เรื่องน่าสนใจ

ลูกพลับ สรรพคุณและประโยชน์ของลูกพลับ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

เป็นผลไม้สีเหลืองถึงแดง พืชในสกุล Diospyros จะมีหลายสปีชีส์ สปีชีส์ที่นิยมปลูกในประเทศไทยมากที่สุดคือ D.kaki ในประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า คาขิ มีถิ่นกำเนิดจากภาคเหนือของจีน พบว่ามีการรับประทานพลับตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น และถือเป็นผลไม้ที่มีคุณค่า ต่อมาได้กระจายพันธุ์เข้าไปในญี่ปุ่น และกลายเป็นผลไม้ยอดนิยม พลับพันธุ์ที่นิยมปลูกในยุโรปเป็นสปีชีส์ D. virginia ซึ่งนำพันธุ์มาจากสหรัฐอเมริกา

ลูกพลับ สปีชี่ที่นิยมปลูกในประเทศไทยมากที่สุด ก็คือ สปีชีส์ Diospyros kaki ประเทศญี่ปุ่นจะเรียกว่า คาขิ หรือ พลับจีน D.KAKI มีถิ่นกำเนิดทางตอนเหนือของจีนและนิยมปลูกในประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี และประเทศไทย

แบ่งตามรสชาติออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

  • ลูกพลับหวาน เช่น พันธุ์ฟูยุ มีรสหวาน ผลสุกสีส้มอมเหลือง รับประทานส ๆ ได้
  • ลูกพลับฝาด เช่น พันธุ์ซิชู พันธุ์ฮาชิยา จะมีรสฝาด เนื้อนิ่ม ผลสุกเนื้อสีส้มอมแดง ต้องนำมาผ่านกระบวนการลดความฝาดก่อนถึงจะรับประทานได้

ลักษณะต้นพลับ

ลักษณะต้นพลับ
ภาพโดย misskursovie2013 จาก Pixabay 

เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ใบสีเขียวคล้ายรูปหัวใจ ดอกสีเหลืองทรงคล้ายระฆัง ผลลูกพลับจะมีอยู่หลายรูปทรง ทั้งแบบกลม แบบกรวย กลมแบน ส่วนผลอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีเหลือง เนื้อแข็ง เป็นสีส้ม ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลประมาณ 8 เมล็ด

ลูกพลับที่ปลูกในประเทศไทย จะเป็นไม้ต้น ผลัดใบ สูงได้ถึงประมาณ 10 เมตร มีใบสีเขียวเข้มคล้ายรูปหัวใจ ดอกจะคล้ายระฆัง ขนาด 2 – 2.5 เซนติเมตร สีขาวเหลือง ผลจะคล้ายลูกเต๋า ขนาดประมาณ 5 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยงที่ติดคงทน ผลสุกมีสีเหลืองอมส้ม มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน

ประโยชน์ของลูกพลับ

ประโยชน์ของลูกพลับ
ภาพโดย Paul Garic Ho จาก Pixabay 

ลูกพลับแม้จะมีขนาดเล็ก แต่เต็มไปด้วยสารอาหาร ลูกพลับหนึ่งลูก (168 กรัม) ประกอบด้วย :

  • แคลอรี่: 118
  • คาร์โบไฮเดรต: 31 กรัม
  • โปรตีน: 1 กรัม
  • ไขมัน: 0.3 กรัม
  • ไฟเบอร์: 6 กรัม
  • วิตามินเอ: 55% ของ RDI
  • วิตามินซี: 22% ของ RDI
  • วิตามินอี: 6% ของ RDI
  • วิตามินเค: 5% ของ RDI
  • วิตามินบี 6 (ไพริดอกซิน): 8% ของ RDI
  • โพแทสเซียม: 8% ของ RDI
  • ทองแดง: 9% ของ RDI
  • แมงกานีส: 30% ของ RDI

ลูกพลับมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญสูง รวมทั้งวิตามิน A, C และ B โพแทสเซียมและแมงกานีส และยังมีสารประกอบพืชที่เป็นประโยชน์ เช่น แทนนิน และฟลาโวนอยด์

ช่วยการมองเห็น

ในลูกพลับมีสารต้านอิสระสำคัญที่ชื่อ ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสองชนิดนี้เป็นสารอาหารสำคัญที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา ป้องกันความสูญเสียทางการมองเห็น ลูกพลับหนึ่งผลให้ปริมาณวิตามินเอถึง 55%

กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง

ลูกพลับอุดมไปด้วยสารไฟเซติน (Fisetin) ซึ่งเป็นสารอาหารในกลุ่มของสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) โดยสารไฟเซตินมีส่วนช่วยเสริมสร้างความจำ ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อระบบเส้นประสาทและสมอง รวมถึงมีส่วนช่วยในการป้องกันความเสื่อมสมรรถภาพทางสติปัญญาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่าสารไฟเซตินมีส่วนช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินในร่างกายอีกด้วย

บำรุงหัวใจ

ผักและผลไม้หลายชนิดมีส่วนช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ ลูกพลับก็เช่นเดียวกัน เพราะในลูกพลับมีสารอาหารสำคัญต่อหัวใจนั่นคือโพแทสเซียม ซึ่งหากร่างกายได้รับโพแทสเซียมอย่างเพียงพอก็จะช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่นำไปสู่โรคหัวใจ วิตามินซีและโฟเลตในลูกพลับเองก็มีส่วนช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและภาวะหัวใจวาย

ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

ผลไม้ที่อยู่ในกลุ่มสีส้มหรือสีเหลืองอย่างลูกพลับ จัดว่าเป็นกลุ่มอาหารที่ให้สารอาหารสำคัญอย่างเบต้าแคโรทีน (Beta Carotene) ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีส่วนสำคัญในการควบคุมและลดอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และเนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงจึงดีต่อระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหาร ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดีมากขึ้น จึงลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาในลำไส้อย่างมะเร็งลำไส้ใหญ่

ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน

ไม่ใช่แค่เพียงการหมั่นออกกำลังกายและการดื่มนมเท่านั้นที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง การรับประทานผักและผลไม้ต่าง ๆ ก็ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพกระดูกเช่นกัน โดยเฉพาะกับลูกพลับซึ่งมีสาร โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ที่ได้รับการค้นพบและวิจัยว่ามีส่วนช่วยลดโอกาสในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้

สร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ลูกพลับเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก โดยในลูกพลับหนึ่งผลจะมีปริมาณวิตามินซีถึงร้อยละ 80 ของวิตามินซีที่ควรรับในแต่ละวัน การรับประทานลูกพลับจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต้านทานต่อแบคทีเรีย ไวรัสและราที่ก่อให้เกิดโรคได้

ระบบการย่อยอาหาร

ลูกพลับประกอบไปด้วยเส้นใยอาหารประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณเส้นใยอาหารที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ดังนั้นการรับประทานลูกพลับจะช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียได้ดีขึ้นลดอาการท้องผูก

ชะลอความชรา

ลูกพลับอุดมไปด้วยวิตามินเอและสารประกอบพวกบีต้า แคโรทีน, ลูทีน (lutein), ไลโคพีน (lycopene) และคริปโทแซนทิน (cryptoxanthin) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ส่งผลในการป้องกันและชะลอสิ่งบ่งชี้ของความชรา เช่น รอยเหี่ยวย่น จุดกระ ความเหนื่อยล้า สายตายาวและกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น

ควบคุมระดับความดันเลือด

ลูกพลับอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ซึ่งมีคุณสมบัติในการเป็นสารขยายหลอดลือดและลดแรงดันเลือด ส่งผลให้เกิดการไหลเวียนที่ดีของเลือดและป้องกันการเกิดโรคหัวใจ

เราสามารถนำเปลือกของลูกพลับมาทานได้ เนื่องจากพบว่าประโยชน์ของลูกพลับส่วนเปลือกมีสารสำคัญหลายชนิด เช่น

  • Vitamin C ในส่วนเปลือกสูงกว่าเลมอนถึง 2 เท่าซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการเหนื่อยล้า ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ผิวพรรณดูสวยงาม ชุ่มชื้น ป้องกันการเกิดฝ้า และสิว เป็นหนึ่งในอาหารและวิตามินเสริมเพื่อความงาม
  • Beta carotine ปริมาณเท่ากับฟักทองโดยเปลี่ยนเป็นวิตามิน A ทำให้มีส่วนช่วยในการมองเห็น สร้างภูมิคุ้มกัน และยังทำให้เล็บ ผม ผิวมีสุขภาพดี
  • Potassium ช่วยในการลดความดันโลหิต ขจัดโซเดียม (Na) อันเป็นสาเหตุของอาการบวมน้ำในร่างกาย
  • Pectin เส้นใยอาหารที่มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลของลำไส้ รวมถึงช่วยดูดซับคลอเรสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีของร่างกาย
  • Tannin สารที่ได้จากรสฝาดซึ่งมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยในแก้อาการเมาค้างได้อีกด้วย

ก่อนจะนำเปลือกมารับประทานควรล้างทำความสะอาดแช่ในน้ำอุ่น 1-2 นาที หรือนำไปล้างด้วยเบกกิ้งโซดาโดยแช่ไว้ประมาณ 1 นาที ตามด้วยการล้างด้วยน้ำสะอาด และสามารถล้างด้วยน้ำส้มสายชูโดยการนำลูกพลับไปแช่ประมาณ 1 นาทีก่อนจะนำไปปอกเปลือกเพื่อช่วยในการกำจัดยาฆ่าแมลง และสารเคลือบผิว (Wax)

วิธีเลือกลูกพลับให้อร่อย

วิธีเลือกลูกพลับให้อร่อย
ภาพโดย Paul Garic Ho จาก Pixabay 

เลือกลูกพลับที่มีผลอวบ มีผิวเรียบเนียน เป็นเงาวาว ไม่มีรอยแตกหรือรอยช้ำ

หากจะรับประทานลูกพลับทันที หรือกินภายใน 1-2 วัน ควรเลือกลูกพลับที่สุกแล้ว เพราะลูกพลับที่ยังไม่สุกอาจจำเป็นต้องใช้เวลาอีก 2-3 วัน กว่าที่ลูกพลับจะสุกพร้อมรับประทาน ถ้าซื้อลูกพลับที่ยังไม่สุกมา และต้องการทำให้สุก สามารถเก็บลูกพลับไว้ในอุณหภูมิห้องได้เลย

โดยนำลูกพลับใส่ไว้ในถุงกระดาษที่ปิดมิดชิด โดยทั่วไปลูกพลับจะมีสีส้มและสีเหลือง ลูกพลับที่สุกแล้วมีรสชาติหวานกรอบ คือแบบสีส้ม ส่วนสีเหลืองนั้นเนื้อในจะฝาด ฉะนั้นเมื่อเลือกติดมือมาแล้วควรบ่มไว้สัก 1-2 วัน ให้เป็นสีส้มสุกก่อนค่อยกิน จะได้รสชาติที่หวานกรอบอร่อย แต่ถ้าบ่มไว้นานเกินไป ลูกพลับจะนิ่มและเละได้

เคล็ดลับแก้ลูกพลับให้หายฝาด

  • แช่ในน้ำปูนใส
  • บ่มด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์
  • บรรจุสูญญากาศ

เมื่อลูกพลับผ่านการทำให้หายฝาดแล้วจะกลับมากรอบหวานอร่อย

จะให้ลูกพลับมีความหวานและกรอบนั้น แนะนำให้ใช้ถุงพลาสติก หรือกระดาษห่อ หรือบ่มไว้ประมาน 1-2 วัน หรือวางไว้ในที่มีอากาศท่ายเท จะทำให้ลูกพลับหวานกรอบและน่ากิน นอกจากจะนำลูกพลับมากินเป็นผลไม้สด ๆ แล้ว ยังทำเป็นลูกพลับตากแห้ง ลูกพลับเชื่อม ทำน้ำลูกพลับได้ นำใบมาชงดื่มเป็นน้ำชาได้ลดความดัน ช่วยระบาย และแก้อาการนอนไม่หลับ

ข้อควรระวังในการรับประทานลูกพลับ

ต้องปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจว่าตนเองไม่มีอาการแพ้ลูกพลับ หากมีอาการแพ้ที่รุนแรงอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ในกรณีที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง หากมีอาการทางสุขภาพที่เกี่ยวกับช่องท้อง กระเพาะอาหาร หรือมีการผ่าตัดที่เกี่ยวเนื่องกับช่องท้องหรือกระเพาะอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานลูกพลับไปก่อนจนกว่าจะหายดี เนื่องจากอาจเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาการอุดตันในลำไส้ได้ และควรล้างลูกพลับก่อนนำมารับประทานทุกครั้ง หากนำไปแช่ตู้เย็นควรเก็บลูกพลับให้ห่างจากอาหารประเภทอื่น เช่น เนื้อสัตว์ หรือปลา เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของอาหาร หรืออาจทำให้กลิ่นของอาหารผิดเพี้ยนไป

ทิ้งท้าย

ลูกพลับเป็นผลไม้ที่มีรสหวานและมีประโยชน์หลากหลาย ซึ่งเต็มไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ไฟเบอร์ และสารประกอบจากพืชที่เป็นประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพของหัวใจ ลดการอักเสบ สนับสนุนการมองเห็นที่แข็งแรง และทำให้ระบบย่อยอาหารของคุณแข็งแรง

อ่านต่อ

NaniTalk S.

เป็นนักเขียนที่ขยันขันแข็งและมุ่งมั่นที่จะผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ เรียนรู้และเติบโตอยู่เสมอ เชื่อว่าเนื้อหาที่ดีสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button