รีวิวหนัง-ซีรีส์

[รีวิว-เรื่องย่อ] หากโลกของฉันไม่มีตะวันให้เห็น | Had I Not Seen the Sun (2025)

  • Had I Not Seen the Sun เป็นซีรีส์ไต้หวันที่ผสมผสานระหว่างโรแมนซ์ ระทึกขวัญ และองค์ประกอบเหนือธรรมชาติอย่างน่าสนใจ
  • การแสดงของเซ็ง จิง-หัว ในบทนักฆ่าต่อเนื่องที่ซ่อนความลับดึงดูดผู้ชมด้วยความลึกลับและเสน่ห์ที่คาดไม่ถึง
  • ซีรีส์เล่าเรื่องผ่านการสัมภาษณ์นักฆ่าในคุก ผสานกับความทรงจำในวัยเรียนที่เต็มไปด้วยความรักและความเจ็บปวด
  • การเล่าเรื่องที่สลับไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบันสร้างบรรยากาศที่ลุ้นระทึกและทำให้เราตั้งคำถามกับความจริง

เคยสงสัยไหมว่าเบื้องหลังของฆาตกรต่อเนื่องที่โหดเหี้ยมที่สุด อาจซ่อนเรื่องราวความรักที่เจ็บปวดจนทำให้ชีวิตพังทลายไปทั้งหมด? ซีรีส์ Had I Not Seen the Sun (หากโลกของฉันไม่มีตะวันให้เห็น) จาก Netflix พาเราไปสัมผัสกับเรื่องราวสุดระทึกที่ผสมผสานระหว่างความโรแมนซ์ในวัยเรียน ความลับอันมืดมน และฆาตกรรมที่โหดร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ ซีรีส์ไต้หวันเรื่องนี้ถูกสร้างโดยทีมงานเดียวกับ Someday or One Day ที่มีชื่อเสียงในการเล่าเรื่องแบบซับซ้อนและเต็มไปด้วยอารมณ์

เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ โจว ปิน-หยู (แสดงโดย เจียง ฉี) นักทำสารคดีหนุ่มสาว เข้าไปสัมภาษณ์ หลี เหริน-เหยา (แสดงโดย เซ็ง จิง-หัว) นักฆ่าต่อเนื่องชื่อดังที่ถูกเรียกว่า “ฆาตกรพายุฝน” เพราะเขามักจะลงมือในวันที่ฝนตก แม้เหริน-เหยาจะสารภาพว่าฆ่าคนไปหลายคน แต่เขาไม่เคยบอกใครว่าทำไมถึงทำแบบนั้น สิ่งที่แปลกคือเมื่อปิน-หยูเริ่มสัมภาษณ์เขา เธอก็เริ่มเห็นภาพหลอนของสาวนักเรียนชุดยูนิฟอร์มลึกลับ และฝันถึงเหริน-เหยาในวัยหนุ่มอยู่เรื่อยๆ ซีรีส์เรื่องนี้จะค่อยๆ เปิดเผยว่าเบื้องหลังฆาตกรรมทั้งหมด มีเรื่องราวความรักในวัยเรียนที่เจ็บปวดจนบิดเบือนไปทั้งชีวิต

ในบทความนี้ เราจะพาไปเจาะลึกทุกมิติของซีรีส์ ตั้งแต่การแสดงที่โดดเด่น ไปจนถึงการเล่าเรื่องที่ทำให้เราอดลุ้นระทึกไม่ได้ มาดูกันว่า Had I Not Seen the Sun จะพาเราไปสัมผัสกับความมืดมนของจิตใจมนุษย์และความรักที่สามารถพลิกชีวิตได้อย่างไร

Had I Not Seen the Sun (2025) #1

รีวิวและเรื่องย่อ Had I Not Seen the Sun

Had I Not Seen the Sun เล่าเรื่องของ หลี เหริน-เหยา ชายหนุ่มวัย 25 ปี ที่เดินเข้ามอบตัวกับตำรวจอย่างสงบเสงี่ยม พร้อมสารภาพว่าตัวเองคือฆาตกรพายุฝนที่ฆ่าเพื่อนร่วมโรงเรียนไปหลายคน เก้าปีก่อนหน้านั้น เหริน-เหยาได้ก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่โหดเหี้ยม โดยมักจะลงมือในวันที่ฝนตก แม้เขาจะบอกรายละเอียดการฆ่าทุกอย่าง แต่ก็ไม่เคยยอมบอกว่าทำไมถึงทำแบบนั้น อะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้เด็กหนุ่มธรรมดากลายเป็นฆาตกรโหดเหี้ยม? คำถามนี้กลายเป็นปริศนาที่ทุกคนอยากรู้

ในคุก เหริน-เหยาปฏิเสธการพบทุกคนเสมอ จนกระทั่ง โจว ปิน-หยู นักทำสารคดีหนุ่มสาวขอสัมภาษณ์เขา และเขาก็ยอม สิ่งแปลกๆ เริ่มเกิดขึ้นเมื่อปิน-หยูเริ่มงาน เธอเริ่มฝันถึงเหริน-เหยาในวัยหนุ่ม และเห็นภาพหลอนของสาวนักเรียนที่สวมชุดยูนิฟอร์มคนหนึ่ง (แสดงโดย มูน ลี) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางครั้งภาพเหล่านั้นก็ดูชัดเจนจนแยกไม่ออกว่าเป็นความจริงหรือแค่ฝัน ยิ่งปิน-หยูเข้าไปลึกในเรื่องราวของเหริน-เหยามากเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างเชื่อมโยงระหว่างเธอกับเขา และสาวนักเรียนในภาพหลอนนั้น

ซีรีส์เล่าเรื่องผ่านการสลับไปมาระหว่างปัจจุบัน (การสัมภาษณ์ในคุก) และอดีต (วัยเรียนของเหริน-เหยา) ในอดีต เราได้เห็นว่าเหริน-เหยาเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่มีปัญหาในครอบครัว จนกระทั่งเขาได้พบกับ เจียง เสี่ยว-ถง สาวนักเต้นบัลเล่ต์ที่โรงเรียน พวกเขาสองคนค่อยๆ ใกล้ชิดกัน และความรู้สึกพิเศษก็เริ่มก่อตัวขึ้น แต่แล้วเรื่องราวความรักนี้กลับต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งข่าวลือในโรงเรียน การกลั่นแกล้งจากเพื่อน และเหตุการณ์ที่โหดร้ายที่ทำให้ทุกอย่างพังทลายลงอย่างถาวร สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนหนึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เหริน-เหยาเปลี่ยนไปตลอดกาล

เซ็ง จิง-หัว (Tseng Jing-hua) ในบทหลี เหริน-เหยา แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมจนน่าขนลุก เขาสามารถสลับไปมาระหว่างเด็กหนุ่มบริสุทธิ์ในอดีต กับฆาตกรเย็นชาในปัจจุบันได้อย่างลื่นไหล การแสดงของเขาทำให้เราเห็นว่าคนๆ หนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มากแค่ไหนเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เจ็บปวด สายตาของเขาเมื่อพูดกับปิน-หยูในคุกมีความลึกลับและเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ในขณะเดียวกันก็มีความสงบที่น่ากลัว เขาแสดงได้อย่างละเอียดถึงคนที่ซ่อนความเจ็บปวดไว้ลึกๆ จนกลายเป็นความมืดมิด

มูน ลี (Moon Lee) ในบทเจียง เสี่ยว-ถง สาวนักเต้นบัลเล่ต์ ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เธอเป็นทั้งความหวังและความสยองในเวลาเดียวกัน การแสดงของเธอในฉากอดีตเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และความงดงาม แต่เมื่อปรากฏเป็นภาพหลอนในปัจจุบัน เธอกลับทำให้เรารู้สึกหนาวสันหลัง มูน ลีสามารถถ่ายทอดความเศร้าและความโกรธที่ถูกกักขังไว้ในอดีตได้อย่างชัดเจน ทำให้ตัวละครของเธอไม่ใช่แค่ “ผี” ธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของความทรงจำที่เจ็บปวดที่ไม่มีวันหายไป

เจียง ฉี (Chiang Chi) ในบทโจว ปิน-หยู แสดงให้เห็นถึงผู้หญิงที่อยากรู้ความจริงจนยอมเสี่ยงกับสิ่งที่น่ากลัว เธอเล่นได้ดีในฐานะคนที่ค่อยๆ ถูกดึงเข้าไปในเรื่องราวที่ซับซ้อน และเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เธอเห็นคือความจริงหรือเพียงจินตนาการ การแสดงของเธอทำให้เราเห็นความเปราะบางและความแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะฉากที่เธอต้องเผชิญกับภาพหลอนและพยายามหาคำตอบ ความสงสัยและความกลัวในดวงตาของเธอดูสมจริงมาก

Had I Not Seen the Sun (2025) #2

ผู้กำกับ เจียง ฉี-เฉิง (Chiang Chi-Cheng) และ เฉียน ฉี-เฟิง (Chien Chi-Feng) สร้างบรรยากาศที่หลอนและกดดันได้อย่างยอดเยี่ยม ฉากในคุกถูกถ่ายให้ดูเย็นเยียบและน่าอึดอัด ขณะที่ฉากในอดีตกลับมีสีสันที่นุ่มนวล แต่ก็มีความมืดมนแฝงอยู่ การตัดต่อระหว่างสองช่วงเวลานี้ทำได้อย่างลื่นไหล ทำให้เรารู้สึกว่าอดีตและปัจจุบันเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก การใช้แสงและเงาช่วยเสริมความรู้สึกไม่แน่นอนและความกลัวที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา โดยเฉพาะฉากที่ปิน-หยูเห็นภาพหลอนของเสี่ยว-ถง ซึ่งถูกถ่ายให้ดูไม่ชัดว่าเป็นความจริงหรือความฝัน

เพลงประกอบของซีรีส์ก็มีส่วนสำคัญในการสร้างอารมณ์ เพลงมีทั้งความโรแมนติกในฉากอดีต และเสียงดนตรีที่หดหู่ในฉากปัจจุบัน การใช้เสียงเงียบๆ และเสียงฝนตกเป็นจังหวะช่วยให้เราจมอยู่กับความตึงเครียด แทนที่จะใช้เสียงดังๆ เพื่อ “ช็อก” ผู้ชม ซีรีส์เลือกที่จะสร้างความกดดันแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งมันน่ากลัวกว่ามาก

นอกจากนี้ การถ่ายภาพยังแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างฝันกับความจริง ฉากที่ปิน-หยูอยู่ในโลกปัจจุบันมักจะมีสีเทาและน้ำเงินเข้ม ขณะที่ฉากในอดีตของเหริน-เหยาและเสี่ยว-ถงมีสีอบอุ่นกว่า แต่ก็มีความมืดมนแฝงอยู่ การเล่าเรื่องแบบนี้ทำให้เราไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นจริง สิ่งใดเป็นความทรงจำที่ถูกบิดเบือน หรือแค่ภาพหลอนที่เกิดจากความผิดพลาด

Had I Not Seen the Sun (2025) #3

หนึ่งในจุดแข็งของ Had I Not Seen the Sun คือการเล่าเรื่องที่ไม่เป็นเส้นตรง ซีรีส์สลับไปมาระหว่างการสัมภาษณ์ในคุกและความทรงจำในอดีต โดยแต่ละตอนจะเปิดเผยเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เราเข้าใจภาพรวมมากขึ้นเรื่อยๆ วิธีการเล่าเรื่องแบบนี้ทำให้เราต้องคอยต่อจิ๊กซอว์ไปพร้อมกับปิน-หยู และพยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีตจนทำให้เหริน-เหยาเปลี่ยนไปขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม การเล่าเรื่องแบบซับซ้อนนี้อาจทำให้บางคนรู้สึกสับสนหรือเซเนื้อเรื่องช้าเกินไป โดยเฉพาะในตอนกลางๆ ที่มีฉากแฟลชแบ็กยาวและฉากฝันที่ไม่ชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องหลักอย่างไร ซีรีส์พยายามสร้างบรรยากาศและความรู้สึกมากกว่าที่จะเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา ซึ่งอาจไม่เหมาะกับทุกคนที่ชอบซีรีส์ระทึกขวัญแบบที่เน้นไปที่การไขคดีอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ โทนของซีรีส์ก็เปลี่ยนไปมาค่อนข้างมาก บางครั้งเป็นซีรีส์อาชญากรรมที่มีการสัมภาษณ์ในคุก บางครั้งกลับเป็นละครโรแมนซ์วัยรุ่นในโรงเรียน และบางครั้งก็มีองค์ประกอบเหนือธรรมชาติเข้ามาด้วย การผสมแนวเรื่องแบบนี้ทำให้ซีรีส์มีเอกลักษณ์ แต่ก็อาจทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยสม่ำเสมอ สำหรับคนที่ชอบเรื่องที่มีแนวเรื่องชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ อาจรู้สึกว่าซีรีส์นี้ “กระโดดไปมา” มากไปหน่อย

จุดเด่น ของซีรีส์คือการแสดงที่ยอดเยี่ยม การกำกับที่สร้างบรรยากาศได้ดี และเนื้อเรื่องที่มีความลึกซึ้งทางอารมณ์ การผสมผสานระหว่างความรัก ความโศกเศร้า และความมืดมนของจิตใจมนุษย์ทำได้อย่างน่าสนใจ ซีรีส์ไม่ได้แค่เล่าเรื่องฆาตกร แต่เล่าเรื่องของคนที่เคยรัก เคยเสียใจ และเคยสูญเสีย ซึ่งทำให้มันมีมิติมากกว่าซีรีส์สืบสวนทั่วไป การเปิดเผยความจริงในตอนจบมีน้ำหนักทางอารมณ์มาก และทำให้เราเข้าใจว่าทำไมเหริน-เหยาถึงทำในสิ่งที่เขาทำ

จุดอ่อน ของซีรีส์คือจังหวะการเล่าเรื่องที่ช้าในบางตอน และการผสมแนวเรื่องที่อาจทำให้สับสน ตัวละครรองบางคนก็ไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร และฉากบางฉากดูเหมือนจะอยู่เพื่อสร้างบรรยากาศมากกว่าที่จะเข้ากับเนื้อเรื่องจริงๆ สำหรับคนที่ไม่ชอบเรื่องที่ต้องใช้ความอดทนและพยายามต่อจิ๊กซอว์เอง อาจรู้สึกว่าซีรีส์นี้ “ยืดเรื่องยาว” ไปบ้าง

Had I Not Seen the Sun สำรวจธีมเกี่ยวกับความรัก ความสูญเสีย และการที่บางสิ่งบางอย่างไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ ซีรีส์บอกเราว่าความเจ็บปวดบางอย่างไม่ได้หายไปตามกาลเวลา และบางครั้งมันกลับกลายเป็นแผลเป็นที่ลบไม่ออก ที่เปลี่ยนแปลงเราไปตลอดกาล ผู้กำกับเฉียน ฉี-เฟิงเคยบอกว่าซีรีส์นี้สร้างขึ้นจากแนวคิดเรื่อง “ความไม่สามารถย้อนกลับได้” เมื่อเราโตขึ้น เราเริ่มรู้ว่าแผลบางอย่างไม่มีวันหาย และการให้อภัยบางครั้งก็เป็นไปไม่ได้

ซีรีส์ยังตั้งคำถามว่าใครคือเหยื่อตัวจริง ในเรื่องราวนี้? เหริน-เหยาที่กลายเป็นฆาตกร หรือเสี่ยว-ถงที่สูญเสียทุกอย่าง? หรือแม้แต่ปิน-หยูที่ถูกดึงเข้ามาในเรื่องราวนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ? การที่ซีรีส์ไม่ตอบคำถามเหล่านี้อย่างชัดเจน ทำให้เราต้องคิดและตีความเอง ซึ่งเป็นจุดแข็งสำหรับคนที่ชอบเรื่องที่มีความคลุมเครือและไม่ใช่แค่ขาว-ดำ

นอกจากนี้ ซีรีส์ยังพูดถึงเรื่องการกลั่นแกล้งในโรงเรียน และผลกระทบระยะยาวที่มันมีต่อชีวิตของคน ฉากในอดีตที่แสดงให้เห็นว่าเหริน-เหยาและเสี่ยว-ถงถูกมองด้วยสายตาและถูกซุบซิบนินทา เป็นการสะท้อนถึงสังคมที่โหดร้ายและขาดความเข้าใจ ซึ่งสามารถทำลายชีวิตของคนหนุ่มสาวได้อย่างถาวร

Had I Not Seen the Sun (2025) #4

Had I Not Seen the Sun เป็นซีรีส์ที่น่าติดตามสำหรับคนที่ชอบเรื่องราวที่มีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยอารมณ์ ซีรีส์นี้ไม่ได้แค่เล่าเรื่องฆาตกร แต่เล่าเรื่องของความรักที่สูญเสีย และความเจ็บปวดที่ไม่มีวันหายไป การแสดงของนักแสดงทั้งหมดยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเซ็ง จิง-หัวที่แสดงได้ลึกซึ้งจนทำให้เราเห็นมิติต่างๆ ของตัวละคร บรรยากาศและการกำกับสร้างความหลอนได้อย่างยอดเยี่ยมโดยไม่ต้องพึ่ง jump scare แต่ใช้ความกดดันที่ค่อยๆ สะสมจนทำให้เราอึดอัด

อย่างไรก็ตาม ซีรีส์นี้อาจไม่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะคนที่ชอบเรื่องที่เล่าตรงไปตรงมาและมีจังหวะที่เร็ว การผสมผสานระหว่างโรแมนซ์ ระทึกขวัญ และเหนือธรรมชาติอาจทำให้บางคนรู้สึกสับสน และบางตอนอาจรู้สึกว่าเซเนื้อเรื่องไปหน่อย แต่สำหรับคนที่ยอมให้เวลากับซีรีส์และชอบเรื่องที่ทำให้ต้องคิด Had I Not Seen the Sun จะให้ประสบการณ์ที่คุ้มค่าและน่าจดจำ

ซีรีส์เรื่องนี้เหมือนกับการยืนอยู่ในห้องมืด ที่มีหน้าต่างบานหนึ่ง เรารู้ว่าแสงอาจจะส่องเข้ามา แต่ไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่และจะสว่างแค่ไหน มันเป็นซีรีส์ที่พูดถึงความหวังและความมืดมนในเวลาเดียวกัน และทำให้เราตั้งคำถามว่าบางครั้งการมีแสงสว่างในชีวิต อาจทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเมื่อมันหายไป

สำหรับใครที่ชื่นชอบซีรีส์ระทึกขวัญจิตวิทยา ที่มีความลึกซึ้งและทำให้ต้องคิดตาม Had I Not Seen the Sun คือซีรีส์ที่ไม่ควรพลาด แม้จะมีจุดอ่อนบ้าง แต่ประสบการณ์โดยรวมทำให้มันเป็นซีรีส์ที่น่าจดจำและทิ้งความรู้สึกไว้ในใจนานหลังจากดูจบ มาแชร์ความคิดเห็นกันในคอมเมนต์ว่าซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เราคิดอย่างไรเกี่ยวกับความรักและความสูญเสีย และอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่ชอบซีรีส์ Netflix แนวดราม่าจิตวิทยาที่เต็มไปด้วยความหมาย!

  • ชื่อเรื่องในภาษาไทย: หากโลกของฉันไม่มีตะวันให้เห็น
  • ชื่อเรื่องภาษาจีน: 如果我不曾見過太陽 (Ru Guo Wo Bu Ceng Jian Guo Tai Yang)
  • ประเภท: ดราม่า, ระทึกขวัญ, โรแมนซ์, ลึกลับ
  • วันที่ออกอากาศ: 13 พฤศจิกายน 2025 (Part 1), 11 ธันวาคม 2025 (Part 2)
  • นักแสดงนำ: เซ็ง จิง-หัว (Tseng Jing-hua), มูน ลี (Moon Lee), เจียง ฉี (Chiang Chi), ไลอัน เฉิง (Lyan Cheng)
  • ผู้กำกับ: เจียง ฉี-เฉิง (Chiang Chi-Cheng), เฉียน ฉี-เฟิง (Chien Chi-Feng)
  • บทภาพยนตร์: เฉียน ฉี-เฟิง (Chien Chi-Feng), หลิน ซิน-ฮุย (Lin Hsin-huei)
  • จำนวนตอน: 10 ตอน
  • ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button