รีวิวซีรีส์ฝรั่ง

[รีวิว-เรื่องย่อ] ลาซารัส ของฮาร์ลาน โคเบน | Harlan Coben’s Lazarus (2025)

  • Lazarus เป็นซีรีส์ออริจินัลจาก Harlan Coben ที่ไม่ดัดแปลงจากนิยาย แต่เต็มไปด้วยพล็อตคาดเดาได้แบบเดิมๆ
  • การแสดงของ Sam Claflin ในบท Laz ที่เห็นผีและย้อนเวลาโดดเด่น แต่เรื่องราวจบแบบผิดหวัง
  • ซีรีส์เจาะลึกธีมวัยรุ่นที่สับสน ความผิดพลาด และการทำลายวงจรซ้ำซากของชีวิต
  • ผู้ร่วมงาน Danny Brocklehurst นำเสนอเรื่องราวที่ดูเพลินแต่ไร้สาระ ดูจบแล้วรู้สึกสูญเปล่า

เคยคิดไหมว่าถ้าชีวิตพลิกผันแบบไม่คาดฝัน จนเห็นคนตายเดินวนเวียนรอบตัว จะเกิดอะไรขึ้น? ซีรีส์ Lazarus (2025) จากปลายปากกา ฮาร์ลาน โคเบน (Harlan Coben) พาไปดำดิ่งสู่โลกที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ฆาตกรรม และกลิ่นอายเหนือธรรมชาติ แต่แทนที่จะเป็นการผจญภัยสุดระทึก กลับกลายเป็นการวนลูปเดิมๆ ที่ทำให้คนดูรู้สึกเบื่อหน่าย เหมือนกินข้าวกล่องซ้ำๆ ทุกวันไม่เคยเปลี่ยนรสชาติ

เรื่องราวหมุนรอบ แลซ (Laz) แสดงโดย แซม คลาฟลิน (Sam Claflin) ชายหนุ่มที่ชีวิตพลิกโฉมหลังพ่อของเขา ด็อกเตอร์ ลาซารัส แสดงโดย บิล ไนย์ (Bill Nighy) เสียชีวิตแบบปริศนา ทันใดนั้นแลซเริ่มเห็นวิญญาณคนตาย และบางทีอาจย้อนเวลาได้ด้วย? สำนักงานของพ่อกลายเป็นประตูเชื่อมระหว่างโลกคนเป็นกับคนตาย หรืออดีตกับปัจจุบัน? มันชวนให้นึกถึงหนังโรแมนติกอย่าง About Time ที่ไนย์เคยเล่นบทพ่อที่สอนลูกเรื่องการย้อนเวลา แต่ที่นี่ มันไม่ใช่เรื่องหวานซึ้งหรอกนะ กลับเป็นความสับสนที่พยายามเลียนแบบแต่ล้มเหลว

ในบทความนี้ จะพาไปเจาะลึกทุกมุมของ Lazarus ตั้งแต่พล็อตที่เริ่มน่าติดตามแต่จบแบบหงอย ไปจนถึงข้อความที่ซ่อนไว้เรื่องวัยรุ่นที่มักตัดสินใจผิดพลาด และการทำลายวงจรซ้ำๆ ของชีวิต มาดูกันว่า ซีรีส์เรื่องนี้จะทำให้คนดูติดหนึบจนจบหรือหลุดออกจากที่นั่งตั้งแต่ครึ่งเรื่อง

รีวิวและเรื่องย่อ Lazarus (การฟื้นคืนชีพที่ผิดหวัง)

Lazarus เริ่มต้นด้วยบรรยากาศลึกลับที่ชวนให้ใจเต้นรัว แลซต้องเผชิญกับการฆ่าตัวตาย การสืบสวนฆาตกรรม และสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นพลังเหนือธรรมชาติ หลังจากพ่อเสียชีวิต แลซเริ่มเห็นคนตายเดินวนรอบตัว บางทีมันอาจเป็นการเดินทางข้ามเวลา หรือแค่ภาพหลอนจากความเครียด? ซีรีส์พยายามผสมผสานองค์ประกอบเหล่านี้ให้เข้ากัน แต่กลับกลายเป็นกองเละที่ไม่มีจุดยืนชัดเจน เหมือนพยายามทำซุปผสม แต่ลืมใส่เกลือจนจืดชืดไปหมด

ตัวละครหลักอย่างแลซถูกวาดภาพเป็นวัยรุ่นที่สับสน เต็มไปด้วยฮอร์โมนและความโง่เขลาแบบวัยรุ่นทั่วไป เขาตัดสินใจผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะเมื่อต้องรับมือกับวิสญาณที่โผล่มาหลอกหลอน ซีรีส์บอกว่าวัยรุ่นมักมีปัญหาเรื่องเพศ ความกังวล และการตัดสินใจที่ไม่ฉลาด แต่แทนที่จะเจาะลึกให้มีมิติ กลับกลายเป็นแค่ข้ออ้างให้พล็อตพุ่งไปข้างหน้าแบบไร้สาระ โลกในเรื่องปิดผนึกสนิท ไม่มีคำว่าอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่ปัญหาคือ มันไม่สนุกเลยสักนิด

ผู้ร่วมงานอย่าง แดนนี่ บร็อคเลเฝิร์สต์ (Danny Brocklehurst) ที่เคยร่วมกับโคเบนใน Fool Me Once กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ พวกเขาพยายามสร้างอะไรที่ “ออริจินัล” โดยไม่ดัดแปลงจากนิยายของโคเบน ผลลัพธ์คือ เรื่องราวที่เต็มไปด้วย DNA เดียวกับซีรีส์อื่นๆ ของเขา เริ่มต้นน่าติดตาม แต่ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่ามันวนลูปเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่สด เหมือนกินขนมกรุบกรอบรสชาติเดิมซ้ำๆ จนเบื่อ

แซม คลาฟลิน ในบทแลซทำได้ดีในช่วงแรก โดยเฉพาะฉากที่เขาเริ่มเห็นผีและสับสนกับความเป็นจริง การแสดงของเขาสื่อถึงความสับสนและความกลัวได้อย่างน่าเชื่อ แต่พอเรื่องดำเนินไป ตัวละครแลซกลับกลายเป็นหุ่นเชิดที่ทำตามพล็อตโดยไม่มีพัฒนาการ เขาเห็นวิญญาณแต่ไม่เคยตั้งคำถามลึกซึ้ง มันชวนให้คิดว่า ถ้าเป็นคนจริงๆ คงวิ่งหนีไปหาหมอจิตเวชตั้งแต่ตอนแรกแล้วล่ะ

บิล ไนย์ ในบทด็อกเตอร์ ลาซารัส พ่อของแลซ เป็นจุดเด่นเพียงจุดเดียวของเรื่อง เขาเล่นเป็นหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องวิญญาณ แต่ดันไม่เห็นผีเองซะงั้น มันน่าขบขันแต่ซีรีส์ไม่เคยเล่นมุกนี้ให้สนุก ไนย์ถ่ายทอดความลึกลับและปรัชญาเรื่องเวลาได้ดี โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “เวลาไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็นวงจร” ซึ่งชวนให้นึกถึงบทบาทเก่าๆ ของเขา แต่ที่นี่ มันถูกใช้แค่เป็นเครื่องมือให้พล็อตพุ่งไป ไม่ได้มีน้ำหนักอะไรจริงจัง

ตัวละครรองอย่างวัยรุ่นรอบตัวแลซถูกวาดภาพแบบเหมารวม พวกเขามีปัญหาเพศ ความกังวล และการตัดสินใจโง่ๆ ที่นำไปสู่โศกนาฏกรรม แต่ซีรีส์ไม่เคยขุดลึกให้เห็นมุมมองใหม่ มันแค่โยนไอเดียเหล่านี้มาเพื่อให้เรื่องดู “บิงจ์ได้” หรือดูติดต่อเนื่อง แต่สุดท้าย ทุกอย่างจบลงแบบไม่มีรสชาติ เหมือนปาร์ตี้ที่เริ่มสนุกแต่จบด้วยความเงียบงัน

ซีรีส์พยายามสื่อสารว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เว้นแต่จะทำลายวงจรเดิมๆ ลูกชายมักกลายเป็นพ่อ และเวลาหมุนเวียนไม่สิ้นสุด มันฟังดูน่าสนใจ แต่โคเบนใช้มันแค่เป็นกับดักล่อคนดู ไม่เคยพัฒนาให้ลึกซึ้ง เหมือนนักมายากลที่โชว์ของวิเศษแต่สุดท้ายเปิดหมวกออกมาแล้วไม่มีอะไรข้างใน พล็อตเรื่องวิญญาณเริ่มจากเหนือธรรมชาติ แต่พออธิบายไม่ได้ ก็โยนไปเป็นปัญหาทางจิตวิทยา แล้วปล่อยให้คนดูตีความเอง

ในโลกของ Lazarus ทุกอย่างเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่ในทางที่ดี มันเต็มไปด้วยทวิสต์ที่เหลือเชื่อและอธิบายไม่ได้ โคเบนชอบล่อคนดูด้วยความลึกลับที่ชวนขนลุก แต่พอถึงตอนจบ ก็ดับฝันลงด้วยคำอธิบายห่วยๆ มันชวนให้คิดว่า ทำไมซีรีส์แนวนี้ถึงวนลูปแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยน? ถ้าเคยดู Fool Me Once หรือเรื่องอื่นของโคเบน ก็เหมือนดูซ้ำ ไม่มีอะไรแตกต่าง

บทสรุปของเรื่องพยายามบอกว่าวัยรุ่นมักผิดพลาดเพราะความโง่และความต้องการทางเพศ แต่ซีรีส์เองก็ผิดพลาดเหมือนกัน มันไม่เคยตัดสินใจถูกต้องในการเล่าเรื่อง กลายเป็นแค่เนื้อหาที่ดูเพลินชั่วคราวแต่ไร้คุณค่า เหมือนขนมขบเคี้ยวที่กินแล้วอิ่มแต่ไม่ nourishing

Lazarus (2025) สรุปแล้วคือการทดลองที่ล้มเหลวของโคเบนในการสร้างอะไรใหม่ๆ มันเริ่มด้วยความหวังแต่จบด้วยความผิดหวัง เต็มไปด้วยธีมวัยรุ่นสับสน การย้อนเวลา และวิญญาณหลอน แต่ไม่เคยลงลึกพอให้คนดูติดใจ สำหรับแฟนแนวลึกลับระทึกขวัญ มันดูได้เพื่อฆ่าเวลา แต่ถ้าอยากได้อะไรที่ฉลาดกว่านี้ อาจต้องข้ามไปเรื่องอื่นดีกว่า ใครดูแล้วรู้สึกยังไง ลองมาแชร์ในคอมเมนต์สิ ว่ามันทำให้คิดถึงชีวิตวนลูปของตัวเองยังไงบ้าง หรือแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนที่ชอบซีรีส์แนวนี้ มาคุยกันว่าควรให้โอกาสโคเบนอีกกี่ครั้งนะ!

  • ชื่อเรื่องในภาษาไทย: ลาซารัส ของฮาร์ลาน โคเบน
  • ประเภท: ลึกลับ, ระทึกขวัญ, เหนือธรรมชาติ
  • วันที่ออกฉาย: 22 ตุลาคม 2568
  • นักแสดงนำ: แซม คลาฟลิน (Sam Claflin), บิล ไนย์ (Bill Nighy)
  • ผู้สร้าง: ฮาร์ลาน โคเบน (Harlan Coben), แดนนี่ บร็อคเลเฟิร์สต์ (Danny Brocklehurst)
  • ความยาว: 6 ตอน
  • เรตติ้ง IMDb: 6.3/10
  • ช่องทางการดูในประเทศไทย: Prime Video

กดเพื่ออ่านต่อ

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button