แฟชั่น

Old Money Style คืออะไร? เทรนด์แฟชั่นผู้ดีเก่าที่มาแรง

  • Old Money Style คือการแต่งตัวแบบผู้ดีเก่าที่เน้นความเรียบหรู คลาสสิก และความมินิมอล โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพของเสื้อผ้ามากกว่าโลโก้แบรนด์หรือความฉูดฉาด
  • จุดเด่นหลัก ได้แก่ การใช้สีโทนเอิร์ทที่เรียบง่าย การเลือกวัสดุคุณภาพสูงเช่นผ้าแคชเมียร์และลินิน การตัดเย็บที่ประณีตและพอดีตัว และการไม่เน้นโลโก้แบรนด์ขนาดใหญ่
  • Capsule Wardrobe และ Quiet Luxury เป็นแนวคิดสำคัญ โดยการมีเสื้อผ้าพื้นฐานคุณภาดีที่สามารถผสมผสานกันได้หลากหลาย และเน้นความหรูหราแบบเงียบ ๆ ที่ไม่ต้องตะโกน
  • ทุกคนสามารถแต่งตัวแบบ Old Money ได้ ไม่จำเป็นต้องมีงบประมาณมหาศาล แค่เลือกเสื้อผ้าที่มีคุณภาพดี ดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพดี และเลือกชิ้นที่เหนือกาลเวลามากกว่าการวิ่งตามเทรนด์ชั่วคราว

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงดูมีระดับและดูดีแบบไม่ต้องพยายามมากเกินไป? นั่นอาจเป็นเพราะพวกเขากำลังแต่งตัวแบบ Old Money Style หรือสไตล์ผู้ดีเก่าที่กำลังกลับมาฮิตอีกครั้งในวงการแฟชั่นโลก การแต่งตัวสไตล์นี้ไม่ได้เน้นความอลังการหรือโลโก้แบรนด์ขนาดใหญ่ แต่เน้นไปที่คุณภาพของเสื้อผ้า การตัดเย็บที่ประณีต และความเรียบหรูที่ดูมีระดับแบบไม่ต้องตะโกน ในบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ แฟชั่นผู้ดีเก่า ที่ไม่เคยตกยุค พร้อมเทคนิคการแต่งตัวที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถมีลุคแบบนี้ได้

Old Money Style เป็นมากกว่าแค่เทรนด์แฟชั่นชั่วคราว มันคือ ไลฟ์สไตล์ และวิธีการแสดงออกถึงความมั่นใจที่มาจากภายใน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวคลาสสิก เสื้อสเวตเตอร์แคชเมียร์นุ่มละมุน หรือกางเกงทรงสุภาพที่ตัดเย็บอย่างดี ทุกชิ้นล้วนสะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียดและความรักในสิ่งที่มีคุณภาพ สไตล์นี้ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมหาศาล แต่ต้องการความเข้าใจในหลักการเลือกเสื้อผ้าที่ใช่ และการจัดแต่งให้ลงตัว

ถ้าพร้อมแล้วมาเริ่มต้นเรียนรู้ศิลปะการแต่งตัวแบบ Old Money ที่จะทำให้ดูมีระดับและดูแพงในทุกสถานการณ์กัน ไม่ว่าจะเป็นวัยไหนหรือสไตล์ไหน ก็สามารถนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ให้เข้ากับตัวเองได้

Old Money Style คืออะไร?

Old Money Style คืออะไร?

Old Money Style หรือ สไตล์ผู้ดีเก่า คือเทรนด์การแต่งกายที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแฟชั่นของชนชั้นสูงในยุโรปและอเมริกา โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 19-20 คำว่า “Old Money” ในภาษาอังกฤษหมายถึงบุคคลที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยมาอย่างยาวนาน แตกต่างจาก “New Money” ที่หมายถึงคนรวยใหม่ที่สร้างความมั่งคั่งได้ด้วยตนเอง สไตล์การแต่งตัวของกลุ่ม Old Money จึงมีลักษณะพิเศษที่สะท้อนถึงความมั่นใจและรสนิยมอันดีงาม

การแต่งตัวแบบ Old Money เริ่มได้รับความนิยมตั้งแต่ยุค 60-70 โดยเน้นการผสมผสานระหว่างสไตล์มินิมอลกับความคลาสสิกแบบวินเทจ จุดเด่นที่สำคัญของสไตล์นี้คือความเรียบหรูที่ไม่เน้นความฉูดฉาด ไม่มีโลโก้แบรนด์ขนาดใหญ่โผล่เด่นชัด และเลือกใช้สีพื้นฐานที่ดูสุภาพเป็นหลัก เช่น สีดำ สีขาว สีเทา สีครีม สีน้ำตาล และสีน้ำเงินกรมท่า การเลือกเสื้อผ้าจะให้ความสำคัญกับวัสดุคุณภาพสูงมากกว่าชื่อแบรนด์หรือราคา

สิ่งที่ทำให้ Old Money Style พิเศษคือการเน้นที่ Quiet Luxury หรือความหรูหราแบบเงียบ ๆ ไม่ต้องการประกาศให้ใครรู้ว่ามีฐานะดี แต่ผู้ที่มีรสนิยมจะสังเกตเห็นได้จากการตัดเย็บที่ประณีต เนื้อผ้าที่มีคุณภาพ และการเลือกใช้ชิ้นส่วนที่เหนือกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นเสื้อโปโลคลาสสิก เสื้อเบลเซอร์ที่พอดีตัว หรือกางเกงชิโนที่ตัดเย็บอย่างดี ทุกชิ้นล้วนสามารถสวมใส่ได้นานหลายปีโดยไม่ตกยุค

ในปัจจุบัน Old Money Aesthetic ได้กลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากบนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความเรียบง่ายแต่มีคุณภาพ สไตล์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มคนรวยเท่านั้น แต่ทุกคนสามารถนำแนวคิดมาปรับใช้ให้เหมาะกับงบประมาณและไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้

จุดเด่นของ Old Money Style ที่ต้องรู้

จุดเด่นของ Old Money Style ที่ต้องรู้

การเลือกสีแบบ Earth Tone

จุดเด่นแรกของ Old Money Style คือการเลือกใช้สีที่เรียบง่ายและดูสุภาพ โดยเน้นไปที่โทนสีธรรมชาติหรือที่เรียกว่า Earth Tone เช่น สีดำ สีขาว สีเทา สีครีม สีน้ำตาลอ่อนและเข้ม สีเบจ และสีน้ำเงินกรมท่า สีเหล่านี้มีข้อดีคือสามารถแมตช์กันได้ง่าย ไม่ว่าจะจับคู่ชิ้นไหนก็ดูลงตัว เหมาะกับทุกโอกาสไม่ว่าจะเป็นงานทางการหรือการออกไปพักผ่อนตามสถานที่ต่าง ๆ

การใช้สีพื้นฐานเหล่านี้ยังช่วยให้การแต่งตัวดู เป็นระเบียบ และมีความสง่างาม ไม่รกตาและไม่ดูพยายามมากเกินไป นอกจากนี้ยังช่วยให้เราสามารถสร้าง Capsule Wardrobe หรือตู้เสื้อผ้าที่มีแต่ชิ้นที่ใช้งานได้จริงและสามารถผสมผสานกันได้หลากหลายรูปแบบ ทำให้ไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่บ่อย ๆ แต่ก็ยังมีลุคที่หลากหลายให้เลือกสวมใส่

นอกจากสีพื้นฐานแล้ว หากต้องการเพิ่มความน่าสนใจเล็กน้อย สามารถเลือกใช้ลายที่ คลาสสิก เช่น ลายทาง ลายสก๊อต หรือลาย Paisley ที่มีดีไซน์สลับซับซ้อน แต่ไม่ฉูดฉาดเกินไป ลายเหล่านี้จะช่วยเพิ่มมิติให้กับชุดโดยไม่ทำให้ดูรกหรือหนักตามากเกินไป

การเน้นคุณภาพของวัสดุ

อีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของ Old Money Style คือการให้ความสำคัญกับวัสดุคุณภาพสูงมากกว่าแบรนด์หรือราคา เสื้อผ้าที่ใช้ในการแต่งตัวสไตล์นี้มักจะทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผ้าลินิน ผ้าแคชเมียร์ ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าขนสัตว์ และ ผ้าลูกฟูก วัสดุเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีความทนทาน แต่ยังให้ความรู้สึกนุ่ม สวมใส่สบาย และระบายอากาศได้ดี

การเลือกเสื้อผ้าที่มีคุณภาพดีจะทำให้สวมใส่ได้นานและไม่เสียรูปทรงง่าย แม้จะซักหลายครั้งก็ยังคงความสวยงามไว้ได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้ที่แต่งตัวแบบ Old Money จึงมักจะมีเสื้อผ้าชิ้นโปรดที่สวมใส่มาหลายปีแล้วแต่ยังดูดีอยู่เสมอ การลงทุนกับเสื้อผ้าคุณภาพสูง แม้จะมีราคาแพงกว่าเล็กน้อยในตอนแรก แต่ในระยะยาวจะคุ้มค่ากว่าการซื้อเสื้อผ้าราคาถูกที่ต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ

นอกจากนี้ เนื้อผ้าคุณภาพดียังช่วยให้เสื้อผ้าดู พรีเมียม และมีน้ำหนักที่เหมาะสม ไม่บางจนเกินไปหรือหนาเกินไป ทำให้รูปทรงของเสื้อผ้าออกมาสวยงามและพอดีตัว สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น อาจเริ่มจากการลงทุนกับ เสื้อเบสิคคุณภาพดี สัก 3-5 ชิ้น แล้วค่อย ๆ เพิ่มเติมชิ้นอื่น ๆ เข้าไปในตู้เสื้อผ้า

การตัดเย็บที่ประณีตและพอดีตัว

Old Money Style ให้ความสำคัญกับการตัดเย็บและรูปทรงของเสื้อผ้าเป็นอย่างมาก เสื้อผ้าที่ดีไม่ใช่แค่มีวัสดุดีเท่านั้น แต่ต้องมีการตัดเย็บที่ประณีต มีรายละเอียดที่ดี และที่สำคัญคือต้อง พอดีตัว ไม่หลวมหรือคับเกินไป การตัดเย็บที่ดีจะช่วยให้เสื้อผ้าเข้ารูปและเน้นจุดเด่นของร่างกายได้อย่างลงตัว

หลายคนที่แต่งตัวสไตล์ Old Money มักจะนำเสื้อผ้าไปให้ช่างตัดปรับแต่งเพื่อให้พอดีตัวมากขึ้น แม้จะเป็นเสื้อผ้าที่ซื้อมาจากร้านทั่วไป เพียงแค่การปรับความยาวของแขนเสื้อ ปรับเอว หรือปรับความยาวของกางเกงให้พอดีตัว ก็สามารถทำให้ชุดธรรมดา ๆ ดูดีขึ้นได้มาก การลงทุนกับค่าตัดแก้เสื้อผ้าอาจจะใช้เงินเพิ่มเติมเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่าอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ เสื้อผ้าที่ตัดเย็บดีจะมีรายละเอียดที่สวยงาม เช่น ตะเข็บที่เรียบร้อย กระดุมที่มีคุณภาพ และการเสริมผ้าภายในที่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้อาจจะดูเล็กน้อย แต่เมื่อรวมกันแล้วจะทำให้เสื้อผ้าดูมีคุณภาพและมีระดับขึ้นมาทันที ผู้ที่มีรสนิยมจะสังเกตเห็นความต่างนี้ได้ทันที

ไม่เน้นโลโก้หรือลวดลายฉูดฉาด

จุดสำคัญที่ทำให้ Old Money Style แตกต่างจาก New Money หรือแฟชั่นทั่วไปคือการไม่เน้นโลโก้แบรนด์ขนาดใหญ่ เสื้อผ้าสไตล์นี้มักจะไม่มีโลโก้โผล่เด่นชัด หรือถ้ามีก็จะเป็นโลโก้เล็ก ๆ ที่ไม่เห็นชัดเจน ความคิดของการแต่งตัวแบบนี้คือ ไม่ต้องการ “ประกาศ” ให้ใครรู้ว่าใส่แบรนด์อะไร แต่ให้คนที่มีรสนิยมสังเกตเห็นคุณภาพของเสื้อผ้าเอง

แทนที่จะเลือกเสื้อยืดที่มีโลโก้แบรนด์ขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าอก Old Money Style จะเลือกเสื้อพื้นสีเรียบ ๆ ที่มีการตัดเย็บดี หรือเสื้อเชิ้ตคลาสสิกที่ดูเรียบหรู แนวคิดนี้ยังรวมไปถึงการไม่เลือกเสื้อผ้าที่มีลวดลายฉูดฉาดหรือสีสันที่โดดเด่นเกินไป แต่เน้นไปที่ความเรียบง่ายและความคลาสสิก

การไม่เน้นโลโก้ไม่ได้หมายความว่าไม่สามารถใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมได้ แต่เป็นการเลือกชิ้นที่ดีไซน์เรียบง่าย และไม่มีสัญลักษณ์แบรนด์โผล่เด่นชัด หลายแบรนด์หรูระดับโลกเช่น Loro Piana, Brunello Cucinelli หรือ The Row ล้วนเป็นตัวอย่างของแบรนด์ที่ผลิตเสื้อผ้า Old Money Style ที่เน้นคุณภาพมากกว่าการโชว์โลโก้

ไอเท็มพื้นฐานสำหรับ Old Money Style

ไอเท็มพื้นฐานสำหรับ Old Money Style

เสื้อเชิ้ตสีขาวคลาสสิก

เสื้อเชิ้ตสีขาวถือเป็นไอเท็มพื้นฐานที่ขาดไม่ได้สำหรับคนที่อยากแต่งตัวแบบ Old Money เสื้อเชิ้ตสีขาวที่มีคุณภาพดี ตัดเย็บประณีต และพอดีตัวสามารถสวมใส่ได้ในหลายโอกาส ไม่ว่าจะเป็นการไปทำงาน การไปงานทางการ หรือแม้แต่การแต่งตัวแบบ Smart Casual ในวันหยุด เพียงแค่จับคู่กับ กางเกงทรงสุภาพ หรือ กระโปรงดินสอ ก็สามารถสร้างลุคที่ดูดีและมีระดับได้ทันที

การเลือกเสื้อเชิ้ตควรเน้นที่เนื้อผ้าคุณภาพดี เช่น ผ้าคอตตอนอียิปต์ (Egyptian Cotton) หรือผ้าลินิน ที่ให้ความรู้สึกนุ่มและระบายอากาศได้ดี นอกจากนี้ ควรเลือกเสื้อที่มีการตัดเย็บประณีต มีกระดุมที่มีคุณภาพ และแขนเสื้อที่พอดีกับแขน ถ้าเสื้อที่ซื้อมายังไม่พอดีตัวพอ ควรนำไปให้ช่างตัดปรับแต่งเพื่อให้ได้รูปทรงที่สมบูรณ์แบบ

เสื้อเชิ้ตสีขาวยังเป็นตัวเลือกที่ใช้งานได้หลากหลาย สามารถแต่งตัวให้ดูเป็นทางการโดยการเสื้อผ้าเข้ากางเกงและใส่เข็มขัด หรือจะแต่งให้ดูลำลองโดยการเลิกกระดุมปกเสื้อและแขนพับขึ้นเล็กน้อย การมีเสื้อเชิ้ตสีขาวคุณภาพดีสัก 2-3 ตัวจะช่วยให้การแต่งตัวง่ายขึ้นและสามารถสร้างลุคที่หลากหลายได้

เสื้อโปโลและเสื้อสเวตเตอร์

เสื้อโปโล เป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่เป็นตัวแทนของ Old Money Style อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเสื้อโปโลจากแบรนด์อย่าง Polo Ralph Lauren ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของสไตล์ผู้ดีเก่า เสื้อโปโลมีความพิเศษตรงที่ดูสุภาพแต่ลำลอง เหมาะสำหรับสวมใส่ในวันหยุดหรือกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การเล่นกอล์ฟ การล่องเรือ หรือการไปปิกนิก

การเลือกเสื้อโปโลควรเลือกสีที่เรียบง่ายเช่น สีขาว สีกรมท่า สีเทา หรือสีเขียวขี้ม้า และควรเลือกเสื้อที่ไม่มีโลโก้ขนาดใหญ่โผล่เด่นชัด นอกจากนี้ เนื้อผ้าของเสื้อโปโลก็มีความสำคัญเช่นกัน ควรเลือกผ้าที่มีน้ำหนักพอดี ไม่บางจนเกินไปและมีความทนทาน เสื้อโปโลคุณภาพดีจะมีปกเสื้อที่ตั้งได้สวยและไม่เหี่ยวยับง่าย

เสื้อสเวตเตอร์ หรือเสื้อถักก็เป็นไอเท็มสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง โดยเฉพาะเสื้อสเวตเตอร์แคชเมียร์ที่ให้ความรู้สึกนุ่มและอบอุ่น เหมาะสำหรับสวมใส่ในช่วงอากาศเย็น การเลือกเสื้อสเวตเตอร์ควรเลือกทรงที่พอดีตัวไม่หลวมหรือคับเกินไป และสามารถใส่เดี่ยว ๆ หรือใส่ทับบนเสื้อเชิ้ตก็ได้ สีที่นิยมคือ สีกรมท่า สีเทา สีน้ำตาล และสีครีม

กางเกงชิโนและกระโปรงทรงสุภาพ

กางเกงชิโน (Chino Pants) เป็นกางเกงทรงสุภาพที่ทำจากผ้าคอตตอนทวิล มีความยืดหยุ่นและสวมใส่สบาย เหมาะสำหรับสวมใส่ได้ทั้งในโอกาสที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ กางเกงชิโนเป็นตัวเลือกที่ดีกว่ากางเกงยีนส์สำหรับคนที่ต้องการดูสุภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องการลุคที่เป็นทางการแต่ไม่เกร็งจนเกินไป

การเลือกกางเกงชิโนควรเลือกสีที่เป็นกลางเช่น สีกากี สีน้ำเงินกรมท่า สีเทา หรือสีขาวครีม และควรเลือกทรงที่พอดีตัวไม่รัดหรือหลวมเกินไป ความยาวของกางเกงควรพอดีที่ข้อเท้าหรือเหนือข้อเท้าเล็กน้อย ไม่ยาวจนลากพื้น การพับขากางเกงขึ้นเล็กน้อยก็เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ดูมีสไตล์มากขึ้น

สำหรับผู้หญิง กระโปรงทรงสุภาพ เช่น กระโปรงดินสอ (Pencil Skirt) กระโปรงทรงเอ (A-line Skirt) หรือกระโปรงพลีท (Pleated Skirt) เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการแต่งตัวแบบ Old Money กระโปรงเหล่านี้มีความยาวที่เหมาะสม มักจะยาวถึงเข่าหรือต่ำกว่าเข่าเล็กน้อย ดูสุภาพและมีความสง่างาม การเลือกกระโปรงควรเน้นที่การตัดเย็บที่ดีและวัสดุคุณภาพสูง เช่น ผ้าวูลหรือผ้าลินิน

เสื้อเบลเซอร์และเสื้อสูท

เสื้อเบลเซอร์ (Blazer) เป็นไอเท็มที่ช่วยยกระดับการแต่งตัวให้ดูมีระดับและเป็นทางการมากขึ้นทันที เสื้อเบลเซอร์ที่ดีควรมีการตัดเย็บที่ประณีต พอดีตัว และทำจากวัสดุคุณภาพสูง เช่น ผ้าวูล เสื้อเบลเซอร์สามารถใส่คู่กับกางเกงชิโน กางเกงทรงสุภาพ หรือแม้แต่กางเกงยีนส์ดำเพื่อสร้างลุค Smart Casual

การเลือกเสื้อเบลเซอร์ควรเลือกสีที่คลาสสิก เช่น สีกรมท่า สีเทาเข้ม สีน้ำตาล หรือสีดำ เสื้อเบลเซอร์เหล่านี้สามารถจับคู่กับเสื้อผ้าหลากหลายชิ้นและเหมาะกับหลายโอกาส การลงทุนกับเสื้อเบลเซอร์คุณภาพดีสักตัวหนึ่งจะคุ้มค่าอย่างมาก เพราะสามารถสวมใส่ได้นานหลายปีและไม่ตกยุค

สำหรับโอกาสที่เป็นทางการมากขึ้น เสื้อสูท (Suit) ที่ตัดเย็บดีและพอดีตัวเป็นสิ่งจำเป็น เสื้อสูทสไตล์ Old Money มักจะมีดีไซน์ที่เรียบง่ายและคลาสสิก ไม่มีรายละเอียดที่ฉูดฉาด การเลือกเสื้อสูทควรให้ความสำคัญกับการตัดเย็บมากกว่าแบรนด์ และถ้าจำเป็นควรนำไปให้ช่างตัดปรับแต่งให้พอดีตัวอย่างสมบูรณ์แบบ

รองเท้าโลฟเฟอร์และรองเท้าคลาสสิก

รองเท้าเป็นส่วนสำคัญของการแต่งตัวแบบ Old Money เพราะรองเท้าที่เลือกใส่สามารถบ่งบอกรสนิยมได้ทันที รองเท้าโลฟเฟอร์ (Loafers) เป็นรองเท้าที่เป็นตัวแทนของสไตล์ผู้ดีเก่าอย่างชัดเจน รองเท้าโลฟเฟอร์ทำจากหนังคุณภาพดี มีดีไซน์เรียบง่าย และสวมใส่สบาย เหมาะสำหรับสวมใส่ได้ทั้งในโอกาสที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ

การเลือกรองเท้าโลฟเฟอร์ควรเลือกสีที่เป็นกลาง เช่น สีน้ำตาล สีดำ หรือสีบอร์โด และควรเลือกรองเท้าที่ทำจากหนังแท้คุณภาพดี รองเท้าโลฟเฟอร์ที่ดีจะมีความทนทานและสามารถสวมใส่ได้นานหลายปี ถ้าดูแลรักษาอย่างดีจะยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

นอกจากรองเท้าโลฟเฟอร์แล้ว รองเท้าหนังผูกเชือก (Oxford Shoes, Derby Shoes) ก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับโอกาสที่เป็นทางการ สำหรับผู้หญิง รองเท้าบัลเล่ต์ (Ballet Flats) รองเท้าส้นเตี้ย (Low Heels) หรือ รองเท้าโลฟเฟอร์ ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับสไตล์ Old Money เช่นกัน การเลือกรองเท้าควรเน้นที่ความสบายและคุณภาพมากกว่าความแปลกใหม่หรือเทรนด์ชั่วคราว

เทคนิคการแต่งตัวให้ได้ลุค Old Money

เทคนิคการแต่งตัวให้ได้ลุค Old Money

เลือกเสื้อผ้าที่พอดีตัว

เทคนิคแรกและสำคัญที่สุดในการแต่งตัวแบบ Old Money คือการเลือกเสื้อผ้าที่พอดีตัว ไม่หลวมหรือคับเกินไป เสื้อผ้าที่พอดีตัวจะช่วยเน้นรูปร่างของร่างกายได้อย่างลงตัวและทำให้ดูมีระดับมากขึ้น แม้จะเป็นเสื้อผ้าราคาไม่แพงมาก แต่ถ้าพอดีตัวและมีการตัดเย็บดี ก็สามารถดูดีได้ไม่แพ้เสื้อผ้าราคาแพง

หลายคนมักจะเลือกเสื้อผ้าที่หลวมเกินไปเพราะคิดว่าจะสบาย แต่ในความเป็นจริงแล้วเสื้อผ้าที่หลวมเกินไปจะทำให้ดูไม่เอาใจใส่ตัวเองและไม่มีรสนิยม ในทางกลับกัน เสื้อผ้าที่คับเกินไปก็จะทำให้ดูไม่สบายและไม่สวยงาม การหาจุดสมดุลระหว่างความสบายและความพอดีตัวเป็นสิ่งสำคัญ

ถ้าซื้อเสื้อผ้ามาแล้วพบว่ายังไม่พอดีตัวพอ อย่าลังเลที่จะนำไปให้ช่างตัดปรับแต่ง การลงทุนกับค่าตัดแก้อาจจะใช้เงินเพิ่มเติมเล็กน้อย แต่จะทำให้เสื้อผ้าธรรมดา ๆ ดูดีขึ้นได้อย่างน่าประหลาดใจ การปรับความยาวของแขนเสื้อ ปรับเอว หรือปรับความยาวของกางเกงเป็นการปรับแต่งพื้นฐานที่ทำได้ง่ายและคุ้มค่ามาก

สร้าง Capsule Wardrobe

Capsule Wardrobe คือแนวคิดของการมีตู้เสื้อผ้าที่มีชิ้นน้อยแต่เลือกสรรมาอย่างดี และสามารถผสมผสานกันได้หลากหลายรูปแบบ การสร้าง Capsule Wardrobe เป็นเทคนิคที่เหมาะสมมากสำหรับ Old Money Style เพราะช่วยให้มีเสื้อผ้าที่ใช้งานได้จริงและสามารถสร้างลุคที่หลากหลายได้โดยไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่บ่อย ๆ

การสร้าง Capsule Wardrobe เริ่มต้นจากการเลือกเสื้อผ้าพื้นฐานสัก 10-20 ชิ้น ที่มีสีและดีไซน์ที่เรียบง่าย เช่น เสื้อเชิ้ตสีขาว 2-3 ตัว เสื้อโปโล 2 ตัว เสื้อสเวตเตอร์ 2-3 ตัว เสื้อเบลเซอร์ 1-2 ตัว กางเกงชิโน 3-4 ตัว และรองเท้า 3-4 คู่ ชิ้นเหล่านี้ควรเป็นสีที่จับคู่กันได้ง่าย เช่น สีดำ สีขาว สีกรมท่า สีเทา และสีน้ำตาล

เมื่อมี Capsule Wardrobe ที่ดีแล้ว การแต่งตัวในแต่ละวันจะง่ายขึ้นมาก เพราะเสื้อผ้าทุกชิ้นสามารถจับคู่กันได้ และไม่ต้องเสียเวลามากในการคิดว่าจะใส่อะไร นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดเงินเพราะไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ตามเทรนด์ทุกฤดูกาล แต่มุ่งเน้นไปที่การลงทุนกับเสื้อผ้าคุณภาพดีที่สามารถสวมใส่ได้นานหลายปี

ใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อย

การแต่งตัวแบบ Old Money ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บางคนอาจมองข้าม แต่รายละเอียดเหล่านี้กลับมีความสำคัญมากในการสร้างลุคที่สมบูรณ์แบบ ตัวอย่างเช่น การเลือกเข็มขัดที่เข้ากับรองเท้า การใช้ถุงเท้าสีเรียบ ๆ ที่เข้ากับกางเกง หรือการเลือกนาฬิกาที่เรียบง่ายแต่มีคุณภาพ

เครื่องประดับ สำหรับ Old Money Style ควรเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่ดูมินิมอล และมีคุณภาพดี เช่น สร้อยคอทองคำเส้นเล็ก ต่างหูไข่มุกเล็ก หรือแหวนเรียบ ๆ ไม่ควรใส่เครื่องประดับที่ฉูดฉาดหรือมีขนาดใหญ่เกินไป การใส่เครื่องประดับน้อยชิ้นแต่มีคุณภาพดีจะดูดีกว่าการใส่เยอะแต่คุณภาพไม่ดี

กระเป๋า ก็เป็นอีกหนึ่งรายละเอียดที่สำคัญ กระเป๋าสำหรับ Old Money Style ควรเป็นกระเป๋าหนังคุณภาพดี มีดีไซน์เรียบง่าย และมีขนาดที่เหมาะสม ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป กระเป๋าที่ดีจะมีความทนทานและสามารถใช้งานได้นานหลายปี กระเป๋าคลาสสิกเช่น กระเป๋าถือ (Tote Bag) กระเป๋าสะพายข้าง (Crossbody Bag) หรือกระเป๋าสตางค์หนังแท้เป็นตัวเลือกที่ดี

รักษาเสื้อผ้าให้อยู่ในสภาพดี

การแต่งตัวแบบ Old Money ไม่ได้หมายความว่าต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ตลอดเวลา แต่เป็นการรักษาเสื้อผ้าที่มีอยู่ให้อยู่ในสภาพดีและสามารถสวมใส่ได้นาน การดูแลเสื้อผ้าอย่างเหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งานและทำให้เสื้อผ้ายังคงดูดีอยู่เสมอ การซักเสื้อผ้าตามคำแนะนำที่ระบุบนป้ายเสื้อผ้า การรีดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และการเก็บเสื้อผ้าอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญ

สำหรับเสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุพิเศษ เช่น ผ้าแคชเมียร์ ผ้าไหม หรือผ้าวูล ควรส่งไปซักแบบ Dry Cleaning เพื่อให้แน่ใจว่าเสื้อผ้าจะไม่เสียหายและคงคุณภาพไว้ได้นาน รองเท้าหนัง ควรได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอด้วยการทาครีมบำรุงและเช็ดทำความสะอาดหลังจากสวมใส่ การใส่ใจดูแลเสื้อผ้าและรองเท้าจะทำให้สิ่งของเหล่านี้มีอายุการใช้งานยาวนานและยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

การซ่อมแซมเสื้อผ้าที่ชำรุดเล็กน้อยแทนที่จะทิ้งไปก็เป็นแนวคิดของ Old Money การปะกระดุมที่หลุด การซ่อมรอยขาดเล็ก ๆ หรือการเปลี่ยนซับในเสื้อเบลเซอร์ที่เสื่อมสภาพ เป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อยืดอายุการใช้งานของเสื้อผ้าที่เรารักและมีคุณภาพดี

บุคคลที่เป็นไอคอนของ Old Money Style

บุคคลที่เป็นไอคอนของ Old Money Style

Jackie Kennedy Onassis

แจ็กกี้ เคนเนดี อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นหนึ่งในไอคอนแฟชั่น Old Money ที่โด่งดังที่สุด ท่านมีสไตล์การแต่งตัวที่เรียบหรูและสง่างาม ด้วยการเลือกใส่ชุดที่ดีไซน์เรียบง่าย มีการตัดเย็บที่ดี และมักจะเป็นสีพื้นหรือลวดลายที่ไม่ฉูดฉาด ไอเท็มเด่นของท่าน เช่น ชุดสูททรงกล่อง (Box Suit) แว่นตากันแดดขนาดใหญ่ และกระเป๋า Hermès Kelly ที่ได้ชื่อตามท่าน

สไตล์ของแจ็กกี้เน้นความเรียบง่ายแต่หรูหรา และมีความเหนือกาลเวลา เสื้อผ้าที่ท่านเลือกใส่มักจะเป็นชิ้นที่สามารถสวมใส่ได้นานหลายปีโดยไม่ตกยุค ท่านเป็นตัวอย่างที่ดีของการแต่งตัวที่ไม่ต้องพยายามมากเกินไปแต่ก็ดูดีและมีระดับ การมีความมั่นใจในตัวเองและรู้จักเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะกับรูปร่างและบุคลิกของตัวเองเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านเป็นไอคอนแฟชั่นตลอดกาล

Grace Kelly

เกรซ เคลลี นักแสดงชาวอเมริกันที่ภายหลังกลายเป็นเจ้าหญิงแห่งโมนาโก เป็นอีกหนึ่งไอคอนของ Old Money Style ท่านมีสไตล์การแต่งตัวที่หรูหราและสง่างามด้วยการเลือกใส่ชุดที่มีการตัดเย็บประณีต มักจะเป็นสีพาสเทลหรือสีพื้นอ่อน ๆ และมีรายละเอียดที่ละเอียดอ่อน ไอเท็มโด่งดังของท่าน เช่น กระเป๋า Hermès Kelly ที่ท่านใช้บ่อยจนกระเป๋าใบนั้นได้ชื่อว่า “Kelly Bag”

เกรซเป็นตัวอย่างของการแต่งตัวที่เรียบร้อยและมีระดับ ในทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นงานทางการหรือการใช้ชีวิตประจำวัน ท่านแสดงให้เห็นว่าการแต่งตัวแบบ Old Money ไม่ได้เป็นเรื่องของความฟุ่มเฟือย แต่เป็นเรื่องของรสนิยมและความใส่ใจในรายละเอียด การมีเสื้อผ้าที่มีคุณภาพดีและเลือกสรรมาอย่างดีเป็นกุญแจสำคัญของสไตล์ของท่าน

Princess Diana

เจ้าหญิงไดอาน่า แห่งราชวงศ์อังกฤษ เป็นไอคอนแฟชั่นที่มีอิทธิพลอย่างมากในยุค 80-90 แม้ว่าท่านจะมีโอกาสสวมใส่ชุดที่หรูหราและอลังการในงานทางการ แต่สไตล์ส่วนตัวของท่านกลับมีความเรียบง่ายและสบาย ๆ มากกว่า ท่านมักจะเลือกใส่เสื้อสเวตเตอร์ oversized กับกางเกงยีนส์ หรือชุดเบลเซอร์คู่กับกระโปรงทรงสุภาพในชีวิตประจำวัน

ไอเท็มโปรดของเจ้าหญิงไดอาน่า เช่น เสื้อสเวตเตอร์แคชเมียร์ เสื้อเบลเซอร์สีเรียบ ๆ และรองเท้าส้นเตี้ย ท่านแสดงให้เห็นว่าการแต่งตัวแบบ Old Money ไม่จำเป็นต้องเป็นทางการหรือเคร่งเครียดตลอดเวลา แต่สามารถปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่ผ่อนคลายได้เช่นกัน สไตล์ของท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น “Sloane Ranger Style” ซึ่งเป็นสไตล์ของชนชั้นสูงในลอนดอนที่เน้นความสบายและเป็นธรรมชาติ

Ralph Lauren

แม้ว่า ราล์ฟ ลอเรน จะเป็นนักออกแบบแฟชั่นมากกว่าจะเป็นบุคคลในชนชั้นสูงโดยกำเนิด แต่แบรนด์ Polo Ralph Lauren ที่ท่านสร้างขึ้นกลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของ Old Money Style อย่างชัดเจน แบรนด์นี้เน้นการออกแบบเสื้อผ้าที่มีสไตล์อเมริกันคลาสสิก ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากไลฟ์สไตล์ของชนชั้นสูงอเมริกัน เช่น การเล่นโปโล การล่องเรือ และการใช้ชีวิตในคฤหาสน์ริมทะเล

เสื้อผ้าจากแบรนด์ Ralph Lauren มักจะมีคุณภาพสูง ดีไซน์เรียบง่ายแต่หรูหรา และสามารถสวมใส่ได้นานหลายปีโดยไม่ตกยุค ไอเท็มเด่นของแบรนด์ เช่น เสื้อโปโลที่มีโลโก้ม้าโปโลเล็ก ๆ เสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสก๊อต และเสื้อสเวตเตอร์แคชเมียร์ ราล์ฟ ลอเรนได้สร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เป็นตัวแทนของ American Old Money และได้รับความนิยมทั่วโลก

ความแตกต่างระหว่าง Old Money และ New Money

ความแตกต่างระหว่าง Old Money และ New Money

ปรัชญาการแต่งตัว

ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่าง Old Money และ New Money อยู่ที่ ปรัชญาการแต่งตัว กลุ่ม Old Money เชื่อในการลงทุนกับเสื้อผ้าคุณภาพสูงที่สามารถสวมใส่ได้นานหลายปี พวกเขาเน้นความเรียบง่ายและความคลาสสิก มากกว่าความแปลกใหม่หรือเทรนด์ชั่วคราว การแต่งตัวของ Old Money มักจะไม่มีโลโก้แบรนด์ขนาดใหญ่ เพราะพวกเขาไม่ต้องการ “ประกาศ” ให้ใครรู้ว่ามีฐานะดี

ในทางตรงกันข้าม กลุ่ม New Money มักจะชอบแสดงความมั่งคั่งผ่านการสวมใส่เสื้อผ้าที่มีโลโก้แบรนด์ชัดเจน สีสันฉูดฉาด และดีไซน์ที่โดดเด่น พวกเขามักจะติดตามเทรนด์แฟชั่นล่าสุดและซื้อเสื้อผ้าใหม่บ่อย ๆ เพื่อให้ทันสมัยอยู่เสมอ การแต่งตัวของ New Money มักจะ “ดังกว่า” และ “โดดเด่นกว่า” แต่อาจจะไม่ยั่งยืนเท่า Old Money

ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่แตกต่างกันเกี่ยวกับความมั่งคั่ง กลุ่ม Old Money มักจะมีความมั่นใจในฐานะของตนเองมากพอที่ไม่ต้องพิสูจน์ให้ใครเห็น ในขณะที่กลุ่ม New Money อาจรู้สึกว่าต้องแสดงออกให้เห็นว่าประสบความสำเร็จ แน่นอนว่าทั้งสองสไตล์ต่างมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง และไม่มีสไตล์ไหนที่ดีกว่ากัน แต่เป็นเรื่องของความชอบส่วนตัวและวิถีชีวิตของแต่ละคน

ทัศนคติต่อแบรนด์

กลุ่ม Old Money มักจะมีทัศนคติที่ไม่ใส่ใจแบรนด์มากนัก สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญคือคุณภาพของเสื้อผ้า การตัดเย็บ และความเหมาะสมกับตัวเอง ไม่ว่าเสื้อผ้าจะมาจากแบรนด์ไหนก็ตาม ถ้ามีคุณภาพดีและเหมาะสมกับพวกเขา พวกเขาก็พร้อมที่จะใส่ บางครั้งพวกเขาอาจจะเลือกเสื้อผ้าจากร้านเล็ก ๆ หรือช่างตัดท้องถิ่นที่มีฝีมือดีมากกว่าแบรนด์ดังระดับโลก

ในทางกลับกัน กลุ่ม New Money มักจะให้ความสำคัญกับชื่อแบรนด์มากกว่า พวกเขามักจะเลือกซื้อเสื้อผ้าจากแบรนด์หรูระดับโลกที่มีชื่อเสียง เช่น Gucci, Louis Vuitton, Balenciaga หรือ Off-White และมักจะชอบสวมใส่เสื้อผ้าที่มีโลโก้แบรนด์ชัดเจนเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าพวกเขาสวมใส่แบรนด์ราคาแพง การมีเสื้อผ้าแบรนด์เนมล่าสุดเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและสถานะทางสังคมสำหรับพวกเขา

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเส้นแบ่งระหว่าง Old Money และ New Money เริ่มมีความคลุมเครือมากขึ้น หลายคนจากกลุ่ม New Money เริ่มเข้าใจและชื่นชอบแนวคิดของ Old Money Style และหันมาเลือกเสื้อผ้าที่เรียบง่ายแต่มีคุณภาพมากขึ้น ในทางกลับกัน คนรุ่นใหม่จากครอบครัว Old Money บางคนก็เริ่มแสดงความเป็นตัวเองผ่านแฟชั่นที่โดดเด่นมากขึ้นเช่นกัน

การใช้ชีวิตและงานอดิเรก

ความแตกต่างระหว่าง Old Money และ New Money ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแต่งตัวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงไลฟ์สไตล์และงานอดิเรกด้วย กลุ่ม Old Money มักจะมีงานอดิเรกที่คลาสสิกและสง่างาม เช่น การเล่นโปโล การล่องเรือ การเล่นกอล์ฟ การขี่ม้า หรือการเข้าร่วมกิจกรรมการกุศล งานอดิเรกเหล่านี้มักจะเป็นกิจกรรมที่สืบทอดกันมาในครอบครัวและมีความเกี่ยวข้องกับสังคมชนชั้นสูง

กลุ่ม New Money มักจะมีงานอดิเรกที่ทันสมัยและเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีมากกว่า เช่น การเล่นเกม การเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ที่กำลังฮิต การเข้าร่วมงานปาร์ตี้ที่มีชื่อเสียง หรือการสะสมของสะสมที่แพงและหายาก การใช้ชีวิตของ New Money มักจะเน้นการแสดงออกถึงความสำเร็จและความสนุกสนานมากกว่าความเป็นส่วนตัวและความสุขที่เงียบสงบ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น Old Money หรือ New Money ทั้งสองกลุ่มต่างก็มีวิถีชีวิตและค่านิยมของตัวเอง และไม่มีวิถีชีวิตไหนที่ดีกว่ากัน สิ่งสำคัญคือการเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ทำให้เรามีความสุขและพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวแบบไหนหรือมีงานอดิเรกแบบไหนก็ตาม

Old Money Style ในยุคปัจจุบัน

การกลับมาของเทรนด์ Quiet Luxury

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทรนด์ Quiet Luxury หรือความหรูหราแบบเงียบ ๆ ได้กลับมาได้รับความนิยมอย่างมากในวงการแฟชั่น โดยเฉพาะหลังจากที่ซีรีส์ดังอย่าง “Succession” ได้แสดงให้เห็นถึงการแต่งตัวของตัวละครที่มาจากครอบครัวเศรษฐี ซึ่งมีสไตล์การแต่งตัวที่เรียบหรูแต่ไม่ฉูดฉาด เน้นคุณภาพของเสื้อผ้ามากกว่าโลโก้แบรนด์ ทำให้คนรุ่นใหม่หลายคนหันมาสนใจ Old Money Style มากขึ้น

การกลับมาของเทรนด์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในค่านิยมของสังคม หลายคนเริ่มเหนื่อยกับการวิ่งตามเทรนด์แฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและการบริโภคแฟชั่นแบบฟาสต์แฟชั่นที่ไม่ยั่งยืน พวกเขาเริ่มมองหาเสื้อผ้าที่มีคุณภาพดีและสามารถสวมใส่ได้นานมากขึ้น แนวคิดของ Slow Fashion หรือแฟชั่นช้าที่เน้นความยั่งยืนและคุณภาพมากกว่าปริมาณได้รับความสนใจมากขึ้น

แบรนด์แฟชั่นหลายแบรนด์เองก็เริ่มปรับตัวตามเทรนด์นี้ โดยออกแบบเสื้อผ้าที่มีดีไซน์เรียบง่ายแต่มีคุณภาพสูง และลดการใช้โลโก้ที่โดดเด่นลง แบรนด์อย่าง Loro Piana, Brunello Cucinelli และ The Row ที่เคยเป็นแบรนด์ที่คนทั่วไปอาจจะไม่รู้จัก กลับกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นในหมู่คนที่ชื่นชอบ Quiet Luxury และ Old Money Style

การปรับใช้ในยุคดิจิทัล

แม้ว่า Old Money Style จะมีรากฐานมาจากอดีต แต่ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน สไตล์นี้ได้ถูกนำมาปรับใช้ใหม่ให้เหมาะกับวิถีชีวิตสมัยใหม่ บนโซเชียลมีเดียอย่าง Instagram, TikTok และ Pinterest มีเนื้อหาเกี่ยวกับ Old Money Style มากมาย โดยผู้สร้างเนื้อหา (Content Creators) หลายคนได้แชร์เทคนิคการแต่งตัว การเลือกซื้อเสื้อผ้า และการสร้าง Capsule Wardrobe แบบ Old Money ทำให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงแนวคิดนี้ได้ง่ายขึ้น

การที่ Old Money Style กลายเป็นเทรนด์บนโซเชียลมีเดียก็มีทั้งด้านดีและด้านที่ต้องระวัง ด้านดีคือทำให้คนทั่วไปได้รู้จักและเข้าถึงแนวคิดของการแต่งตัวที่มีคุณภาพและยั่งยืนมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน การที่สไตล์นี้กลายเป็น “เทรนด์” อาจจะทำให้สูญเสียความหมายเดิมไป เพราะบางคนอาจจะแค่แต่งตัวตามเทรนด์โดยไม่เข้าใจถึงปรัชญาและแนวคิดที่แท้จริงของ Old Money Style

อย่างไรก็ตาม การที่มีคนสนใจในการแต่งตัวแบบ Old Money Style มากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะช่วยส่งเสริมให้คนหันมาใส่ใจกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ และช่วยสนับสนุนแนวคิดของความยั่งยืนในแฟชั่น สิ่งสำคัญคือการนำแนวคิดมาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองและไม่ลืมว่าการแต่งตัวควรเป็นการแสดงออกถึงบุคลิกและความมั่นใจ ไม่ใช่แค่การทำตามเทรนด์

ความเข้าถึงและความหลากหลาย

หนึ่งในข้อดีของการที่ Old Money Style กลายเป็นที่นิยมในปัจจุบันคือทำให้สไตล์นี้มีความเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ในอดีต การแต่งตัวแบบ Old Money อาจจะถูกมองว่าเป็นสิทธิพิเศษของคนที่มีฐานะดีเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน ทุกคนสามารถนำแนวคิดมาปรับใช้ได้ตามงบประมาณและความเหมาะสมของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้าแบรนด์หรูราคาแพง แต่สามารถมองหาเสื้อผ้าคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น

มีหลายแบรนด์ที่เสนอเสื้อผ้าสไตล์ Old Money ในราคาที่ย่อมเยาว์กว่า เช่น Uniqlo, COS, Massimo Dutti หรือแม้แต่ Zara และ H&M ที่มีไลน์เสื้อผ้าคุณภาพดีขึ้น นอกจากนี้ การซื้อเสื้อผ้ามือสอง (Second-hand) หรือ วินเทจ (Vintage) ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการเสื้อผ้าคุณภาพดีในราคาที่ถูกกว่า และยังเป็นการช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมแฟชั่นอีกด้วย

การที่ Old Money Style กลายเป็นที่นิยมในหมู่คนหลากหลายกลุ่มยังช่วยให้เกิดการตีความใหม่ที่น่าสนใจ ผู้คนจากวัฒนธรรมและภูมิหลังที่แตกต่างกันได้นำแนวคิดของ Old Money มาผสมผสานกับสไตล์ท้องถิ่นและความชอบส่วนตัวของตัวเอง ทำให้เกิด Old Money Style ที่มีเอกลักษณ์และหลากหลายมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าแฟชั่นนั้นไม่มีกฎตายตัวและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามบริบทและยุคสมัย

เคล็ดลับการช็อปปิ้งแบบ Old Money

ลงทุนกับชิ้นพื้นฐาน

เคล็ดลับแรกในการช็อปปิ้งแบบ Old Money คือการลงทุนกับชิ้นพื้นฐาน (Basics) ที่มีคุณภาพดี แทนที่จะซื้อเสื้อผ้าหลายชิ้นที่มีคุณภาพปานกลาง ควรเลือกซื้อเสื้อผ้าน้อยชิ้นแต่มีคุณภาพสูงที่สามารถสวมใส่ได้นานและใช้งานได้หลากหลาย ชิ้นพื้นฐานที่ควรลงทุน เช่น เสื้อเชิ้ตสีขาวคุณภาพดี เสื้อเบลเซอร์ที่ตัดเย็บประณีต กางเกงชิโนสีเรียบ ๆ และ รองเท้าหนังคุณภาพดี

การลงทุนกับชิ้นพื้นฐานเหล่านี้จะคุ้มค่าในระยะยาว เพราะเสื้อผ้าคุณภาพดีจะมีความทนทานและสามารถสวมใส่ได้นานกว่า นอกจากนี้ ชิ้นพื้นฐานที่มีดีไซน์เรียบง่ายและคลาสสิกจะไม่ตกยุคและสามารถจับคู่กับเสื้อผ้าชิ้นอื่น ๆ ได้หลากหลาย ทำให้สามารถสร้างลุคที่แตกต่างกันได้มากมายโดยไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่บ่อย ๆ

เมื่อเลือกซื้อชิ้นพื้นฐาน ควรเลือกสีที่เป็นกลางและจับคู่กันได้ง่าย เช่น สีดำ สีขาว สีกรมท่า สีเทา และสีน้ำตาล หลีกเลี่ยงสีที่ฉูดฉาดหรือลวดลายที่โดดเด่นเกินไป เพราะอาจจะทำให้ชิ้นนั้นใช้งานได้ยากกว่าและอาจจะตกยุคเร็วกว่า การมีชิ้นพื้นฐานที่ดีจะเป็นรากฐานที่แข็งแรงสำหรับตู้เสื้อผ้าของเราและช่วยให้การแต่งตัวในแต่ละวันง่ายขึ้น

ให้ความสำคัญกับวัสดุและการตัดเย็บ

เมื่อเลือกซื้อเสื้อผ้า อย่าลืมตรวจสอบวัสดุและการตัดเย็บอย่างละเอียด เสื้อผ้าที่มีคุณภาพดีมักจะทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ผ้าไหม ผ้าวูล หรือผ้าแคชเมียร์ ควรอ่านป้ายส่วนประกอบของเสื้อผ้าเพื่อดูว่าทำจากวัสดุอะไร และควรเลือกเสื้อผ้าที่มีเปอร์เซ็นต์ของวัสดุธรรมชาติสูง หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่ทำจากโพลีเอสเตอร์ล้วน ๆ เพราะอาจจะไม่ระบายอากาศได้ดีและไม่ทนทาน

การตรวจสอบการตัดเย็บก็สำคัญเช่นกัน ดูที่ตะเข็บ (Seams) ว่าเรียบร้อยและแข็งแรงหรือไม่ ตรวจสอบกระดุม (Buttons) ว่ามีคุณภาพดีและติดแน่นหรือไม่ และดูที่ซับใน (Lining) ของเสื้อเบลเซอร์หรือเสื้อสูทว่ามีคุณภาพดีหรือไม่ เสื้อผ้าที่มีการตัดเย็บดีจะมีรายละเอียดที่ประณีตและดูมีคุณภาพมากกว่า

อย่าลังเลที่จะทดลองสวมใส่ เสื้อผ้าก่อนซื้อ ตรวจสอบว่าเสื้อผ้าพอดีตัวหรือไม่ สบายหรือไม่ และรู้สึกดีกับตัวเองเมื่อสวมใส่หรือไม่ ถ้าเสื้อผ้ายังไม่พอดีตัวพอแต่ชอบมาก ๆ สามารถซื้อไปแล้วนำไปให้ช่างตัดปรับแต่งภายหลังได้ การลงทุนเวลาในการเลือกซื้อเสื้อผ้าอย่างรอบคอบจะช่วยให้ได้เสื้อผ้าที่มีคุณภาพและเหมาะกับตัวเองมากกว่า

ช็อปปิ้งจากร้านมือสองและวินเทจ

การซื้อเสื้อผ้ามือสองหรือวินเทจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากแต่งตัวแบบ Old Money แต่มีงบประมาณจำกัด ร้านมือสองและร้านวินเทจมักจะมีเสื้อผ้าคุณภาพดีจากแบรนด์หรูในราคาที่ถูกกว่ามาก นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมแฟชั่นอีกด้วย การซื้อเสื้อผ้ามือสองเป็นการให้โอกาสเสื้อผ้าที่ยังอยู่ในสภาพดีได้มีเจ้าของใหม่และใช้งานต่อไป

เมื่อช็อปปิ้งที่ร้านมือสองหรือร้านวินเทจ ควรตรวจสอบสภาพของเสื้อผ้าอย่างละเอียด ดูว่ามีรอยเปื้อน รูพรุน หรือความเสียหายอื่น ๆ หรือไม่ ตรวจสอบกระดุมและซิปว่ายังใช้งานได้ดีหรือไม่ และทดลองสวมใส่เพื่อดูว่าพอดีตัวหรือไม่ ถ้าเสื้อผ้ามีความเสียหายเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในสภาพที่ดีโดยรวม สามารถนำไปซ่อมแซมหรือปรับแต่งได้

ร้านมือสองออนไลน์อย่าง Vestiaire Collective, The RealReal หรือในไทยก็มีร้านมือสองหลายร้าน ที่มีเสื้อผ้าคุณภาพดีให้เลือกมากมาย การช็อปปิ้งออนไลน์อาจจะต้องระวังเรื่องขนาดและสภาพของเสื้อผ้ามากกว่า แต่ถ้าเลือกร้านที่มีชื่อเสียงและมีนโยบายการคืนสินค้าที่ดี ก็สามารถช็อปปิ้งได้อย่างมั่นใจ การซื้อเสื้อผ้ามือสองไม่ได้แปลว่าซื้อของเก่าหรือไม่ดี แต่เป็นการเลือกซื้อเสื้อผ้าอย่างชาญฉลาดและยั่งยืน

อย่าตามเทรนด์มากเกินไป

เคล็ดลับสำคัญอีกข้อหนึ่งของการช็อปปิ้งแบบ Old Money คืออย่าตามเทรนด์มากเกินไป แม้ว่าการติดตามเทรนด์แฟชั่นล่าสุดอาจจะสนุกและน่าตื่นเต้น แต่การซื้อเสื้อผ้าตามเทรนด์ทุกฤดูกาลจะทำให้เสียเงินมากและมีเสื้อผ้าที่ไม่สามารถสวมใส่ได้นานในตู้เสื้อผ้า เทรนด์แฟชั่นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเสื้อผ้าที่ฮิตในฤดูกาลหนึ่งอาจจะล้าสมัยในฤดูกาลถัดไป

แทนที่จะตามเทรนด์ ควรเลือกเสื้อผ้าที่มีดีไซน์คลาสสิกและเหนือกาลเวลา ที่สามารถสวมใส่ได้นานหลายปีโดยไม่ตกยุค เสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อเบลเซอร์สีกรมท่า กางเกงชิโนสีกากี รองเท้าโลฟเฟอร์หนังสีน้ำตาล เป็นตัวอย่างของเสื้อผ้าที่เป็นคลาสสิกและไม่ตกยุค เสื้อผ้าเหล่านี้อาจจะดูธรรมดาในตอนแรก แต่เมื่อจับคู่และสวมใส่อย่างถูกต้อง จะทำให้ดูดีและมีระดับ

การไม่ตามเทรนด์มากเกินไปไม่ได้หมายความว่าไม่สามารถมีเสื้อผ้าที่ทันสมัยเลย แต่เป็นการเลือกอย่างรอบคอบว่าเทรนด์ไหนเหมาะกับตัวเองและสามารถบูรณาการเข้ากับตู้เสื้อผ้าที่มีอยู่ได้ ถ้ามีเทรนด์ที่ชอบและคิดว่าเหมาะกับสไตล์ของตัวเอง ก็สามารถลองได้ แต่ควรเลือกซื้อในราคาที่ไม่แพงมากหรือเลือกชิ้นที่สามารถนำมาใช้ในหลายวิธี

ทิ้งท้าย

Old Money Style เป็นมากกว่าแค่แฟชั่นหรือการแต่งตัว มันคือไลฟ์สไตล์และทัศนคติที่เน้นความเรียบง่าย คุณภาพ และความยั่งยืน การแต่งตัวแบบ Old Money ไม่ต้องการความอลังการหรือโลโก้แบรนด์ขนาดใหญ่ แต่เน้นไปที่วัสดุคุณภาพสูง การตัดเย็บที่ประณีต และการเลือกสีที่เรียบหรูและจับคู่กันได้ง่าย สไตล์นี้ไม่เคยตกยุคและสามารถปรับใช้ได้กับทุกคนในทุกยุคสมัย

การนำ Old Money Style มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันไม่จำเป็นต้องมีงบประมาณมหาศาลหรือมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยมาหลายชั่วอายุคน ทุกคนสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการเลือกเสื้อผ้าที่มีคุณภาพมากกว่าปริมาณ การลงทุนกับชิ้นพื้นฐานที่ดี และการดูแลรักษาเสื้อผ้าให้อยู่ในสภาพดี การสร้าง Capsule Wardrobe ที่มีแต่เสื้อผ้าที่ใช้งานได้จริงและสามารถผสมผสานกันได้หลากหลายจะช่วยให้การแต่งตัวง่ายขึ้นและประหยัดทั้งเวลาและเงิน

ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและแฟชั่นกลายเป็นสินค้าที่ใช้แล้วทิ้ง การหันกลับมาใส่ใจกับคุณภาพและความยั่งยืนเป็นสิ่งที่มีคุณค่า Old Money Style ช่วยเตือนให้เรารู้ว่าความงามและสไตล์ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ราคาหรือชื่อแบรนด์ แต่อยู่ที่รสนิยม ความมั่นใจ และการเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง ไม่ว่าจะเลือกแต่งตัวแบบไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้สึกดีและมั่นใจในตัวเอง

ลองนำแนวคิดของ Old Money Style มาปรับใช้ในการแต่งตัวของตัวเอง เริ่มต้นจากการเลือกซื้อเสื้อผ้าชิ้นพื้นฐานที่มีคุณภาพดีสักไม่กี่ชิ้น สังเกตรายละเอียดของเสื้อผ้าก่อนซื้อ และเลือกสิ่งที่สามารถสวมใส่ได้นานและไม่ตกยุค เมื่อเวลาผ่านไป จะพบว่าตู้เสื้อผ้าที่มีแต่ชิ้นที่มีคุณภาพและเลือกสรรมาอย่างดีจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นและมีสไตล์ที่เป็นของตัวเอง Old Money Style ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กับคนบางกลุ่ม แต่เป็นแนวคิดที่ทุกคนสามารถนำมาปรับใช้และเพลิดเพลินได้

NaniTalk S.

เป็นนักเขียนที่ขยันขันแข็งและมุ่งมั่นที่จะผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ เรียนรู้และเติบโตอยู่เสมอ เชื่อว่าเนื้อหาที่ดีสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button