานรวมกับระบบต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น
ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ AdGuard DNS
การใช้ AdGuard DNS นำมาซึ่งประโยชน์มากมายที่ส่งผลต่อประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ตโดยรวม ประโยชน์แรกและสำคัญที่สุดคือ การลดโฆษณาที่รบกวน ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาแบนเนอร์ โฆษณาป๊อปอัป โฆษณาวิดีโอที่เล่นอัตโนมัติ หรือโฆษณาในแอปมือถือ การบล็อกเหล่านี้ในระดับ DNS ทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์การท่องเว็บที่สะอาดและราบรื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บที่เพิ่มขึ้น เป็นอีกหนึ่งประโยชน์ที่ชัดเจน เมื่อโฆษณาและสคริปต์ติดตามถูกบล็อกก่อนจะดาวน์โหลดมายังอุปกรณ์ หน้าเว็บจะโหลดเร็วขึ้นมาก ประหยัดทั้งแบนด์วิดท์และเวลา โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตมือถือที่มีข้อจำกัดด้านความเร็วหรือปริมาณข้อมูล การลดการโหลดเนื้อหาที่ไม่จำเป็นช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาได้อย่างมาก
ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น เป็นประโยชน์ที่มีค่ามาก AdGuard DNS ช่วยป้องกัน มัลแวร์ เว็บฟิชชิ่ง และเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายอื่นๆ โดยบล็อกไม่ให้อุปกรณ์เชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์เหล่านี้ตั้งแต่แรก ช่วยลดความเสี่ยงในการติดมัลแวร์หรือถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับครอบครัวและองค์กร นี่คือชั้นความปลอดภัยเพิ่มเติมที่สำคัญ
การปกป้องความเป็นส่วนตัว เป็นอีกหนึ่งจุดขายหลักของ AdGuard DNS การบล็อกตัวติดตาม (Trackers) หมายความว่าเว็บไซต์และบริษัทโฆษณาจะไม่สามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเว็บของผู้ใช้ได้ นอกจากนี้ การใช้โปรโตคอลที่เข้ารหัสเช่น DoH และ DoT ยังทำให้ ISP ไม่สามารถดูว่าผู้ใช้เข้าเว็บไซต์อะไรบ้าง เพิ่มความเป็นส่วนตัวในการใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่างมาก
สำหรับครอบครัวที่มีเด็ก การใช้ Family Protection Mode ช่วยปกป้องเด็กจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมบนอินเทอร์เน็ต บล็อกเว็บไซต์สำหรับผู้ใหญ่และบังคับใช้ Safe Search บนเครื่องมือค้นหา ทำให้พ่อแม่มั่นใจได้ว่าลูกจะใช้อินเทอร์เน็ตในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ควบคุมพิเศษบนอุปกรณ์แต่ละชิ้น
ความสะดวกในการใช้งาน คือจุดเด่นอีกอย่าง ไม่ต้องติดตั้งหรืออัปเดตซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์ต่างๆ เพียงแค่ตั้งค่า DNS ครั้งเดียว ก็สามารถปกป้องอุปกรณ์ทุกชิ้นในเครือข่ายได้ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ สมาร์ททีวี หรืออุปกรณ์อื่นๆ ทั้งหมดได้รับการปกป้องอย่างเท่าเทียมกัน
สำหรับผู้ใช้ขั้นสูง ที่ต้องการควบคุมมากขึ้น AdGuard DNS เวอร์ชัน Private ให้สิทธิ์ในการปรับแต่งกฎการกรอง เลือกรายการบล็อกที่ต้องการใช้ เพิ่มโดเมนในรายการอนุญาตหรือบล็อกเอง และดูสถิติการใช้งานอย่างละเอียด ทำให้สามารถปรับแต่งประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ตได้ตามต้องการอย่างแท้จริง
วิธีการตั้งค่า AdGuard DNS บนอุปกรณ์ต่างๆ
การตั้งค่า AdGuard DNS ทำได้ง่ายมากและไม่ซับซ้อน มีหลายวิธีในการตั้งค่าขึ้นอยู่กับประเภทของอุปกรณ์และระดับของการป้องกันที่ต้องการ วิธีแรกและแนะนำที่สุดคือการตั้งค่าที่ Router ซึ่งจะทำให้อุปกรณ์ทุกชิ้นที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายบ้านหรือออฟฟิศได้รับการปกป้องอัตโนมัติ โดยเข้าไปที่หน้าตั้งค่า Router แล้วหาส่วนของการตั้งค่า DNS แล้วเปลี่ยน DNS Server จากค่าเดิมเป็นค่าของ AdGuard DNS
สำหรับ Android รุ่นที่ใช้ Android 9 ขึ้นไป มีฟีเจอร์ Private DNS ที่สามารถตั้งค่าได้ง่ายมาก เพียงเข้าไปที่ Settings > Connection & sharing (หรือ Network & internet ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ) > Private DNS แล้วเลือก “Private DNS provider hostname” และพิมพ์ dns.adguard-dns.com สำหรับโหมด Default หรือ family.adguard-dns.com สำหรับโหมด Family Protection เท่านี้ก็เสร็จสิ้น อุปกรณ์จะใช้ AdGuard DNS ทันที
สำหรับ iOS และ iPadOS การตั้งค่าทำได้โดยติดตั้ง Configuration Profile ที่ AdGuard เตรียมไว้ให้ หรือตั้งค่าด้วยตนเองในส่วนของ Wi-Fi Settings โดยเข้าไปที่เครือข่าย Wi-Fi ที่เชื่อมต่ออยู่ กด “i” ด้านขวา แล้วเลื่อนลงไปหา Configure DNS เลือก Manual แล้วเพิ่ม DNS Server ของ AdGuard เข้าไป หรือง่ายกว่านั้นคือดาวน์โหลดแอป AdGuard Pro หรือ AdGuard จาก App Store ซึ่งจะช่วยตั้งค่าให้อัตโนมัติ
สำหรับ Windows เข้าไปที่ Control Panel > Network and Sharing Center > Change adapter settings คลิกขวาที่การเชื่อมต่อเครือข่ายที่ใช้อยู่ เลือก Properties แล้วเลือก Internet Protocol Version 4 (TCP/IPv4) หรือ IPv6 กด Properties อีกครั้ง เลือก “Use the following DNS server addresses” แล้วใส่ DNS Address ของ AdGuard ลงไป สำหรับโหมด Default ใช้ 94.140.14.14 และ 94.140.15.15
สำหรับ macOS เข้าไปที่ System Preferences > Network เลือกการเชื่อมต่อที่ใช้งาน (Wi-Fi หรือ Ethernet) คลิก Advanced แล้วไปที่แท็บ DNS กด + เพื่อเพิ่ม DNS Server ใหม่ โดยใส่ที่อยู่ DNS ของ AdGuard ตามโหมดที่ต้องการใช้ หลังจากนั้นกด OK และ Apply ระบบจะเริ่มใช้ AdGuard DNS ทันที
สำหรับ Linux สามารถตั้งค่าได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับ Distribution ที่ใช้ วิธีที่ง่ายที่สุดคือแก้ไขไฟล์ /etc/resolv.conf โดยเพิ่มบรรทัด nameserver 94.140.14.14 และ nameserver 94.140.15.15 หรือใช้ Network Manager สำหรับ Distribution ที่รองรับ โดยเข้าไปแก้ไข DNS Server ในการตั้งค่าเครือข่าย
สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ โปรโตคอลที่เข้ารหัส เช่น DNS-over-HTTPS (DoH) หรือ DNS-over-TLS (DoT) สามารถตั้งค่าได้ในเบราว์เซอร์สมัยใหม่อย่าง Firefox, Chrome, Edge หรือใช้แอปพลิเคชันเฉพาะเช่น DNSCrypt Proxy การตั้งค่าจะแตกต่างกันไปตามโปรโตคอลที่เลือกใช้ แต่ AdGuard ได้เตรียมคู่มือการตั้งค่าที่ละเอียดไว้บนเว็บไซต์สำหรับทุกแพลตฟอร์ม
AdGuard DNS vs AdGuard Home เลือกใช้แบบไหนดี
หลายคนอาจสับสนระหว่าง AdGuard DNS กับ AdGuard Home ซึ่งแม้จะมาจากบริษัทเดียวกันและมีชื่อคล้ายกัน แต่ทั้งสองมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน การเข้าใจความแตกต่างจะช่วยให้เลือกใช้ได้ตรงกับความต้องการ AdGuard DNS เป็นบริการ Cloud-based DNS ที่เป็น Public DNS Server ที่ใครก็สามารถใช้ได้ฟรี โดยเพียงแค่เปลี่ยนการตั้งค่า DNS บนอุปกรณ์หรือ Router ให้ชี้ไปที่ Server ของ AdGuard
ข้อดีของ AdGuard DNS คือไม่ต้องติดตั้งหรือบำรุงรักษาอะไรเลย บริษัท AdGuard จะเป็นผู้ดูแลและอัปเดต Server รวมถึงรายการบล็อกให้อยู่เสมอ เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการวิธีแก้ปัญหาที่รวดเร็วและง่าย หรือผู้ที่ไม่มีความรู้ทางเทคนิคมากนัก มีให้เลือกทั้งแบบฟรีและแบบ Private DNS ที่มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น การปรับแต่งกฎการกรอง และการดูสถิติแบบละเอียด
ในทางกลับกัน AdGuard Home เป็นซอฟต์แวร์ที่ต้องติดตั้งบน Server หรืออุปกรณ์ในเครือข่ายของผู้ใช้เอง (Self-hosted) ทำหน้าที่เป็น DNS Server ภายในบ้านหรือองค์กร มีลักษณะคล้ายกับ Pi-hole แต่มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ครบครันกว่า รองรับ DNS-over-HTTPS และ DNS-over-TLS ตั้งแต่เริ่มต้น มี Web Interface ที่ใช้งานง่ายและสวยงาม และมีฟีเจอร์การควบคุมโดยผู้ปกครอง (Parental Control) ที่ละเอียดมาก
ข้อดีของ AdGuard Home คือผู้ใช้มีอำนาจควบคุมเต็มที่ สามารถปรับแต่งทุกอย่างได้ตามต้องการ ไม่ต้องพึ่งพาบริการภายนอก และข้อมูลทั้งหมดอยู่ภายในเครือข่ายของตัวเอง เหมาะสำหรับผู้ใช้ขั้นสูงที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงสุด หรือองค์กรที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างละเอียด อย่างไรก็ตาม ต้องมีความรู้ทางเทคนิคพอสมควรในการติดตั้งและบำรุงรักษา ต้องมีอุปกรณ์ที่จะใช้เป็น Server (อาจเป็น Raspberry Pi, NAS, หรือคอมพิวเตอร์เก่า) และต้องดูแลอัปเดตเอง
การเลือกใช้ ขึ้นอยู่กับความต้องการและทักษะของแต่ละคน หากต้องการวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายและรวดเร็ว ไม่ต้องการยุ่งกับการติดตั้งหรือบำรุงรักษา AdGuard DNS เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่หากต้องการความเป็นส่วนตัวสูงสุด ควบคุมทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง และไม่กลัวเทคนิค AdGuard Home คือคำตอบ บางคนอาจใช้ทั้งสองแบบร่วมกัน โดยใช้ AdGuard DNS เป็น Upstream DNS สำหรับ AdGuard Home เพื่อเพิ่มชั้นความปลอดภัยอีกหนึ่งระดับ
ทั้ง AdGuard DNS และ AdGuard Home ล้วนมีจุดแข็งที่แตกต่างกัน การเข้าใจความแตกต่างจะช่วยให้เลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดีและข้อจำกัดของการใช้ AdGuard DNS
แม้ว่า AdGuard DNS จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่ผู้ใช้ควรทราบ เพื่อการตัดสินใจที่มีข้อมูลครบถ้วน เริ่มจากข้อดี ที่สำคัญที่สุดคือความสะดวกในการใช้งาน ไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ใดๆ เพียงแค่เปลี่ยนการตั้งค่า DNS ก็สามารถใช้งานได้ทันที ทำงานได้กับอุปกรณ์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการอะไร และบล็อกโฆษณาได้ทั้งในเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน
ข้อดีที่สองคือความเร็วและประสิทธิภาพ เนื่องจากโฆษณาและสคริปต์ติดตามถูกบล็อกก่อนจะดาวน์โหลด หน้าเว็บจึงโหลดเร็วขึ้นและประหยัดแบนด์วิดท์ การทำงานในระดับ DNS ยังทำให้ไม่กระทบต่อประสิทธิภาพของอุปกรณ์ เพราะไม่มีซอฟต์แวร์ที่ต้องทำงานอยู่เบื้องหลัง นอกจากนี้ AdGuard มี Server ที่กระจายอยู่หลายจุดทั่วโลก ทำให้มีความเร็วในการตอบสนองที่ดี
ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว เป็นข้อดีที่สำคัญ การรองรับโปรโตคอลที่เข้ารหัสเช่น DoH และ DoT ทำให้ ISP ไม่สามารถดูว่าผู้ใช้เข้าเว็บไซต์อะไร นโยบายความเป็นส่วนตัวของ AdGuard ระบุชัดเจน ว่าไม่เก็บหรือขายข้อมูลส่วนบุคคล เก็บข้อมูลเพียงเท่าที่จำเป็นสำหรับการทำงานของบริการเท่านั้น ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ที่ห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัว
การบล็อกที่ครอบคลุม เป็นอีกหนึ่งข้อดี ไม่เพียงแค่โฆษณา แต่ยังรวมถึงมัลแวร์ ฟิชชิ่ง และเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย โหมด Family Protection ยังช่วยปกป้องเด็กจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม การอัปเดตรายการบล็อกอย่างสม่ำเสมอทำให้สามารถป้องกันภัยคุกคามใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม AdGuard DNS ก็มีข้อจำกัดบางประการที่ควรทราบ ข้อจำกัดแรกคือ การบล็อกที่ไม่สมบูรณ์แบบ DNS-based blocking ไม่สามารถบล็อกโฆษณาได้ทั้งหมด โดยเฉพาะโฆษณาที่มาจากโดเมนเดียวกับเนื้อหาหลัก เช่น โฆษณาบน YouTube ที่ส่งมาจาก Server เดียวกับวิดีโอ หรือโฆษณาบน Facebook ที่ผสมอยู่กับ Feed ซึ่ง DNS blocking จะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนเป็นโฆษณาหรือเนื้อหาจริง
อาจทำให้เว็บไซต์บางเว็บใช้งานไม่ได้ เป็นข้อจำกัดที่สำคัญ บางเว็บไซต์อาจตรวจจับได้ว่ามีการบล็อกโฆษณาและจะไม่แสดงเนื้อหา หรือบางเว็บอาจใช้โดเมนเดียวกันกับที่อยู่ในรายการบล็อก ทำให้เว็บไซต์นั้นเข้าไม่ได้ ผู้ใช้อาจต้องเพิ่มเว็บไซต์บางเว็บในรายการอนุญาต (Allowlist) หรือปิดการใช้งาน AdGuard DNS ชั่วคราวเมื่อเข้าเว็บไซต์เหล่านั้น
ความเป็นส่วนตัวที่ยังไม่เต็มร้อย ถึงแม้ว่า AdGuard จะอ้างว่าไม่เก็บหรือขายข้อมูล แต่การใช้บริการ Cloud-based DNS ก็หมายความว่าคำขอ DNS ของผู้ใช้ยังคงต้องผ่าน Server ของบริษัท AdGuard สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงสุด การใช้ AdGuard Home แบบ Self-hosted อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
การพึ่งพาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หาก Server ของ AdGuard DNS ล่มหรือมีปัญหา ผู้ใช้จะไม่สามารถเข้าอินเทอร์เน็ตได้ แม้ว่าจะเกิดขึ้นได้ยากเพราะ AdGuard มี Infrastructure ที่แข็งแกร่ง แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่ควรรับทราบ การตั้งค่า Fallback DNS เป็นการป้องกันความเสี่ยงนี้
สรุปแล้ว AdGuard DNS เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการวิธีการบล็อกโฆษณาและปกป้องความเป็นส่วนตัวที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ แต่สำหรับผู้ที่ต้องการการบล็อกที่สมบูรณ์แบบหรือความเป็นส่วนตัวสูงสุด อาจต้องใช้เครื่องมือเสริมอื่นๆ เช่น Browser Extension สำหรับ Ad Blocking หรือ AdGuard Home แบบ Self-hosted ร่วมด้วย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ AdGuard DNS
AdGuard DNS ฟรีหรือเสียเงิน? AdGuard DNS มีให้บริการทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน บริการฟรี (Public DNS) สามารถใช้งานได้ทุกคนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย มีโหมดให้เลือกใช้ 3 โหมด คือ Default, Family Protection และ Non-filtering สำหรับผู้ที่ต้องการฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น การปรับแต่งกฎการกรอง การดูสถิติแบบละเอียด และการตั้งค่าสำหรับแต่ละอุปกรณ์ สามารถอัปเกรดเป็น Private AdGuard DNS ซึ่งมีค่าบริการ
AdGuard DNS ปลอดภัยไหม และจะปกป้องข้อมูลส่วนตัวได้จริงหรือไม่? ใช่ AdGuard DNS ปลอดภัยและให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว บริษัทมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจนว่าไม่เก็บหรือขายข้อมูลส่วนบุคคล รองรับโปรโตคอลที่เข้ารหัส เช่น DoH, DoT และ DoQ ที่ป้องกันไม่ให้บุคคลที่สาม รวมถึง ISP สามารถดูว่าผู้ใช้เข้าเว็บไซต์อะไร อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงสุด อาจพิจารณาใช้ AdGuard Home แบบ Self-hosted
AdGuard DNS สามารถบล็อกโฆษณาบน YouTube หรือ Facebook ได้ไหม? ไม่ได้อย่างสมบูรณ์ DNS-based blocking ไม่สามารถบล็อกโฆษณาที่มาจากโดเมนเดียวกับเนื้อหาหลัก โฆษณาบน YouTube และ Facebook ส่งมาจาก Server เดียวกับวิดีโอและโพสต์ ทำให้ DNS ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนเป็นโฆษณา สำหรับการบล็อกโฆษณาบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ ควรใช้ Browser Extension เช่น uBlock Origin หรือ AdGuard Browser Extension ร่วมด้วย
การใช้ AdGuard DNS จะทำให้อินเทอร์เน็ตช้าลงไหม? ไม่ ในทางกลับกัน AdGuard DNS มักทำให้การท่องเว็บเร็วขึ้น เนื่องจากโฆษณาและสคริปต์ติดตามถูกบล็อกก่อนจะดาวน์โหลด ทำให้หน้าเว็บโหลดเร็วขึ้นและประหยัดแบนด์วิดท์ AdGuard มี Server ที่กระจายอยู่หลายจุดทั่วโลก ทำให้มีเวลาตอบสนอง (Latency) ที่ต่ำ อย่างไรก็ตาม หากเลือกใช้ Server ที่อยู่ไกลจากตำแหน่งจริง อาจมีผลกระทบต่อความเร็วบ้าง
สามารถใช้ AdGuard DNS กับ VPN พร้อมกันได้ไหม? ได้ แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการตั้งค่า หาก VPN รองรับการตั้งค่า Custom DNS ก็สามารถใช้ AdGuard DNS ผ่าน VPN ได้ อย่างไรก็ตาม VPN บางตัวอาจบังคับใช้ DNS Server ของตัวเอง ทำให้ไม่สามารถใช้ AdGuard DNS ได้ ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่าของ VPN ที่ใช้ว่ารองรับ Custom DNS หรือไม่ หรือพิจารณาใช้ AdGuard VPN ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับ AdGuard DNS ได้โดยตรง
AdGuard DNS กับ Google Public DNS หรือ Cloudflare DNS แตกต่างกันอย่างไร? ความแตกต่างหลักคือ AdGuard DNS มาพร้อมกับฟีเจอร์บล็อกโฆษณา ตัวติดตาม และเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย ในขณะที่ Google Public DNS และ Cloudflare DNS เป็นเพียง DNS Resolver ทั่วไปที่ไม่มีฟีเจอร์การบล็อก นอกจากนี้ AdGuard ยังเน้นความเป็นส่วนตัวโดยไม่เก็บข้อมูล Log ส่วนบุคคล แตกต่างจาก Google ที่อาจใช้ข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด
ทิ้งท้าย
AdGuard DNS เป็นโซลูชันที่ทรงพลังและใช้งานง่ายสำหรับการปกป้องความเป็นส่วนตัวและปรับปรุงประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ต ด้วยการบล็อกโฆษณา ตัวติดตาม และเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายในระดับ DNS ทำให้สามารถปกป้องอุปกรณ์ทุกชิ้นในเครือข่ายได้โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติม ความสะดวกสบายในการใช้งานคือจุดแข็งที่โดดเด่น เพียงแค่เปลี่ยนการตั้งค่า DNS บน Router หรืออุปกรณ์ ก็สามารถเริ่มใช้งานได้ทันที
การรองรับโปรโตคอลที่เข้ารหัสเช่น DNS-over-HTTPS และ DNS-over-TLS ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ป้องกันไม่ให้ ISP หรือบุคคลที่สามสามารถดูว่าผู้ใช้เข้าเว็บไซต์อะไรบ้าง สำหรับครอบครัว โหมด Family Protection ช่วยปกป้องเด็กจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ทำให้พ่อแม่มั่นใจในความปลอดภัยของลูกเมื่อใช้อินเทอร์เน็ต ด้วยข้อดีมากมายที่นำเสนอ ทั้งความเร็วที่เพิ่มขึ้น ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวที่ดีขึ้น AdGuard DNS เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับทุกคนที่ต้องการปรับปรุงประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ต
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการวิธีการบล็อกโฆษณาที่ง่าย ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีที่ต้องการเครื่องมือที่ละเอียดมากขึ้น หรือครอบครัวที่ต้องการปกป้องเด็กในโลกออนไลน์ AdGuard DNS มีโซลูชันที่เหมาะสม ลองใช้งาน AdGuard DNS วันนี้และสัมผัสกับการท่องเว็บที่สะอาด รวดเร็ว และปลอดภัยกว่าที่เคย

