![[รีวิว-เรื่องย่อ] ชาย | Shine (2025) เรื่องราวแห่งแสงจันทร์และความขัดแย้ง](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/08/Review-Shine-2025.webp)
- Shine เป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องของตริน นักเศรษฐศาสตร์ที่เพิ่งกลับจากปารีส ต้องเผชิญหน้ากับธันวา นักดนตรีฮิปปี้ลูกชายเศรษฐี ท่ามกลางการประท้วงและการเมืองร้อนแรง
- เรื่องราวผสมผสานดราม่าการเมืองกับความโรแมนติกได้อย่างลงตัว โดยไม่หลงไปในความซับซ้อนเกินจำเป็น
- งานภาพและดนตรีเน้นบรรยากาศยุค 60s ที่สดใสแต่แฝงความตึงเครียด สร้างความรู้สึกที่ลึกซึ้งและน่าติดตาม
- ซีรีส์สอนว่าในยุคที่สังคมต่อต้านความหลากหลาย ความรักและอุดมการณ์ยังคงเป็นแสงสว่างนำทาง
ลองนึกภาพว่าเรากำลังย้อนเวลากลับไปปี 1969 ยุคที่มนุษย์เหยียบดวงจันทร์ครั้งแรก แต่ในประเทศไทยกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวายทางการเมือง นักศึกษาลุกขึ้นประท้วงทุนนิยม และสังคมกำลังฉลองอย่างฟุ่มเฟือย แบบนี้แหละที่ ซีรีส์วายไทย Shine (2025) นำเสนอ ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องรักหวานแหวว แต่เป็นการผสมผสาน การเมืองไทยยุค 60s กับความสัมพันธ์ที่ท้าทายบรรทัดฐานสังคม ผลงานจาก Be On Cloud ได้รับเลือกให้ฉายบน WeTV และ Channel 7HD และกลายเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่สร้างกระแสได้อย่างเงียบๆ แต่ทรงพลัง
ซีรีส์พาเราดำดิ่งสู่ชีวิตของ ตริน นักเศรษฐศาสตร์หนุ่มที่เพิ่งกลับจากปารีส ต้องเผชิญหน้ากับอดีตและความขัดแย้งในสังคม ผ่านการสบตากับ ธันวา นักดนตรีวง Moonshine ที่เป็นลูกชายคนโต้แย้งของนักธุรกิจใหญ่! ฟังดูดราม่า แต่เรื่องราวกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สมจริงและถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าประทับใจ เราเคยสงสัยไหมว่า ถ้าสังคมกดดันให้เราต้องเลือกข้าง เราจะยืนหยัดเพื่ออุดมการณ์ของตัวเองได้แค่ไหน? Shine จะพาเราไปสำรวจคำถามนี้ผ่านมุมมองของตัวละครที่ทั้งเปราะบางและเข้มแข็งในเวลาเดียวกัน
ในบทความนี้ เราจะพาเราไปรู้จักกับ Shine อย่างละเอียด ตั้งแต่โครงเรื่องที่ซึ้งกินใจ ไปจนถึงสไตล์การกำกับที่เรียบง่ายแต่สวยงาม และเหตุผลที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในผลงานที่ควรค่าแก่การรับชมในปี 2025 พร้อมแล้ว มาดำดิ่งสู่โลกของซีรีส์เรื่องนี้กันเลย!

รีวิวและเรื่องย่อ Shine (ชาย)
Shine เล่าเรื่องเริ่มต้นด้วยปาร์ตี้หรูหราใน Grand Paradiso เพื่อฉลองการเหยียบดวงจันทร์ในเดือนกรกฎาคม 1969 ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด แต่กลุ่มนักศึกษากำลังเตรียมประท้วง ภายในงาน ธันวาและวง Moonshine กำลังแสดง แต่เขาไม่ใช่ลูกคนรวยทั่วไป เพราะเป็นลูกชายที่ห่างเหินจากนักธุรกิจใหญ่ พะโดม ชาตบดี ระหว่างการแสดง ธันวาสบตากับ ตริน นักเศรษฐศาสตร์หล่อที่เพิ่งกลับจากปารีสหลังจาก 9 ปี
สิ่งที่ทำให้เรื่องราวน่าสนใจคือการถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครที่สมจริง ตรินเป็นคนหลักการแน่น แต่เขาก็มีข้อบกพร่อง เขาได้รับข้อเสนอตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารชาติ แต่ปฏิเสธเพื่อเข้าร่วมสภาวัฒนธรรมเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การประท้วงเริ่มต้นเมื่อวิคเตอร์ พนักงานเสิร์ฟ part-time ส่งสัญญาณ นักศึกษาคัดค้านการใช้เงินฟุ่มเฟือยและโครงการทุนนิยมอย่างโรงไฟฟ้าและเขื่อนบนที่ดินทหารห้วยคำแสง ซีรีส์เรื่องนี้ถามคำถามหนักหน่วง: ถ้าเราเลือกได้ เราจะเปลี่ยนแปลงสังคมหรือยอมตามกระแส?
นารัน นักข่าวแฝงตัวเข้างานและถ่ายรูปพันเอกไกรเลิศและพลเอกประชา การประท้วงลุกลาม พลเอกประชาหนีไป ปล่อยให้ไกรเลิศจัดการ ตรินอยากให้ลุงของเขาเปิดเจรจากับนักศึกษา เพราะเชื่อว่าโครงการนี้ดีสำหรับทุกคน แต่ไกรเลิศเลือกใช้กำลัง นารันถ่ายรูปไว้หมด Flashback แสดงการประท้วงในปารีสที่ตรินพยายามห้ามแฟนสาวแคลร์ไม่ให้เข้าร่วม เธอหวังว่าเขาจะยืนหยัดเพื่อประเทศชาติ แต่ในปัจจุบัน เขาแค่หลบเลี่ยง ซึ่งธันวาสังเกตเห็น
งานภาพใน Shine ไม่ได้เน้นความตระการตาแบบบล็อกบัสเตอร์ แต่เลือกใช้สีสันอบอุ่นและแสงไฟที่สร้างบรรยากาศยุคฮิปปี้ การ grading สีและ light leaks สร้างความรู้สึกเข้าสู่ยุค 60s ที่สดใสแต่แฝงความตึงเครียด เสื้อผ้าและทรงผมของตัวละครสะท้อนความขัดแย้งระหว่างชนชั้นสูงกับฮิปปี้ แสงไฟอุ่นๆ ในโรงแรมหรูตัดกับแสงโคมไฟถนนที่สว่างจางๆ สำหรับคนจน
ผู้กำกับ Pond Krisda Witthayakhajorndet ใช้ความสามารถในการเล่าเรื่องผ่านฉากเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความหมาย ฉากที่ตรินและธันวาเถียงกันเรื่องการเหยียบดวงจันทร์เป็นหนึ่งในโมเมนต์ที่ทั้งสนุกและสะเทือนใจ มันเหมือนกับการได้เห็นภาพวาดที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยอารมณ์ การกำกับทำให้ทุกฉากรู้สึกใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวราวกับเรากำลังดูชีวิตของเพื่อนสนิท ดนตรีจาก Slot Machine และ Mile สร้าง soundscape ที่หลากหลาย ตั้งแต่เพลง synthwave ในปาร์ตี้ฮิปปี้ไปจนถึง background ตึงเครียดสำหรับการเมือง
ดนตรีเป็นไฮไลต์อีกอย่าง ซีรีส์ไม่ได้ทำให้มันเกินจริง แต่ผสมผสานได้อย่างลงตัว เพลง Far Side of the Moon ของ Moonshine กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อตัวตน เปรียบสังคมไทยเหมือนดวงจันทร์ที่มีด้านสว่างสำหรับคนรวยและด้านมืดสำหรับคนจน การ juxtaposition ระหว่างดนตรีฮิปปี้กับการเมืองทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปกับตัวละคร ไม่แน่ใจว่าจะเจออะไรต่อไป
หนึ่งในประเด็นหลักของ Shine คือแนวคิดเรื่อง อุดมการณ์และความรัก ท่ามกลางความขัดแย้ง ตรินถูกชักจูงโดยความรู้สึกผิดและความภักดีที่ผิดทาง จนทำให้เขาต้องสูญเสียอิสระ ซีรีส์ค่อยๆ เผยให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาและครอบครัว คำถามที่ว่า “ยังมีโอกาสให้ยืนหยัดเพื่อสิ่งที่เชื่อหรือไม่?” กลายเป็นหัวใจของเรื่องราว

สิ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ไม่จมลงสู่ความ melodramatic คือการเล่าเรื่องที่สมเหตุสมผลและเป็นธรรมชาติ อารมณ์ที่เรารู้สึกเมื่อดูไม่ใช่การถูกบังคับ แต่เป็นผลลัพธ์จากความผูกพันกับตัวละคร เราจะรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปกับตริน และหวังว่าเขาจะพบแสงสว่างในตอนท้ายของอุโมงค์ การแสดงของ มาย-ภาคภูมิ ในบทธันวาและ อาโป-ณัฐวิญญ์ ในบทตรินเป็นการสลับบทบาทที่สดชื่น มาย หัวเราะและเล่นตลก ขณะที่ อาโป เป็นคนเคร่งเครียดแต่ตลก
Shine ไม่ได้จบแบบคาดเดาได้ง่ายๆ ในตอนแรก มีการหักมุมที่ทำให้เราลุ้นว่าตรินจะได้พบกับธันวาอย่างไร ดอกเบี้ย origami รูปพระจันทร์เสี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าบางหักมุมอาจดูเกือบเกินจริง แต่ซีรีส์ก็ดึงตัวเองกลับมาได้ด้วยการเล่าเรื่องที่สมดุลและการจบตอนที่สมเหตุสมผล การพัฒนาตัวละครของตรินในช่วงท้ายแสดงให้เห็นว่าเขาเรียนรู้ที่จะควบคุมชีวิตของตัวเอง แม้ว่าจะสายไปหรือไม่ก็ตาม ซีรีส์เรื่องนี้ทิ้งคำถามที่ทำให้เราต้องคิดต่อ: เราจะทำอย่างไรถ้าได้โอกาสครั้งที่สอง? มันเหมือนเพื่อนที่คอยกระซิบถามเราว่ารู้จักตัวเองดีแค่ไหน
Shine (2025) ไม่ใช่แค่ซีรีส์ BL ธรรมดา แต่เป็นเรื่องราวที่พูดถึง ความเปราะบางของมนุษย์ ความหวัง และการให้อภัยตัวเอง ผ่านตัวละครอย่างตรินที่ต้องเผชิญหน้ากับความผิดพลาดในอดีต ซีรีส์เรื่องนี้ถ่ายทอดความรู้สึกที่ลึกซึ้งโดยไม่ต้องพึ่งความดราม่าที่เกินจริง สไตล์การกำกับที่ละเอียดอ่อนของ Pond Krisda ทำให้ทุกโมเมนต์ในเรื่องรู้สึกจริงใจและน่าจดจำ
ถ้าเรากำลังมองหาซีรีส์ที่ทั้งสะเทือนใจและให้ความหวัง Shine คือคำตอบ เราอาจจะหัวเราะ แต่ก็อาจจะน้ำตาซึมเมื่อเรื่องจบลง ลองหาเวลาดูซีรีส์เรื่องนี้ แล้วมาคุยกันในคอมเมนต์ว่าเรารู้สึกอย่างไร! แชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่รัก ซีรีส์ไทย BL และอยากสัมผัสเรื่องราวที่ลึกซึ้ง รับรองว่าไม่มีผิดหวัง!
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: ชาย
- ประเภท: ดราม่า, โรแมนติก, การเมือง
- วันที่ออกอากาศ: 2 สิงหาคม 2025
- นักแสดงนำ: มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง, อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์, สน-ยุกต์ ส่งไพศาล, ยูโร-ยศวรรธน์ ทะวาปี
- ผู้กำกับ: Pond Krisda Witthayakhajorndet
- จำนวนตอน/ความยาว: 8 ตอน
- เรตติ้ง MyDramaList: 8.1/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: WeTV