รีวิวหนัง-ซีรีส์

[รีวิว-เรื่องย่อ] เจาะชีวิตเอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ | Being Eddie (2025)

  • Being Eddie เป็นสารคดีที่เปิดเผยชีวิตส่วนตัวของ Eddie Murphy อย่างไม่มีกั้น ตั้งแต่วัยเด็กถึงการเป็นพ่อของลูก 10 คน
  • สารคดีมีดาราตลกระดับตำนานอย่าง Dave Chappelle, Chris Rock, Jerry Seinfeld และอีกมากมายมาให้สัมภาษณ์
  • Eddie Murphy เล่าถึงช่วงเวลาที่ท้าทายในชีวิต รวมถึงการสูญเสียพ่อที่ถูกฆาตกรรม การเลิกทำ stand-up และการกลับมา
  • ผู้กำกับ Angus Wall นำเสนอเรื่องราวที่สมดุล ครอบคลุมทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวในอาชีพ 50 ปีของเขา

เคยสงสัยไหมว่า Eddie Murphy ตำนานตลกระดับโลกมีชีวิตอย่างไรนอกจอภาพ? ชายที่เคยทำให้โลกหัวเราะด้วย Raw, Delirious, Beverly Hills Cop, Coming to America และพากย์เสียง Shrek มาเกือบ 50 ปี เขาเป็นคนอย่างไรในชีวิตจริง? สารคดี Being Eddie (2025) ที่เพิ่งเข้า Netflix ตอบคำถามนี้ได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยการนำเสนอชีวิตของ Eddie Murphy อย่างจริงใจและเปิดเผย

Being Eddie ไม่ใช่แค่สารคดีชีวประวัติธรรมดา แต่เป็นการเจาะลึกชีวิตของนักแสดงตลกที่เริ่มต้นอาชีพตั้งแต่อายุ 15 ปี ไปจนถึงการเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลก สารคดีเรื่องนี้พาเราไปสัมผัสกับเรื่องราวที่เขาไม่เคยเปิดเผยมาก่อน ทั้งความสุข ความเศร้า และการตัดสินใจที่สำคัญในชีวิต ผ่านการเล่าของตัวเอ็ดดี้เองและเพื่อนร่วมวงการที่รู้จักเขาดี

ในบทความนี้ เราจะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุมของ สารคดี Being Eddie ตั้งแต่เรื่องราวในวัยเด็กที่ยากลำบาก การก้าวสู่ความสำเร็จบน Saturday Night Live การเป็นพ่อของลูก 10 คน ไปจนถึงมุมมองต่อชีวิตและอาชีพที่เขาสะสมมาเกือบครึ่งศตวรรษ มาดูกันว่าสารคดีเรื่องนี้จะพาเราเข้าใจ Eddie Murphy มากขึ้นอย่างไร

Being Eddie เป็นสารคดีที่ผู้กำกับ Angus Wall ผู้ชนะรางวัล Oscar สองสมัย สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองอาชีพ 50 ปีของ Eddie Murphy สารคดีเปิดฉายบน Netflix เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2025 และได้รับคะแนน 7.1/10 บน IMDb สารคดีมีความยาวประมาณ 1 ชั่วโมง 43 นาที เหมาะสำหรับการนั่งดูเพลินๆ ในช่วงสุดสัปดาห์

สารคดีเริ่มต้นด้วยวลี “มีเอ็ดดี้ เมอร์ฟี่เพียงคนเดียวเท่านั้น” ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์ของตัวละครคนนี้ ไม่มีนักตลกวัยรุ่นคนไหนที่อายุ 17 ปีได้ขึ้นแสดงเวที stand-up ร่วมกับ Jerry Seinfeld หรือเข้าร่วม Saturday Night Live (SNL) ทันทีหลังจบมัธยม ไม่มีนักแสดงคนไหนเคยรับบทเป็นทั้งตำรวจ หมอ และลา และประสบความสำเร็จในทุกแนวที่เขาแตะต้อง Eddie Murphy ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และเขายังคงเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับ A-list มาเกิน 40 ปี โดยไม่เคยตกต่ำเข้าไปสู่ด้านมืดของความดัง

สารคดีนำเสนอผ่านการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับ Eddie Murphy เอง รวมถึงเพื่อนร่วมงาน นักแสดงตลก และผู้กำกับชื่อดังอย่าง Dave Chappelle, Chris Rock, Jamie Foxx, Jerry Seinfeld, Kevin Hart, Arsenio Hall, Tracee Ellis Ross, Tracy Morgan, Adam Sandler, Pete Davidson และอีกมากมาย พวกเขาพูดถึง Eddie ในฐานะนักแสดงตลกที่มีอิทธิพลต่อวงการและเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลัง นอกจากนี้ยังมีบรรดาผู้กำกับและโปรดิวเซอร์อย่าง John Landis, Brian Grazer, Jerry Bruckheimer, Reginald Hudlin และ Jeffrey Katzenberg ที่มาเล่าถึงประสบการณ์การทำงานกับเขา

สิ่งที่ทำให้ Being Eddie แตกต่างจากสารคดีชีวประวัติทั่วไปคือความจริงใจ Eddie Murphy ไม่ได้พยายามปกปิดความล้มเหลวหรือช่วงเวลาที่ยากลำบาก เขายอมรับเปิดเผยเกี่ยวกับหนังที่ไม่ประสบความสำเร็จ เกี่ยวกับการตัดสินใจที่ไม่เลือก SNL มาหลายสิบปีเพราะโดน David Spade ล้อเลียนว่าเป็น “ดาวตก” เกี่ยวกับการสูญเสียพี่ชาย Charlie Murphy ที่เสียชีวิตจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวในปี 2017 และเกี่ยวกับการถูกฆาตกรรมของพ่อแท้ๆ ของเขาเมื่อเขายังเด็ก ความตรงไปตรงมาเหล่านี้ทำให้สารคดีมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ

Eddie Murphy เกิดเมื่อวันที่ 3 เมษายน 1961 ที่บรูคลิน นิวยอร์ก พ่อแม่ของเขา Lillian และ Charles Edward Murphy แต่งงานตอนอายุ 18 ปี และมี Eddie ในปีถัดมา เมื่อ Eddie อายุเพียง 3 ขวบ พ่อแม่ของเขาก็หย่าร้าง เหตุการณ์ที่สร้างบาดแผลให้กับชีวิตเขามากที่สุดคือการถูกฆาตกรรมของพ่อ Charlie Murphy น้องชายที่ล่วงลับไปแล้วเปิดเผยในสารคดีว่าการตายของพ่อเกิดจาก “ทะเลาะกับคนรัก” Eddie พูดถึงเรื่องนี้อย่างกระชับและไม่ลงรายละเอียดมาก แสดงให้เห็นว่าเขาพยายามไม่อยู่กับความเศร้าโศกมากเกินไป

แม้จะสูญเสียพ่อแท้ แต่ Eddie โชคดีที่ได้พบกับพ่อเลี้ยงที่ดี เขาพูดถึงพ่อเลี้ยงด้วยความซาบซึ้งว่า “นั่นเป็นพรอันแสนหวาน ที่มีชายคนหนึ่งเข้ามาในชีวิตและเป็นผู้ชายแบบที่เขาเป็น เขาเป็นแบบอย่างที่ดี และฉันเห็นสิ่งที่เขาทำ ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นคนแบบที่เป็นเพราะเขา” คำพูดนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลต้นแบบที่ดีในชีวิตเด็ก

ความสามารถพิเศษของ Eddie ปรากฏตั้งแต่เด็ก เขาได้รับตุ๊กตามือ Willie Talk เมื่อยังเล็ก แม้ว่าตุ๊กตาจะเป็นแบบธรรมดาที่ปากขยับได้อย่างเดียว แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาสนใจการเล่นหลายตัวละคร ภายหลังเขายังสะสมตุ๊กตามือของคนดังอย่าง Richard Pryor และ Bill Cosby สองตลกระดับตำนานที่เขาชื่นชอบ ในสารคดีเรายังได้เห็นฉากที่ Eddie เล่นกับตุ๊กตาทั้งสองและทำเสียงเลียนแบบพวกเขาคุยกัน แสดงให้เห็นว่าแม้จะอายุ 64 ปีแล้ว เขายังคงมีความสนุกสนานและความสร้างสรรค์เหมือนเด็ก

เรื่องน่าสนใจอีกเรื่องคือ Eddie เล่าว่าเขาคิดว่าตัวเองอาจมีอาการ โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) เพราะตอนเด็กเขาต้องกลับมาตรวจเตาแก๊สซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เมื่อเห็นข่าวว่า OCD เป็นความผิดปกติทางจิต เขาก็บังคับตัวเองให้เลิก “ฉันบังคับตัวเองให้หยุดทำ ความผิดปกติทางจิตห่าอะไร” แม้ว่าจนถึงทุกวันนี้เขายังคงตรวจเตาแก๊สทุกคืน บางครั้งสองครั้ง เรื่องเล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและการควบคุมตัวเองของเขาตั้งแต่เด็ก

เมื่ออายุเพียง 15 ปี Eddie Murphy ก้าวขึ้นเวที stand-up comedy เป็นครั้งแรก เขาเล่าว่าตอนนั้นเขารู้แน่ว่าชีวิตของเขาจะเป็นแบบนี้ เขาไม่ได้แค่มีพรสวรรค์ด้านความตลก แต่เขารู้ว่าเขารักตัวเองและรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร “พรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉันไม่ใช่พรสวรรค์ด้านความตลก แต่เป็นการที่ฉันรักตัวเองและรู้ว่าตัวเองต้องการทำอะไรตั้งแต่เนิ่นๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่ตกหลุมพรางใดๆ เพราะในรากฐาน ฉันรักตัวเอง” คำพูดนี้เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาสามารถรอดพ้นจากอันตรายของความดังได้

ตอนอายุ 17 ปี Eddie ได้ขึ้นแสดงร่วมเวทีกับ Jerry Seinfeld และทันทีหลังจบมัธยม เขาก็เข้าร่วม Saturday Night Live ในปี 1980 ช่วงนั้น SNL กำลังอยู่ในช่วงที่ยากลำบาก และ Eddie Murphy กลายเป็นดาวเด่นที่ช่วยกอบกู้รายการ ตัวละครของเขาอย่าง Gumby, Mr. Robinson และ Buckwheat กลายเป็นไอคอนของรายการ เพื่อนนักแสดงและผู้กำกับต่างให้การยอมรับว่า Eddie Murphy คือคนที่ช่วยชีวิต SNL ในยุคนั้น

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่าง Eddie กับ SNL ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ในปี 1995 ระหว่างรายการ Spade in America นักแสดง David Spade ได้แสดงภาพ Eddie Murphy และพูดล้อเลียนว่า “ดูสิ เด็กคนนี้เคยเป็นดาวใหญ่” โดยหมายความว่า Eddie เป็น “ดาวตก” Eddie รู้สึกโกรธและขุ่นเคืองมาก เขาเล่าว่า “ฉันรู้สึกว่า ‘ไอ้พวกเลวชั่วๆ เหี้ยๆ’ ไปตายซะ!” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Eddie ไม่ยอมกลับไป SNL เลยเป็นเวลาหลายสิบปี จนกระทั่งปี 2019 เขาถึงยอมกลับมา และการกลับมาครั้งนั้นก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก

การทำงานที่ SNL ไม่เพียงแต่ทำให้ Eddie มีชื่อเสียง แต่ยังช่วยให้เขาได้พัฒนาทักษะการแสดงหลายตัวละคร ซึ่งต่อมากลายเป็นเอกลักษณ์ของเขาในหนัง The Nutty Professor ที่เขาแสดงหลายตัวละครในครอบครัวคลัมป์ด้วยตัวเอง ความสามารถนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นเองเอง แต่เป็นผลจากการฝึกฝนและการทดลองตั้งแต่เขายังเด็ก

หลังจากประสบความสำเร็จจาก SNL Eddie Murphy ก้าวสู่ฮอลลีวูดด้วยหนัง 48 Hrs. (1982) ที่เขาแสดงคู่กับ Nick Nolte ต่อมาเขาได้แสดงใน Trading Places (1983) ซึ่งตอนแรกบทนี้จะเป็นของ Richard Pryor แต่ Pryor เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ จึงต้องหยุดถ่ายทำ Eddie ได้รับโอกาสนี้และทำให้หนังประสบความสำเร็จมหาศาล หนังเรื่องนี้ทำรายได้มากถึงขนาดที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนเอาไปใช้สอนเรื่องการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์

หนังที่ทำให้ Eddie กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกคือ Beverly Hills Cop (1984) ที่เขารับบทเป็น Axel Foley ตำรวจหนุ่มจากดีทรอยต์ที่มาสืบสวนคดีฆาตกรรมในเมืองเบเวอร์ลีฮิลส์ หนังทำรายได้มหาศาล และ Eddie ได้แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถเป็นพระเอกหนังแอ็คชั่น-คอมเมดี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ หนังมีภาคต่อในปี 1987 และ 1994 และล่าสุดมีภาคที่ 4 ออกในNetflix ปี 2024

Coming to America (1988) เป็นอีกหนึ่งผลงานคลาสสิกที่ Eddie แสดงหลายตัวละคร รวมถึงเจ้าชาย Akeem และช่างตัดผมชราที่ร้านตัดผมใน Queens หนังเรื่องนี้ไม่เพียงแต่แสดงความสามารถด้านการแสดงของเขา แต่ยังสะท้อนมุมมองเกี่ยวกับวัฒนธรรมแอฟริกัน-อเมริกันและการค้นหาความรักที่แท้จริง หนังทำรายได้ดีและมีภาคต่อใน Amazon Prime ปี 2021

ในช่วงทศวรรษ 1990s Eddie ประสบความสำเร็จกับ The Nutty Professor (1996) ที่เขาแสดงเจ็ดตัวละครในครอบครัวเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะในการเปลี่ยนตัวละคร หนังประสบความสำเร็จทั้งในเชิงรายได้และคำวิจารณ์ และมีภาคต่อในปี 2000 ในช่วงปลายทศวรรษ 1990s ถึงต้นยุค 2000s Eddie ยังแสดงในหนังอีกมากมาย บางเรื่องประสบความสำเร็จ บางเรื่องไม่ แต่เขายอมรับทั้งหมดในสารคดี Being Eddie

ผลงานสำคัญอีกชิ้นคือการพากย์เสียง Donkey ในซีรีส์ Shrek (2001-2010) ที่ทำให้เขาได้รับความรักจากเด็กทั่วโลกและสร้างรายได้มหาศาล นอกจากนี้เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากบทใน Dreamgirls (2006) แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้เก่งแค่ตลก แต่ยังแสดงดราม่าได้อย่างลึกซึ้งด้วย

สิ่งที่ Eddie Murphy ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตไม่ใช่ผลงานการแสดง แต่คือการเป็นพ่อของลูก 10 คน จากความสัมพันธ์กับผู้หญิงห้าคน เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในสารคดีพูดถึงลูกๆ ของเขา โดยแต่ละคนมีความสามารถและเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกัน Eddie เล่าว่าเขาภูมิใจที่เห็นลูกทุกคนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และเขาสนับสนุนให้พวกเขาทำในสิ่งที่รัก ไม่ว่าจะเป็นการแสดง ดนตรี หรืออะไรก็ตาม

ลูกๆ ของ Eddie Murphy ได้แก่ Eric (เกิด 1989), Bria (เกิด 1989), Christian (เกิด 1990), Myles (เกิด 1992), Shayne (เกิด 1994), Zola (เกิด 1999), Bella (เกิด 2002), Angel (เกิด 2007), Izzy (เกิด 2016) และ Max (เกิด 2018) บางคนติดตามรอยเท้าพ่อในวงการบันเทิง เช่น Bria Murphy ที่เป็นนักแสดงและนางแบบ ในขณะที่คนอื่นๆ เลือกเส้นทางที่แตกต่างออกไป

Eddie พูดถึงการเลี้ยงดูลูกว่าเขาพยายามให้เวลากับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และเขาต้องการให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาถูกรักและได้รับการสนับสนุน เขาเล่าว่าการเป็นพ่อทำให้เขาเติบโตเป็นคนที่ดีขึ้น และลูกๆ คือแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาอยากกลับมาทำงานในฮอลลีวูดหลังจากหยุดพักไปนาน Eddie กล่าวว่า “การมีลูกทำให้ฉันเข้าใจความหมายของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข พวกเขาคือทุกสิ่งสำหรับฉัน”

ในสารคดี เรายังได้เห็นภาพครอบครัวอบอุ่นของ Eddie กับลูกๆ และภรรยาปัจจุบันคือ Paige Butcher นางแบบชาวออสเตรเลีย-ออสเตรเลีย ที่เขาแต่งงานด้วย การที่เขายินดีเปิดเผยชีวิตครอบครัวในสารคดีแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการให้ผู้คนเข้าใจว่าเขาไม่ได้เป็นแค่ดาราตลก แต่เป็นพ่อที่รับผิดชอบและรักลูกๆ อย่างจริงใจ

Being Eddie เต็มไปด้วยเรื่องเล่าที่น่าสนใจและไม่เคยเปิดเผยมาก่อน หนึ่งในนั้นคือเรื่องราวเกี่ยวกับ Muhammad Ali ตำนานนักมวย Eddie เล่าว่าเขาเคยชก Ali บนใบหน้าจริงๆ ในงานปาร์ตี้ครั้งหนึ่ง “Ali เป็นฮีโร่ของฉัน แต่ฉันชกหน้าเขาจริงๆ คืนนึง Ali ชอบพูดเหลาะแหละ และบางครั้ง Ali ก็พูดเกินไป ฉันเลยชกหน้าเขา” เรื่องเล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมระหว่างเขากับ Ali และความกล้าหาญ (หรือความบ้าบิ่น) ของเขาในวัยหนุ่ม

อีกเรื่องหนึ่งคือเกี่ยวกับ Yul Brynner นักแสดงชื่อดังจากหนัง The King and I Eddie เล่าว่าเมื่อครั้งหนึ่ง Brynner เชิญเขาไปปาร์ตี้และบอกว่ามี “ข้อเสนอพิเศษ” สำหรับเขา แต่ Eddie ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เพียงแค่พูดว่า “เมื่อ Yul Brynner ถามว่าอยากไปปาร์ตี้ไหม ต้องตอบว่าใช่!” เรื่องเล่านี้กลายเป็นหนึ่งในช่วงที่ตลกที่สุดของสารคดี

Eddie ยังพูดถึงความสัมพันธ์กับ Robin Williams และ John Belushi โดยเขาเล่าว่าเขาปฏิเสธที่จะใช้โคเคนเมื่อพวกเขาเสนอให้ เพราะเขารู้ว่าสิ่งนั้นอันตราย “ฉันเห็นว่ามันทำลายคนมากมาย ฉันไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของมัน” การตัดสินใจนี้อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขารอดพ้นจากอันตรายที่หลายดาราในยุคนั้นต้องเผชิญ

สารคดียังแสดงให้เห็นถึงตุ๊กตามือ Richard Pryor และ Bill Cosby ที่ผู้กำกับ Angus Wall สั่งทำขึ้นเป็นของขวัญให้ Eddie เพื่อใช้ในสารคดี Eddie เล่าว่าเขามีไอเดียจะใช้ตุ๊กตาทั้งสองในการแสดง stand-up และทำให้พวกเขาคุยกัน “ฉันคงได้อย่างน้อย 10 นาทีของมุกดีๆ จากมันได้” แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ทำจริง แต่ในตอนท้ายของสารคดี เราได้เห็นเขาเล่นกับตุ๊กตาทั้งสองอย่างสนุกสนาน

สิ่งที่ทำให้ Being Eddie น่าสนใจมากคือการได้ฟังมุมมองจากเพื่อนร่วมวงการระดับตำนาน Dave Chappelle พูดถึง Eddie ว่า “เขาเหมือนยูนิคอร์น มีเพียงคนเดียวเท่านั้น” Chappelle เล่าว่า Eddie เป็นแรงบันดาลใจให้เขาเข้าสู่วงการตลก และเขาเรียนรู้มากมายจากการดูผลงานของ Eddie Chris Rock กล่าวว่า Eddie คือ “ราชาแห่งการแสดงตลก” และไม่มีใครเทียบได้

Jerry Seinfeld เล่าถึงครั้งแรกที่เขาได้แสดงร่วมเวทีกับ Eddie ตอนที่ Eddie อายุเพียง 17 ปี เขาบอกว่า “ฉันรู้ทันทีว่าเด็กคนนี้มีอะไรพิเศษ เขามีความมั่นใจและความตลกขบขันที่ไม่ธรรมดา” Jamie Foxx ที่เองก็เป็นนักแสดงที่แสดงหลายตัวละครได้ กล่าวว่า Eddie เป็นต้นแบบให้เขา และเขาพยายามเรียนรู้เทคนิคของ Eddie ตั้งแต่เด็ก

Arsenio Hall เพื่อนสนิทของ Eddie และเคยแสดงร่วมกันใน Coming to America พูดถึงมิตรภาพของพวกเขาว่า “Eddie เป็นคนที่ภักดีและใส่ใจเพื่อน เขาไม่ใช่แค่ดารา แต่เป็นเพื่อนที่แท้จริง” Kevin Hart นักแสดงตลกรุ่นใหม่กล่าวว่า Eddie เป็นไอดอลของเขา และเขาพยายามทำตามรอยเท้า Eddie ในการสร้างอาณาจักรความบันเทิง

การได้ฟังมุมมองจากคนเหล่านี้ทำให้เราเห็นว่า Eddie Murphy มีอิทธิพลต่อวงการมากแค่ไหน ไม่เพียงแต่กับผู้ชม แต่ยังกับนักแสดงตลกและนักแสดงรุ่นหลังๆ ที่ถือเขาเป็นแรงบันดาลใจ นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงมรดกที่ Eddie ได้ทิ้งไว้ให้วงการบันเทิง

แม้จะประสบความสำเร็จมหาศาล แต่ Eddie Murphy ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ในช่วงต้นทศวรรษ 2000s หนังของเขาหลายเรื่องไม่ประสบความสำเร็จ เช่น The Adventures of Pluto Nash (2002) ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในหนังขาดทุนที่สุดในประวัติศาสตร์ Norbit (2007) แม้จะทำรายได้ดี แต่ก็ถูกวิจารณ์อย่างหนัก และมีคนบอกว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เขาเสีย Oscar จากบทใน Dreamgirls

Eddie ยอมรับว่ามีช่วงเวลาที่เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับฮอลลีวูด เขาหยุดทำหนังไปหลายปี และใช้เวลากับครอบครัว เขาพูดถึงช่วงเวลานี้ว่า “ฉันไม่รู้สึกว่าต้องพิสูจน์อะไรกับใครอีกแล้ว ฉันทำมาเยอะพอแล้ว ฉันต้องการใช้เวลากับลูกๆ” การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่าชื่อเสียง

การกลับมาของ Eddie เริ่มต้นด้วยการกลับไปที่ Saturday Night Live ในปี 2019 หลังจากห่างหายไปนานถึง 35 ปี การกลับมาครั้งนี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก และทำให้คนเริ่มพูดถึง Eddie Murphy อีกครั้ง ต่อมาเขาแสดงใน Dolemite Is My Name (2019) บน Netflix ซึ่งเป็นบทชีวประวัติของ Rudy Ray Moore นักแสดงตลก-นักแสดง-นักร้องชาวแอฟริกัน-อเมริกัน การแสดงนี้ทำให้ Eddie ได้รับคำชมอย่างมาก และเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมากมาย

Beverly Hills Cop: Axel F (2024) คือการกลับมาของตัวละครที่เขารักที่สุด หนังออกทาง Netflix และได้รับเสียงตอบรับที่ดี แฟนๆ ดีใจที่ได้เห็น Axel Foley กลับมาอีกครั้ง Eddie บอกว่าเขายังสนุกกับการแสดงบทนี้เหมือนเมื่อ 40 ปีที่แล้ว และเขายังพร้อมที่จะกลับมาทำงานให้มากขึ้น

ในสารคดี Eddie พูดถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะกลับมาแสดง stand-up comedy อีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำมาตั้งแต่ Raw (1987) เขากล่าวว่า “ถ้าวันนึงมันมาหาฉัน ฉันก็คงทำมันอีกครั้ง” คำพูดนี้ทำให้แฟนๆ หลายคนตื่นเต้นและหวังว่าจะได้เห็นเขากลับมายืนบนเวที stand-up อีกครั้ง

Being Eddie (2025) ไม่ใช่แค่สารคดีชีวประวัติธรรมดา แต่เป็นการเจาะลึกชีวิตของตำนานตลกระดับโลก ที่ทำให้เราได้เห็นด้านที่เขาไม่เคยเปิดเผยมาก่อน จากเด็กวัยรุ่นที่สูญเสียพ่อ ไปจนถึงการเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ครองวงการมาเกือบ 50 ปี และการเป็นพ่อของลูก 10 คนที่เขารักและภูมิใจ สารคดีเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จไม่ได้มาง่ายๆ และการรักษาความสำเร็จนั้นยากกว่า

สิ่งที่ทำให้ Being Eddie โดดเด่นคือความจริงใจ Eddie ไม่ได้พยายามปกปิดความล้มเหลวหรือช่วงเวลาที่ยากลำบาก เขายอมรับทุกอย่าง ทั้งดีและเลว และเขาแบ่งปันมุมมองของเขาต่อชีวิตและอาชีพอย่างตรงไปตรงมา การได้ฟังจากเพื่อนร่วมวงการที่เคารพและชื่นชอบเขาก็ทำให้สารคดีมีความสมบูรณ์มากขึ้น เรารู้สึกได้ว่า Eddie Murphy ไม่ใช่แค่ดารา แต่เป็นคนธรรมดาที่มีความฝัน ความกลัว และความรัก

สำหรับใครที่เติบโตมากับผลงานของ Eddie Murphy ไม่ว่าจะเป็น Beverly Hills Cop, Coming to America, The Nutty Professor หรือ Shrek สารคดีเรื่องนี้จะทำให้เรารู้สึกอบอุ่นและชื่นชม การได้เห็นเขาพูดถึงลูกๆ ด้วยความรักและความภูมิใจ การได้ฟังเขาหัวเราะและเล่าเรื่องตลกๆ ในชีวิต ทำให้เรารู้สึกว่าเรารู้จักเขามากขึ้น แม้ว่าจะไม่เคยพบเจอกันจริงๆ

Being Eddie เหมาะสำหรับทุกคนที่ชื่นชอบ Eddie Murphy และสำหรับคนที่สนใจเรื่องราวชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง สารคดีนี้สอนเราว่าการรักตัวเอง การรู้ว่าเราต้องการอะไร และการยึดมั่นในค่านิยมของตัวเอง คือกุญแจสำคัญในการรอดพ้นจากอันตรายของความดัง มาดูกันเถอะ แล้วมาแชร์ความคิดเห็นกันในคอมเมนต์ว่าเราชื่นชอบส่วนไหนของสารคดีมากที่สุด และอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่รัก Eddie Murphy เหมือนกันนะ!

  • ชื่อเรื่อง: Being Eddie/เจาะชีวิตเอ็ดดี้ เมอร์ฟี่
  • ประเภท: สารคดี, ชีวประวัติ
  • วันที่เข้าฉาย: 12 พฤศจิกายน 2568
  • ผู้กำกับ: Angus Wall
  • นักแสดงหลัก: Eddie Murphy
  • แขกรับเชิญ: Dave Chappelle, Chris Rock, Jamie Foxx, Jerry Seinfeld, Kevin Hart, Arsenio Hall, Tracee Ellis Ross, Tracy Morgan, Adam Sandler, Pete Davidson และอื่นๆ
  • ความยาว: 1 ชั่วโมง 43 นาที
  • เรตติ้ง IMDb: 7.1/10
  • ช่องทางรับชม: Netflix

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button