
- แพงเวอร์เกินจริง (Overpriced) คือการตั้งราคาสินค้าหรือบริการสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งอาจเกิดจากกลยุทธ์ทางการตลาด การสร้างภาพลักษณ์ความหรูหรา หรือการใช้จิตวิทยาผู้บริโภค
- จิตวิทยาการตั้งราคา เป็นเทคนิคที่แบรนด์ใช้เพื่อหลอกล่อให้ผู้บริโภครู้สึกว่าสินค้าคุ้มค่ามากกว่าความเป็นจริง เช่น การใช้ราคาที่ลงท้าย .99 การสร้างจุดยึดราคา และการใช้สีและการจัดวางเพื่อกระตุ้นอารมณ์
- สินค้าที่แพงเกินจริงมากที่สุด ได้แก่ ป๊อปคอร์นในโรงหนัง ยาตามใบสั่งแพทย์ เครื่องสำอาง หนังสือเรียน ที่นอน เพชร และอาหารในสนามบิน ซึ่งล้วนมีอัตรากำไรสูงมากเกินสมควร
- การเป็นผู้บริโภคที่ฉลาด ต้องเปรียบเทียบราคา พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างราคาและคุณค่า และเข้าใจกลเม็ดทางการตลาดเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการตั้งราคาที่แพงเกินจริง
เคยไหมที่เราเดินเข้าร้านแล้วเจอสินค้าที่ราคาสูงจนแทบอึ้ง แล้วก็นึกในใจว่า “นี่มันแพงเวอร์เกินจริงไปแล้วมั้ย?” ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญนะ เพราะในโลกของการตลาดและการตั้งราคาสินค้า มีเรื่องราวที่ซับซ้อนและน่าสนใจมากกว่าที่เราคิด การที่สินค้าหรือบริการบางอย่างมีราคาสูงกว่าคุณค่าที่แท้จริง หรือที่เราเรียกกันว่า “แพงเวอร์เกินจริง” นั้น มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยทั้งทางด้านเศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แบรนด์ใช้เพื่อสร้างมูลค่าให้กับสินค้า
บทความนี้จะพาเราไปเจาะลึกถึงความหมายของคำว่า “แพงเวอร์เกินจริง” ว่าคืออะไรกันแน่ ทำไมสินค้าบางอย่างถึงมีราคาสูงเกินความเป็นจริง และที่สำคัญคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่กำลังจะซื้อนั้นคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย หรือเป็นแค่กลเม็ดทางการตลาดที่ต้องการล่อลวงให้เราจ่ายเงินมากกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้เรายังจะมาดูตัวอย่างสินค้าและบริการที่ถูกมองว่าแพงเกินจริงที่สุดในตลาด พร้อมทั้งเทคนิคในการสังเกตและตัดสินใจซื้อสินค้าอย่างชาญฉลาด
แพงเวอร์เกินจริง (Overpriced) หมายความว่าอย่างไร
การตั้งราคาที่สูงเกินจริง หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “แพงเวอร์” นั้น หมายถึงการกำหนดราคาของสินค้าหรือบริการให้สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงหรือสูงกว่าที่ผู้บริโภคคิดว่าควรจะเป็น นี่ไม่ใช่แค่การตั้งราคาสูงธรรมดา แต่เป็นการตั้งราคาที่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคุณค่าที่ได้รับจริงกับจำนวนเงินที่ต้องจ่าย ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าไม่คุ้มค่า หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ
ในทางเศรษฐศาสตร์ สินค้าที่แพงเกินจริง คือสินค้าที่มีราคาสูงกว่าจุดสมดุลของตลาดที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนการผลิต คุณภาพของสินค้า และราคาของคู่แข่งในตลาด สินค้าประเภทนี้มักทำให้ผู้บริโภคใช้เวลานานขึ้นในการตัดสินใจซื้อ และอาจเลือกที่จะหันไปหาทางเลือกอื่นแทน ส่งผลให้ยอดขายลดลงและแบรนด์เสียเปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่ง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือ การตั้งราคาสูงเกินจริง ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครซื้อเสมอไป เพราะในบางกรณี แบรนด์สามารถใช้กลยุทธ์นี้ได้สำเร็จ โดยอาศัยปัจจัยอื่นๆ เช่น ภาพลักษณ์ของแบรนด์ การสร้างความรู้สึกว่าเป็นสินค้าหรูหรา หรือการใช้จิตวิทยาผู้บริโภคเข้ามาช่วย ซึ่งเราจะมาดูรายละเอียดในหัวข้อถัดไป

ทำไมสินค้าถึงแพงเวอร์เกินจริง? เหตุผลเบื้องหลังการตั้งราคาสูง
การที่สินค้าหรือบริการมีราคาสูงเกินควรนั้นมีสาเหตุหลากหลาย ซึ่งแบรนด์และผู้ประกอบการใช้เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ เหตุผลแรกคือ การสร้างภาพลักษณ์ของความหรูหราและเอกสิทธิ์เฉพาะ ซึ่งเป็นเทคนิคที่เรียกว่า Prestige Pricing แบรนด์ต่างๆ ตั้งราคาสูงเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกว่าสินค้านั้นมีคุณภาพดี เป็นของคนมีระดับ และเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพิเศษที่มีกำลังซื้อสูง การตั้งราคาสูงทำให้เกิดการรับรู้ว่าสินค้ามีคุณค่ามาก ซึ่งตรงกันข้ามกับสินค้าราคาถูกที่อาจถูกมองว่ามีคุณภาพต่ำ
เหตุผลที่สองคือ การเพิ่มอัตรากำไร โดยเฉพาะในตลาดที่มีผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ที่ไม่ค่อยไวต่อราคา (Price Insensitive) แบรนด์บางแห่งเลือกที่จะขายได้น้อยชิ้นแต่มีกำไรต่อชิ้นสูง มากกว่าการขายปริมาณมากแต่กำไรต่ำ กลยุทธ์นี้ใช้ได้ผลดีกับสินค้าที่มีจุดขายพิเศษ เช่น สินค้าที่มีสิทธิบัตร เทคโนโลยีใหม่ หรือสินค้าที่มีความเป็นเอกลักษณ์ที่คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้
นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์ Market Skimming ที่ใช้กับสินค้าใหม่ในตลาด โดยการตั้งราคาสูงในช่วงแรกเพื่อดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่อยากได้สินค้าใหม่ก่อนใคร (Early Adopters) จากนั้นจึงค่อยๆ ปรับลดราคาลงมาเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่กว้างขึ้น กลยุทธ์นี้ใช้กันมากในวงการเทคโนโลยีและแฟชั่น ที่ผู้คนยอมจ่ายเงินมากเพื่อได้เป็นคนแรกๆ ที่ใช้สินค้านั้น ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าการแพงเกินจริงไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนทางการตลาดที่วางไว้อย่างรอบคอบ
จิตวิทยาการตั้งราคา อาวุธลับที่ทำให้เราซื้อของแพง
จิตวิทยาการตั้งราคา (Psychological Pricing) เป็นศาสตร์ที่แบรนด์ใช้เพื่อโน้มน้าวให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าที่มีราคาสูง โดยไม่รู้สึกว่าแพงเกินไป เทคนิคแรกที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือ Charm Pricing หรือการตั้งราคาที่ลงท้ายด้วย .99 หรือ .95 เช่น 199 บาทแทนที่จะเป็น 200 บาท เพราะสมองของเรามักจะมองเห็นตัวเลขหลักแรกเป็นหลัก ทำให้รู้สึกว่าถูกกว่าแม้จะต่างกันแค่บาทเดียว
เทคนิคที่สองคือ Price Anchoring หรือการสร้างจุดยึดราคา โดยการวางสินค้าที่มีราคาสูงมากไว้ข้างๆ สินค้าที่ต้องการขาย เพื่อให้ราคาของสินค้าหลักดูถูกลงเมื่อเทียบกับตัวเลือกที่แพงกว่า ตัวอย่างเช่น ร้านอาหารอาจวางเมนูสเต็กที่ราคา 5,000 บาทไว้ในเมนู เพื่อให้เมนูสเต็กที่ราคา 2,500 บาทดูสมเหตุสมผลและคุ้มค่ากว่า แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วราคา 2,500 บาทอาจจะยังแพงอยู่ก็ตาม
เทคนิคที่สาม คือ การใช้สีและการจัดวางเพื่อสร้างอารมณ์ สีแดงมักถูกใช้เพื่อกระตุ้นความรู้สึกเร่งด่วนและการตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่น ในขณะที่การจัดวางราคาบนพื้นหลังสีขาวทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าสินค้ามีคุณค่าสูงและมีแนวโน้มที่จะซื้อมากขึ้น นอกจากนี้ การใช้ตัวอักษรขนาดเล็กในการแสดงราคา และการลบเครื่องหมายสกุลเงินออกจากป้ายราคา ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ทำให้สมองของเรารับรู้ถึงราคาน้อยลง กลยุทธ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ออกแบบมาเพื่อหลอกระบบการรับรู้ของสมองเรา ทำให้เรายอมจ่ายเงินมากกว่าที่ควรจะเป็นโดยไม่รู้ตัว
ตัวอย่างสินค้าและบริการที่แพงเวอร์เกินจริงที่สุด
ในโลกความเป็นจริง มีสินค้าและบริการหลายอย่างที่ผู้บริโภคมองว่าแพงเกินจริงอย่างเห็นได้ชัด อันดับต้นๆ ที่หลายคนยอมรับว่าแพงสุดๆ คือ ป๊อปคอร์นในโรงหนัง ซึ่งมีการคิดราคาสูงถึง 1,000% จากต้นทุนจริง ถัดมาคือของว่างและเครื่องดื่มจากมินิบาร์ในโรงแรม ที่มีอัตรากำไรสูงมากเพราะอาศัยความสะดวกสบายของลูกค้าที่ไม่อยากออกจากห้อง
ยาต้านโรคตามใบสั่งแพทย์ (Prescription Drugs) ก็เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าแพงเกินควรอย่างมาก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่มีการคิดราคาสูงกว่าต้นทุนตั้งแต่ 200% ถึง 3,000% สาเหตุมาจากระบบการดูแลสุขภาพที่ซับซ้อน การคุ้มครองสิทธิบัตร และการขาดการควบคุมราคาจากรัฐบาล เครื่องสำอาง (Cosmetics) ก็เป็นอีกหมวดที่มีอัตรากำไรสูงถึง 78% โดยแบรนด์ชื่อดังใช้กลยุทธ์การสร้างภาพลักษณ์ความหรูหราและการโฆษณาอย่างหนักเพื่อให้ผู้บริโภคยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่าคุณค่าจริง
นอกจากนี้ หนังสือเรียนในมหาวิทยาลัย มีอัตรากำไรประมาณ 40%, ที่นอน มีอัตรากำไรถึง 50%, เพชร มีอัตรากำไรตั้งแต่ 50-200%, บริการอินเทอร์เน็ตและเคเบิลทีวี, สมาร์ทโฟน, อาหารและเครื่องดื่มในสนามบิน ที่มีราคาสูงกว่าปกติ 200-300%, และ Extended Warranties หรือประกันเพิ่มเติมที่มักจะไม่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายออกไป ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างของสินค้าที่ผู้บริโภคต้องระวังและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อ
วิธีสังเกตและระบุสินค้าที่แพงเกินจริง
การรู้จักสังเกตสินค้าที่แพงเกินจริง เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เราไม่ต้องเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ ขั้นแรกคือการ เปรียบเทียบราคา กับคู่แข่งหรือสินค้าทดแทนในตลาด หากสินค้าหนึ่งมีราคาสูงกว่าสินค้าที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันมาก แสดงว่าอาจจะแพงเกินไป เราควรใช้เวลาค้นหาข้อมูลออนไลน์ อ่านรีวิวจากผู้ใช้จริง และเปรียบเทียบราคาจากหลายแหล่งก่อนตัดสินใจซื้อ
ขั้นที่สองคือการ พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างราคาและคุณค่า (Price-Value Relationship) โดยถามตัวเองว่า สิ่งที่จะได้รับจากสินค้านั้นคุ้มค่ากับเงินที่จะจ่ายหรือไม่ หากราคาสูงเกินไปเมื่อเทียบกับประโยชน์ใช้สอยที่ได้รับ หรือคุณภาพที่แท้จริงของสินค้า นั่นก็แสดงว่าสินค้าดังกล่าวอาจจะแพงเกินควร ตัวอย่างเช่น หากเสื้อผ้าแบรนด์หนึ่งขายในราคา 10,000 บาท แต่มีคุณภาพเท่ากับเสื้อที่ราคา 1,000 บาท ความแตกต่างส่วนที่เหลือก็คือการจ่ายเงินเพื่อแบรนด์เท่านั้น
ขั้นที่สามคือการ ระวังกลยุทธ์ทางการตลาดและจิตวิทยา ที่แบรนด์ใช้เพื่อหลอกล่อให้เรารู้สึกว่าสินค้าคุ้มค่ามากกว่าความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น การใช้ราคาที่ลงท้ายด้วย .99 การวางสินค้าแพงมากไว้ข้างๆ เพื่อให้สินค้าอื่นดูถูกลง หรือการใช้คำว่า “Limited Edition” เพื่อสร้างความรู้สึกเร่งด่วน เมื่อเราเข้าใจกลเม็ดเหล่านี้ เราก็จะสามารถตัดสินใจซื้อได้อย่างมีสติและไม่หลงกับเทคนิคการขายที่พยายามทำให้เราซื้อสินค้าที่แพงเกินจริง
พฤติกรรมผู้บริโภคกับการตัดสินใจซื้อสินค้าที่มีราคาสูง
พฤติกรรมผู้บริโภค มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการกำหนดราคาของสินค้าในตลาด ผู้บริโภคแต่ละกลุ่มมีความไวต่อราคา (Price Sensitivity) ที่แตกต่างกัน โดยบางกลุ่มยินดีจ่ายเงินมากกว่าเพื่อสินค้าที่มีคุณภาพสูงหรือมีแบรนด์ที่พวกเขาไว้วางใจ ในทางตรงกันข้าม กลุ่มผู้บริโภคที่มีงบจำกัดหรือให้ความสำคัญกับราคามากกว่าคุณภาพ จะมองหาทางเลือกที่ถูกกว่าหรือสินค้าทดแทนที่มีราคาต่ำกว่า
ปัจจัยทางจิตวิทยา เช่น การรับรู้คุณค่า (Perceived Value) ก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมาก หากผู้บริโภครับรู้ว่าสินค้าหนึ่งมีคุณค่าสูง ไม่ว่าจะเพราะคุณภาพ ความทนทาน การออกแบบที่สวยงาม หรือเพราะเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียง พวกเขาก็พร้อมที่จะจ่ายเงินในราคาสูงกว่าต้นทุนจริงของสินค้านั้นๆ นอกจากนี้ รายได้ของผู้บริโภคก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ผู้บริโภคมักจะหันไปซื้อสินค้าที่มีราคาแพงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาโดยรวมของสินค้าในตลาดปรับสูงขึ้นตามไปด้วย
การ เปรียบเทียบราคาแบบสัมพัทธ์ (Relative Price Comparison) ก็เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจ สมองของเราไม่ได้ประเมินราคาจากตัวเลขที่เห็นเพียงอย่างเดียว แต่จะเปรียบเทียบกับราคาที่เคยเห็นมาก่อน ราคาของคู่แข่ง หรือราคาที่คาดหวังไว้ในใจ ถ้าราคาปัจจุบันต่ำกว่าที่คาดหวัง เราจะรู้สึกว่าได้ดีล และตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าสูงกว่าที่คาดหวัง เราจะรู้สึกลังเลและอาจเลือกที่จะไม่ซื้อ นี่คือเหตุผลที่แบรนด์ต่างๆ จึงใช้กลยุทธ์การตั้งราคาและการส่งเสริมการขายอย่างชาญฉลาดเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกว่าได้รับคุณค่าที่คุ้มค่า แม้ว่าในความเป็นจริงราคานั้นอาจจะยังแพงเกินไปก็ตาม
เมื่อไหร่ที่การตั้งราคาสูงกลับกลายเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผล
แม้ว่าการตั้งราคาแพงเกินจริงจะดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับธุรกิจ แต่ในบางสถานการณ์ การตั้งราคาสูง กลับเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จได้ สถานการณ์แรกคือเมื่อแบรนด์มีชื่อเสียงและมีภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง แบรนด์ระดับหรูอย่าง Louis Vuitton, Rolex หรือ Apple สามารถตั้งราคาสินค้าสูงมากได้ เพราะผู้บริโภคมองว่าแบรนด์เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความมีระดับ คุณภาพสูง และความพิเศษ สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเหล่านี้ ราคาที่สูงกลับเป็นตัวบ่งบอกถึงคุณค่า ยิ่งแพงยิ่งดี
สถานการณ์ที่สองคือเมื่อ สินค้ามีความเป็นเอกลักษณ์หรือมีสิทธิบัตรคุ้มครอง หากสินค้าหนึ่งมีคุณสมบัติที่ไม่มีใครเหมือน หรือมีเทคโนโลยีที่ได้รับการจดสิทธิบัตร ผู้ผลิตก็สามารถตั้งราคาสูงได้โดยที่ผู้บริโภคไม่มีทางเลือกอื่น ตัวอย่างเช่น ยารักษาโรคบางชนิดที่มีสิทธิบัตรเฉพาะ หรือเทคโนโลยีพิเศษที่ไม่มีคู่แข่งในตลาด ก็สามารถตั้งราคาสูงได้โดยไม่ต้องกังวลว่าลูกค้าจะหนีไปหาที่อื่น
สถานการณ์ที่สามคือ การใช้กลยุทธ์ Price Skimming กับสินค้าใหม่ เมื่อมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ที่เป็นนวัตกรรม เช่น iPhone รุ่นใหม่ หรือรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุด แบรนด์มักจะตั้งราคาสูงในช่วงแรกเพื่อดึงกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงและอยากได้สินค้าก่อนใคร จากนั้นจึงค่อยๆ ลดราคาลงมาเพื่อเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น กลยุทธ์นี้ช่วยให้แบรนด์สามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรสูงสุดจากทุกกลุ่มผู้บริโภคในแต่ละช่วงเวลา โดยไม่สูญเสียยอดขายในระยะยาว ดังนั้น การแพงเกินจริงจึงไม่ได้เป็นความผิดพลาดเสมอไป แต่อาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการตลาดที่ชาญฉลาดก็ได้
ทิ้งท้าย
เรียกได้ว่าหลังจากที่เราได้เจาะลึกเรื่อง “แพงเวอร์เกินจริง” หรือ Overpriced กันมาตลอดบทความนี้ เราก็พอจะเข้าใจแล้วว่าโลกของการตั้งราคานั้นไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิด มันเป็นศิลปะที่ผสมผสานระหว่างเศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา และกลยุทธ์ทางการตลาดเข้าด้วยกัน การรู้ว่าสินค้าไหนแพงเกินควร ทำไมมันถึงแพง และเราจะสังเกตได้อย่างไร เป็นทักษะที่สำคัญมากในยุคที่ทุกอย่างพยายามล่อลวงให้เราจ่ายเงินมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่เราต้องจำไว้คือ ราคาสูงไม่ได้หมายความว่าคุณภาพดีเสมอไป และการที่แบรนด์หนึ่งตั้งราคาสูงก็ไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นต้องซื้อ เราควรใช้เวลาเปรียบเทียบ ค้นคว้าข้อมูล อ่านรีวิว และคิดให้รอบคอบว่าสิ่งที่เราจะซื้อนั้นคุ้มค่าจริงๆ หรือเป็นแค่กลเม็ดทางการตลาดที่พยายามเล่นกับอารมณ์และจิตวิทยาของเรา ยิ่งไปกว่านั้น เราควรตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า “เราซื้อเพราะต้องการจริงๆ หรือเพราะถูกหลอกให้รู้สึกว่าต้องการ”
ในท้ายที่สุด การเป็นผู้บริโภคที่ฉลาดหลักแหลมไม่ได้หมายความว่าต้องซื้อของถูกที่สุดเสมอไป แต่หมายถึงการซื้อสินค้าที่ให้คุณค่าสูงสุดต่อเงินที่เราจ่ายไป ไม่ว่าจะเป็นสินค้าราคาถูกที่มีคุณภาพดี หรือสินค้าราคาแพงที่คุ้มค่าจริงๆ สิ่งสำคัญคือเราตัดสินใจด้วยข้อมูลและเหตุผล ไม่ใช่ด้วยอารมณ์หรือแรงกดดันจากการตลาด หากบทความนี้ช่วยให้เราเข้าใจและสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าได้อย่างชาญฉลาดขึ้น เราอยากให้แชร์บทความนี้ต่อไปให้คนที่เราห่วงใยได้รู้ด้วย และอย่าลืมแสดงความคิดเห็นในคอมเมนต์ว่าเรามีประสบการณ์อะไรกับสินค้าที่แพงเวอร์เกินจริงบ้าง
ข้อมูลอ้างอิง
- https://dictionary.cambridge.org/dictionary/english/overpriced
- https://www.merriam-webster.com/dictionary/overprice
- https://www.oxfordlearnersdictionaries.com/definition/english/overpriced
- https://dealhub.io/glossary/overpricing/
- https://www.paddle.com/blog/overpricing
- https://www.investopedia.com/terms/l/lawofdemand.asp