
Summary
- มอรมอน (Mormon) คือ ศาสนิกชนของคริสตจักรแห่งพระเยซูคริสต์แห่งวิสามัญยุคหลัง ไม่ใช่คำเรียกศาสนา
- หนังสือมอรมอนเป็นคัมภีร์หลักของศาสนา ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นคำสอนของพระเยซูที่ถูกเปิดเผยเฉพาะแก่ชาวอเมริกันโบราณ
- ศาสนิกชนมอรมอนมีวิถีชีวิตที่เน้นครอบครัว การรับใช้ และการรักษาศีลธรรม เช่น การหลีกเลี่ยงสิ่งเสพติดและรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ
- แม้จะมีความเชื่อที่แตกต่างจากคริสเตียนทั่วไป แต่มอรมอนยังคงยึดถือพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางของความเชื่อ
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “มอรมอน (Mormon)” ผ่านหูมาบ้าง อาจสงสัยว่ามันเกี่ยวข้องกับอะไร? เป็นศาสนาใหม่หรือเปล่า? หรือเป็นลัทธิพิเศษที่มีพิธีกรรมแปลกๆ? หากคุณกำลังสงสัยแบบนี้อยู่ บอกเลยว่าไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น เพราะแม้แต่คนรอบข้างผมเองก็มีคำถามเหมือนกัน
บทความนี้จะมาอธิบายอย่างละเอียดและชัดเจนว่า มอรมอนคืออะไร มีความเชื่อและพิธีกรรมอย่างไรบ้าง ทำไมผู้คนถึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ รวมถึงแนะนำมุมมองที่เป็นกลางเกี่ยวกับศาสนานี้ โดยที่ไม่ต้องหาข้อมูลจากหลายๆ ที่ให้เสียเวลา พร้อมหรือยัง? ไปสำรวจกันเลย

มอรมอน (Mormon) คืออะไร?
มอรมอน หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ “ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย” (The Church of Jesus Christ of Latter-day Saints) เป็นศาสนาคริสต์นิกายหนึ่งที่มีต้นกำเนิดจากประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 โดยมีโจเซฟ สมิธ (Joseph Smith) เป็นผู้ก่อตั้ง ศาสนานี้มีชื่อเสียงจากหนังสือศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาที่เรียกว่า “คัมภีร์มอรมอน”
คัมภีร์มอรมอน คือ ข้อความศักดิ์สิทธิ์เพิ่มเติมจากพระคัมภีร์ไบเบิล ที่สมาชิกศาสนาเชื่อว่าเป็นคำสอนที่ได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้าผ่านโจเซฟ สมิธ ซึ่งเป็นผู้พบแผ่นจารึกทองคำและแปลออกมาเป็นคัมภีร์เล่มนี้ จึงทำให้เกิดศาสนาใหม่ที่มีแนวทางและพิธีกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ประวัติและความเป็นมาของศาสนามอรมอน
ศาสนาคริสตจักรแห่งพระเยซูคริสต์แห่งวิสามัญยุคหลัง (Latter Day Saint Movement) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ศาสนามอรมอน” เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1820 เมื่อโจเซฟ สมิธ อายุประมาณ 14 ปี ในรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กล่าวว่าเขาเห็นการทรงปรากฏของพระบิดาและพระเยซูคริสต์ขณะที่กำลังอธิษฐานขอคำแนะนำเกี่ยวกับศาสนา ประสบการณ์นี้เรียกว่า “การทรงปรากฏครั้งแรก” (First Vision) ซึ่งถือเป็นรากฐานของความเชื่อมอรมอนที่ว่า ศาสนาคริสเตียนในยุคหลังได้เสื่อมสภาพลง และจำเป็นต้องมีการฟื้นฟูใหม่อีกครั้ง
ในเวลาต่อมา โจเซฟ สมิธ กล่าวว่าเขาได้รับการชี้แนะให้ไปหาแผ่นทองคำโบราณที่ฝังอยู่ใกล้บ้าน ซึ่งเขามีภารกิจในการแปลเนื้อหา โดยใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า “อูริมและธรูมิม” (Urim and Thummim) ผลลัพธ์คือหนังสือมอรมอน (Book of Mormon) ซึ่งเผยแพร่ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1830 และกลายเป็นคัมภีร์หลักของศาสนานี้ ควบคู่ไปกับพระคัมภีร์ไบเบิล

ตลอดทศวรรษ 1830–1840 ศาสนิกชนมอรมอนเผชิญกับการถูกกดดันและการขับไล่จากชุมชนอื่น ๆ เนื่องจากความเชื่อที่แตกต่าง เช่น การแต่งงานแบบพหุภรรยาในบางช่วงเวลา รวมถึงแนวคิดทางการเมืองที่เข้มแข็ง โจเซฟ สมิธ เองก็ถูกฆาตกรรมในปี ค.ศ. 1844 ระหว่างถูกจองจำ ทำให้บริคแฮม ยัง (Brigham Young) ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำ และนำศาสนิกชนย้ายไปยังยูทาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกประหัตประหาร
ปัจจุบัน ศาสนิกชนมอรมอนมีมากกว่า 17 ล้านคนทั่วโลก โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองซอลท์เลกซิตี รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา แม้จะมีการปฏิรูปหลายอย่าง เช่น การยกเลิกการแต่งงานแบบพหุภรรยาในปี ค.ศ. 1890 แต่ความเชื่อหลักของศาสนานี้ยังคงยึดมั่นตามแนวทางที่โจเซฟ สมิธ วางไว้
ความเชื่อและหลักคำสอนของมอรมอน
ศาสนามอรมอนมีหลักความเชื่อที่แตกต่างจากศาสนาคริสต์ทั่วไปอยู่หลายประเด็น เช่น เชื่อว่าพระเจ้ามีร่างกายทางกายภาพที่สมบูรณ์แบบ เชื่อในการเปิดเผยต่อเนื่องผ่านศาสดาพยากรณ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และมีแนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตายที่ชัดเจนและละเอียดอ่อนมาก
สมาชิกมอรมอนเน้นการดำรงชีวิตตามมาตรฐานทางศีลธรรมที่สูง เช่น งดดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ และบุหรี่ สนับสนุนครอบครัวที่มั่นคง และส่งเสริมความสามัคคีในชุมชน มุมมองเกี่ยวกับครอบครัวและการแต่งงานถือเป็นหัวใจสำคัญของชีวิตที่มีคุณธรรม
พิธีกรรมและประเพณีในศาสนามอรมอน
มอรมอนมีพิธีกรรมที่เรียกว่า “ศาสนพิธีบัพติศมา” หรือการรับบัพติศมา ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการเข้าสู่ศาสนา โดยจะกระทำผ่านการแช่น้ำทั้งตัว (immersion) เพื่อสื่อถึงการชำระบาปและเกิดใหม่ทางจิตวิญญาณ
นอกจากนี้ ยังมีพิธีกรรมสำคัญที่เรียกว่า “การแต่งงานในวิหาร” ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้คู่แต่งงานได้อยู่ด้วยกันชั่วนิรันดร์ ไม่ใช่แค่ในชีวิตนี้เท่านั้น มอรมอนยังให้ความสำคัญกับการทำพันธกิจเผยแผ่ศาสนา ซึ่งหนุ่มสาวจำนวนมากจะออกเดินทางไปทำพันธกิจทั่วโลกเพื่อเผยแพร่ศาสนา
ข้อถกเถียงและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับมอรมอน
แม้มอรมอนจะมีสมาชิกมากมายทั่วโลก แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงหรือความเข้าใจผิดหลายอย่าง เช่น เรื่องการมีภรรยาหลายคน (Polygamy) ซึ่งเคยมีอยู่ในอดีตแต่ปัจจุบันถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ยังคงมีความเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้ง
นอกจากนี้ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการเปิดเผยทางศาสนา ความแตกต่างทางคำสอนกับคริสต์นิกายอื่นๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดการมองว่ามอรมอนเป็นลัทธิที่แปลกแยก อย่างไรก็ตาม สมาชิกศาสนายังคงดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข และมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง
คำถามยอดนิยมเกี่ยวกับศาสนามอรมอน
มอรมอนเชื่อว่าพระเยซูเป็นใคร?
ศาสนิกชนมอรมอนเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระบิดาทางจิตวิญญาณ และเป็นผู้ไถ่บาปของโลก พวกเขายึดถือพระองค์เป็นศูนย์กลางของความเชื่อ แม้จะมีความเข้าใจที่แตกต่างจากคริสเตียนนิกายอื่นในบางรายละเอียด
มอรมอนเชื่อว่าผู้หญิงจะได้เป็นเทพีไหม?
ศาสนิกชนมอรมอนเชื่อว่าผู้หญิงสามารถบรรลุ “การเป็นเทพี” ในโลกหน้า หากพวกเธอบริสุทธิ์และรักษาความเชื่อไว้จนถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ยังเป็นที่ถกเถียงและตีความภายในชุมชนเช่นกัน
มอรมอนยังเชื่อเรื่องพหุภริยาอยู่หรือไม่?
ปัจจุบัน ศาสนจักรมอรมอนอย่างเป็นทางการได้ยกเลิกการแต่งงานแบบพหุภริยาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1890 ภายใต้แรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มแยกที่ยังปฏิบัติตามประเพณีนี้ แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากศาสนจักรหลัก
มอรมอนฉลองเทศกาลอะไรบ้าง?
ศาสนิกชนมอรมอนเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญของคริสเตียน เช่น วันอีสเตอร์ (Easter) และวันคริสต์มาส นอกจากนี้ พวกเขายังมีกิจกรรมพิเศษในวัน Fast Sunday, Pioneer Day และ Family History Day
มอรมอนใช้เทคโนโลยีหรือไม่?
ใช้ครับ ศาสนิกชนมอรมอนใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันเหมือนคนทั่วไป แต่พวกเขาอาจมีแนวทางในการใช้สื่อและโซเชียลมีเดียที่เน้นความเหมาะสมและไม่ขัดกับหลักคำสอน
ทิ้งท้าย
มอรมอนเป็นศาสนาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในด้านคำสอน พิธีกรรม และรูปแบบการดำเนินชีวิต แม้จะมีข้อสงสัยหรือความเข้าใจผิดในบางประเด็น แต่เมื่อทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วจะพบว่า มอรมอนคือชุมชนที่มุ่งมั่นในการสร้างชีวิตที่ดีงามและมีคุณค่าทางจิตวิญญาณ
หากคุณสนใจหรืออยากแบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับมอรมอน สามารถคอมเมนต์หรือแชร์บทความนี้ให้เพื่อนได้อ่าน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น