รีวิวหนัง-ซีรีส์

[รีวิว-เรื่องย่อ] ตำนานนักผจญเพลิง | Legasi: Bomba the Movie (2025)

  • Legasi: Bomba the Movie เป็นหนังแอ็คชั่นระทึกขวัญจากมาเลเซียที่เล่าเรื่องนักดับเพลิงทีม STORM ที่ต้องเผชิญกับไฟไหม้ตึกสูง
  • ฉากแอ็คชั่นและเอฟเฟกต์ไฟไหม้สมจริงน่าตื่นตา แต่บทหนังเน้นดราม่าอดีตของตัวละครมากเกินไปจนทำให้จังหวะหนังช้าลง
  • การแสดงของเบน อามีร์และนัส-ที มีน้ำหนัก แต่ตัวละครรองเยอะเกินไปจนไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่
  • แม้จะมีจุดอ่อนในเรื่องโทนและจังหวะ แต่หนังก็ยังสนุกและมีความตั้งใจดีที่จะเชิดชูวีรกรรมของนักดับเพลิง

เคยสงสัยไหมว่าชีวิตของนักดับเพลิงเป็นอย่างไร? พวกเขาไม่ได้แค่วิ่งเข้าไปดับไฟเท่านั้น แต่ยังต้องแบกรับภาระทางใจจากการสูญเสียและความล้มเหลวในอดีตด้วย Legasi: Bomba the Movie (2025) พาเราไปสัมผัสกับโลกของทีมนักดับเพลิง STORM จากมาเลเซีย ที่ต้องเผชิญกับภารกิจดับไฟตึกสูง TEXVIN 118 ท่ามกลางความบอบช้ำทางใจที่ยังคงตามหลอกหลอนพวกเขาอยู่

หนังเรื่องนี้เริ่มต้นด้วยการแนะนำตัว อามีร์ แสดงโดย เบน อามีร์ (Ben Amir) สมาชิกทีม STORM ที่ยังคงแบกรับความรู้สึกผิดจากเหตุการณ์กู้ภัยที่ เขาคินาบาลู ซึ่งจบลงอย่างน่าสลดใจ เขามีพี่เลี้ยงชื่อ เอ็ดดี้ แสดงโดย นัส-ที (Nas-t) ที่กำลังเผชิญกับวิกฤตส่วนตัวของตัวเอง ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในช่วงเริ่มต้นทำให้รู้สึกว่าหนังจะเล่าเรื่องได้ลึกซึ้งและมีน้ำหนัก แต่แล้วเมื่ออาคารตึกสูงเกิดเพลิงไหม้ ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป

บทความนี้จะพาไปสำรวจทุกแง่มุมของหนังเรื่องนี้ ตั้งแต่จุดเด่นของฉากแอ็คชั่นที่สมจริง ไปจนถึงจุดอ่อนในเรื่องของการเล่าเรื่องที่สับสนและตัวละครที่เยอะเกินไป มาดูกันว่า Legasi: Bomba the Movie จะทำให้เราตื่นเต้นหรือหลับในโรงได้อย่างไร

รีวิวและเรื่องย่อ Legasi: Bomba the Movie (ตำนานนักผจญเพลิง)

เมื่ออาคาร TEXVIN 118 เกิดเพลิงไหม้ขึ้น อามีร์ซึ่งกำลังดิ้นรนกับปัญหาทางจิตใจของตัวเองถูกมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างน่าสงสัย เพราะใครจะไปมอบหมายภารกิจสำคัญให้กับคนที่ยังไม่หายจากบาดแผลทางใจล่ะ? แต่นี่คือหนัง ทุกอย่างเป็นไปได้

อามีร์เข้าสู่อาคารพร้อมกับทีมที่ประกอบด้วย จอร์แดน, ราซัก, ซาฟิก, ฟาห์มี, ฮิชัม, ซานเจย์ และนักดับเพลิงอีกหลายคนที่ถูกแนะนำตัวอย่างรวดเร็วจนเราจำชื่อไม่ทัน พวกเขาทุกคนเป็นนักแสดงที่แสดงได้ดี แต่บทหนังไม่ได้ให้พื้นที่พอสำหรับพัฒนาตัวละคร ทำให้เราจำได้แค่ว่า “คนที่ถือไฟฉาย” “คนที่ไอจ้ำจี้” และ “คนที่คงไม่ได้อ่านคู่มือความปลอดภัย”

ส่วนพลเรือนที่ติดอยู่ในอาคารก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน มุสติกา แสดงโดย เนีย อาตาชา (Nia Atasha) สงบเสงี่ยมจนน่าสงสัยว่าเธอกำลังทำสมาธิหรือแค่ปล่อยวางกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น บุคลิกของเธอแทบไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก

แต่ถ้าพูดถึงฉากแอ็คชั่น ต้องยกนิ้วให้เลย ฉากไฟไหม้ดูสมจริง ดัง รุนแรง และวุ่นวาย ซึ่งตรงข้ามกับบทพูดของหนังที่ค่อนข้างธรรมดา การถ่ายภาพของหนังทำได้ดีมาก การทำลายภายในอาคารดูอันตรายและน่าเชื่อถือ ถ้าหนังเรื่องนี้เน้นไปที่การดับเพลิง 90 นาทีเต็ม ๆ โดยไม่มีอะไรอื่นมาเกี่ยวข้อง มันอาจจะดีกว่านี้ได้ แต่ผู้สร้างหนังตัดสินใจใส่ฉากย้อนอดีตทุก ๆ หกนาที

โทนของหนังก็เปลี่ยนไปมาแบบไม่มีทิศทาง เหมือนเซ็นเซอร์ลิฟต์ที่เสียตอนเกิดเพลิงไหม้ บางฉากเป็นดราม่าหนักหน่วงเกี่ยวกับความรู้สึกผิดและการไถ่บาป แต่อีกฉากหนึ่งก็มีคนพยายามพูดตลกขณะที่กำลังสำลักควัน มันเหมือนหนังไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะทำให้ผู้ชมซึ้งใจหรืออยากให้หัวเราะ

เอ็ดดี้กลับมาอีกครั้งเพื่อเตือนอามีร์ว่าเขายังคงมีความบอบช้ำทางใจ และหนังพยายามนำเสนอสิ่งนี้เหมือนเป็นการพลิกโผ แต่จริง ๆ แล้วมันเหมือนมีคนกระแทกไหล่เราซ้ำ ๆ แล้วถามว่า “เศร้าหรือยัง? แล้วตอนนี้ล่ะ?” ฉากของทั้งสองคนมีศักยภาพจริง ๆ แต่หนังรีบร้อนเกินไป เพราะไม่อยากให้อะไรที่เป็นอารมณ์เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีสัญญาณเตือนดังที่ไหนสักแห่ง

เบน อามีร์ แสดงในบทอามีร์ได้อย่างจริงจังและมีความตั้งใจ เขาถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่แบกรับความผิดไว้ทุกที่ทุกเวลา เหมือนแบกอุปกรณ์ดับเพลิงไปด้วยตลอด การแสดงของเขาทำให้เราเห็นถึงความทุกข์ทรมานภายในของนักดับเพลิงที่ต้องเผชิญกับความสูญเสีย

นัส-ที ในบทเอ็ดดี้แสดงได้ดีในฐานะพี่เลี้ยงที่กำลังเผชิญกับวิกฤตส่วนตัว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอามีร์เป็นหัวใจสำคัญของหนัง แม้ว่าบทจะไม่ได้ให้เวลาพอสำหรับพัฒนาความสัมพันธ์นี้อย่างเต็มที่ก็ตาม

นักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ล้วนแสดงได้ดี แต่ปัญหาคือตัวละครมีมากเกินไปจนไม่มีใครได้โอกาสโชว์ฝีมือจริง ๆ พวกเขากลายเป็นแค่ตัวประกอบในฉากแอ็คชั่นมากกว่าจะเป็นตัวละครที่มีมิติ

เนีย อาตาชา ในบทมุสติกาพยายามแสดงความสงบท่ามกลางวิกฤต แต่บทหนังไม่ได้ให้อะไรมากสำหรับเธอนอกจากการยืนรอความช่วยเหลือ ซึ่งค่อนข้างน่าเสียดาย

การถ่ายภาพของหนังเรื่องนี้ทำได้ดีจริง ๆ ฉากภายในอาคารที่กำลังไฟไหม้ดูน่ากลัวและอันตราย ควันไฟดูหนาแน่น เปลวไฟดูร้อนแรง และโครงสร้างที่กำลังพังทลายดูสมจริงมาก ถ้าหนังเน้นไปที่ภาพเหล่านี้อย่างเดียว มันคงจะยิ่งใหญ่กว่านี้

เสียงในหนังก็สร้างบรรยากาศได้ดี เสียงไฟไหม้ เสียงโครงสร้างพัง และเสียงวิทยุสื่อสารของทีม ช่วยให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเสียงบทพูดจะดังเกินไปหรือเบาเกินไปก็ตาม

ช่วงท้ายของหนังเป็นเหมือนมีคนเทไอเดียทุกอย่างที่คิดไว้ลงในกองไฟลูกใหญ่ มีสุนทรพจน์เต็มไปด้วยอารมณ์ โครงสร้างที่พังทลาย การกระทำอันกล้าหาญ และอย่างน้อยหนึ่งช่วงที่อามีร์ดูเหมือนจะปลดล็อกความบอบช้ำทางใจระดับใหม่ มันดราม่า ใหญ่โต และก็ค่อนข้างไร้สาระเหมือนกัน แต่อย่างน้อยมันก็ไม่น่าเบื่อ

และนั่นคือสิ่งที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้ มันมีหัวใจ หัวใจที่ใหญ่มาก บางทีอาจจะใหญ่เกินไปด้วยซ้ำ มันอยากจะยกย่องนักดับเพลิง แสดงความกล้าหาญ สำรวจความบอบช้ำทางใจ และสร้างความบันเทิงด้วยฉากไฟไหม้ขนาดใหญ่ไปพร้อม ๆ กัน และมันก็ทำทุกอย่างเหล่านี้ได้จริง แค่ไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ จังหวะหนังโซเซ โทนก็สะดุด และบทหนังก็รู้สึกเหมือนเอาร่างหลาย ๆ ฉบับมาประกอบกันระหว่างไฟไหม้เล็ก ๆ ในออฟฟิศ

แต่นี่คือความจริง หนังเรื่องนี้สนุกดี ไม่ใช่เพราะมันสมบูรณ์แบบ แต่เพราะมันวุ่นวายในแบบที่น่ารัก ในแบบ “เราพยายามอย่างเต็มที่แล้วนะ” ดูแล้วจะหัวเราะ จะอ้าปากค้าง จะสงสัยในการตัดสินใจหลาย ๆ อย่าง และอย่างน้อยครั้งหนึ่งจะพูดว่า “คนคนนี้ไม่ควรเป็นหัวหน้าอะไรเลย”

Legasi: Bomba the Movie เป็นหนังที่วุ่นวายมาก บางครั้งก็วุ่นวายในแบบที่น่าประทับใจ บางครั้งก็วุ่นวายในแบบที่งง และอย่างไรก็ตาม นั่นคือสิ่งที่ทำให้มันสนุก มันเป็นหนังที่เราสามารถวิจารณ์ได้ขณะเดียวกันก็เชียร์มันไปด้วย เหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบดราม่าตลอดเวลา แต่เรายังรักเขาอยู่ดี แค่อย่าให้ดูซ้ำอีกรอบ รอดมาได้จากการสูดควันอารมณ์ครั้งแรกเท่านั้นแหละ

Legasi: Bomba the Movie (2025) เป็นหนังที่พยายามทำหลายอย่างพร้อมกัน และบางทีก็มากเกินไป หนังต้องการเป็นทั้งดราม่าที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความบอบช้ำทางใจของนักดับเพลิง และเป็นหนังแอ็คชั่นระทึกขวัญที่เต็มไปด้วยฉากไฟไหม้สุดมันส์ ผลลัพธ์ที่ได้คือหนังที่มีจุดเด่นและจุดด่อนปะปนกันไป ฉากแอ็คชั่นทำได้ดีมาก ภาพสวย เสียงโอเค แต่การเล่าเรื่องและตัวละครยังไม่ค่อยแข็งแรง จังหวะของหนังช้าลงเพราะฉากย้อนอดีตที่มากเกินไป และตัวละครก็เยอะจนไม่มีใครได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่

แม้จะมีข้อบกพร่อง แต่หนังก็ยังมีเสน่ห์ในแบบของมันเอง มันสนุก ไม่น่าเบื่อ และมีความตั้งใจที่ดีในการเล่าเรื่องราวของฮีโร่ในชีวิตจริง ที่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยคนอื่น ถ้าชอบหนังแอ็คชั่นระทึกขวัญและไม่ได้คาดหวังความสมบูรณ์แบบ Legasi: Bomba the Movie ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวสำหรับดูผ่อนคลายในสุดสัปดาห์

มาแชร์ความคิดเห็นกันในคอมเมนต์ว่าชอบหนังเรื่องนี้ไหม และเคยมีประสบการณ์กับไฟไหม้หรือการกู้ภัยบ้างหรือเปล่า? อย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อน ๆ ที่ชื่นชอบหนังแอ็คชั่นจากเอเชียด้วยนะ!

  • ชื่อเรื่องในภาษาไทย: ตำนานนักผจญเพลิง
  • ชื่อเรื่องอังกฤษ: Legasi: Bomba the Movie
  • ประเภท: แอ็คชั่น, ดราม่า, ระทึกขวัญ
  • วันที่ออกฉาย: 2025 (Netflix)
  • นักแสดงนำ: เบน อามีร์ (Ben Amir), นัส-ที (Nas-t), เนีย อาตาชา (Nia Atasha)
  • ความยาว: 1 ชั่วโมง 31 นาที
  • ประเทศ: มาเลเซีย
  • ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix

หนังดี แอ็คชั่นโหด แต่ดราม่าเยอะไปหน่อย

บทภาพยนตร์ - 5.8
การแสดง - 6.8
โปรดักชัน - 7.5
ความบันเทิง - 7.2
ความคุ้มค่าในการรับชม - 6.5

6.8

Legasi: Bomba the Movie เป็นหนังที่มีความตั้งใจดีในการนำเสนอเรื่องราวของนักดับเพลิงผู้กล้าหาญ ฉากแอ็คชั่นไฟไหม้ถูกถ่ายทำได้สมจริงและตื่นเต้น แต่หนังก็มีจุดอ่อนในเรื่องของการเล่าเรื่องที่พยายามยัดเยียดดราม่าและอดีตของตัวละครเข้ามามากเกินไป จนทำให้จังหวะหนังไม่ค่อยลื่นไหล โทนของหนังก็สับสนระหว่างดราม่าจริงจังกับอารมณ์ขันที่ไม่ค่อยเข้ากัน อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ยังคงมีเสน่ห์ในแบบของมันเอง สนุกดี ไม่น่าเบื่อ และมี "หัวใจ" ที่อยากจะเล่าเรื่องราวของฮีโร่ในชีวิตจริง

User Rating: Be the first one !

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button