[รีวิว] ค่ำคืนกลืนหาย | Vanished into the Night (2024)

ค่ำคืนกลืนหาย (Vanished into the Night) เป็นหนังระทึกขวัญอิตาลีที่เริ่มต้นด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ ด้วยการผสมผสานระหว่างเรื่องราวที่ตื่นเต้น ความบิดเบี้ยวทางจิตวิทยา และการแข่งขันกับเวลา อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องราวดำเนินไปในช่วงครึ่งหลัง ก็ปรากฏว่าเรื่องราวที่เคยน่าสนใจกลายเป็นเรื่องที่คาดเดาได้และสูญเสียความน่าสนใจไป ในที่สุดก็ลงเอยด้วยความน่าเบื่อหน่าย

เนื้อเรื่อง ค่ำคืนกลืนหาย (Vanished into the Night)

หนังเรื่องนี้แนะนำให้เราได้รู้จักกับ Elena ซึ่งเป็นจิตแพทย์ชาวอเมริกันที่ย้ายมาอยู่ในภูมิภาคปูลีย่า ประเทศอิตาลี ด้วยความรักในตัว Pietro ซึ่งมีอดีตที่ไม่สงบ แผนการที่จะบูรณะฟาร์มมาเซเรียและเปลี่ยนเป็นโรงแรมของพวกเขาก็ถูกทำลายลงเมื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาสิ้นสุดลง หลังจากการแยกทางกัน พวกเขาก็ร่วมกันดูแลบุตรสองคนของตน แต่เรื่องราวก็ได้เปลี่ยนไปในทางที่มืดมนเมื่อเด็กทั้งสองหายตัวไปโดยไม่มีร่องรอย ระหว่างการเยี่ยมฟาร์มมาเซเรียกับ Pietro

เหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องได้ผลักดันเรื่องราวให้ก้าวหน้าต่อไป เมื่อ Pietro และ Elena ได้รับสายโทรศัพท์ที่เรียกร้องค่าไถ่ 150,000 ยูโรภายใน 36 ชั่วโมงเพื่อการกลับมาอย่างปลอดภัยของลูกๆ ของพวกเขา การตั้งต้นเช่นนี้ดูเหมือนจะมีองค์ประกอบของการสร้างความตื่นเต้นระทึกขวัญ แต่การดำเนินเรื่องของหนังกลับทำให้ผู้ชมผิดหวัง

Pietro ซึ่งเป็นตัวละครหลักในเรื่องราวนี้ ถูกนำเสนอในฐานะคนที่มีความบกพร่องอย่างมาก เขาถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นคนโกหกเป็นนิสัย ซึ่งความไร้ความสามารถของเขาได้เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับเรื่องราว อันที่จริงแล้วนี่อาจจะเป็นการศึกษาตัวละครที่น่าสนใจ แต่กลับกลายเป็นการสร้างสถานการณ์ที่น่าหงุดหงิดและไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งทำลายความตึงเครียดที่หนังพยายามสร้างขึ้น Elena ซึ่งรับบทโดย Annabelle Wallis เป็นอีกหนึ่งตัวละครหลัก แม้ว่า Wallis จะเป็นที่รู้จักจากบทบาทในหนังฮอลลีวูดเช่น Annabelle, Malignant และ The Mummy แต่การแสดงของเธอก็ถูกจำกัดโดยการเลือกใช้ภาษาที่แปลกประหลาดของหนัง

จังหวะการเล่าเรื่องเป็นอีกปัญหาสำคัญของหนังเรื่องนี้ สำหรับเรื่องราวที่มุ่งเน้นไปที่ชายคนหนึ่งที่แข่งกับเวลาเพื่อช่วยชีวิตลูกๆ ของเขา แต่กลับดำเนินเรื่องอย่างช้าๆ ฉากสำคัญบางฉากเช่น การรอรับประทานอาหารของ Pietro ก็ไม่ได้เพิ่มอะไรให้กับเรื่องราว แต่กลับทำให้ผู้ชมรู้สึกหงุดหงิด หนังยังขาดความสม่ำเสมอในการสร้างบรรยากาศ มีทั้งช่วงที่ตื่นเต้นระทึกขวัญและช่วงที่น่าเบื่อหน่าย

การพัฒนาตัวละครเป็นอีกหนึ่งปัญหาของหนังเรื่องนี้ ผู้ชมได้รับข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับตัวละครน้อยมาก ซึ่งบังคับให้พวกเขาต้องพยายามเชื่อมโยงเรื่องราวที่กำลังดำเนินไป แม้ว่าวิธีการนี้อาจจะเพิ่มความลึกลับให้กับเรื่องราว แต่กลับทำให้เกิดความห่างเหินระหว่างผู้ชมและตัวละคร ซึ่งส่งผลให้ผู้ชมไม่สามารถเกิดความผูกพันกับตัวละครหลักได้เท่าที่ควร และลดทอนผลกระทบและความน่าจดจำของการเล่าเรื่อง

ในด้านภาพลักษณ์ “ค่ำคืนกลืนหาย” ก็ยังขาดความโดดเด่น แม้ว่าจะมีฉากหลังเป็นภูมิภาคปูลีย่าที่สวยงาม แต่การถ่ายภาพกลับไม่สามารถสะท้อนความงดงามของพื้นที่ได้ การใช้โทนสีมืดและหม่นหมองสร้างบรรยากาศที่ซึมเศร้า ซึ่งถึงแม้จะช่วยเสริมบรรยากาศของเรื่องราว แต่กลับไม่ได้ยกระดับเรื่องราวให้ดีขึ้น โดยรวมแล้วคุณภาพการผลิตดูเหมือนจะเป็นหนังที่มุ่งเน้นไปที่การรับชมผ่านบริการสตรีมมิ่งมากกว่าการสร้างประสบการณ์ชมหนังที่มีคุณภาพสูง

จุดสูงสุดของหนัง ซึ่งโดยปกติแล้วควรจะเป็นช่วงที่น่าตื่นเต้นที่สุด กลับไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของผู้ชมได้ การเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องราวที่คาดเดาไม่ได้ขาดความกระชับ และการสรุปเรื่องดูเหมือนจะรีบเร่งและไม่น่าพอใจ ซึ่งจบลงด้วยความน่าเบื่อหน่ายที่ทำให้ผู้ชมตั้งคำถามถึงความสำคัญของการเดินทางทางหนังที่พวกเขาได้ผ่านมา

สรุป

ค่ำคืนกลืนหาย (Vanished into the Night) ของ Netflix พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นโอกาสที่ถูกพลาดไป แม้ว่าจะมีช่วงเวลาที่แวบเข้ามาของความตื่นเต้นและความระทึกขวัญก็ตาม ซึ่งบ่งชี้ถึงศักยภาพในการเป็นหนังระทึกขวัญที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ถูกจำกัดด้วยจังหวะการดำเนินเรื่องที่ช้า ตัวละครที่ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ และการขาดความสมบูรณ์ในด้านภาพลักษณ์ทางหนัง ซึ่งรวมกันแล้วส่งผลให้เป็นประสบการณ์การรับชมที่น่าผิดหวัง ในฐานะหนังระทึกขวัญ

หนังเรื่องนี้ไม่สามารถรักษาความตึงเครียดและความตื่นเต้นที่จำเป็นได้ ผู้ชมจึงถูกทิ้งให้ต้องการการเดินทางที่น่าตื่นเต้นและน่าติดตามตามที่ได้รับการสัญญาไว้ แต่ในที่สุดก็ถูกทำให้ผิดหวังด้วยการดำเนินเรื่องที่ไม่สมบูรณ์