![[รีวิว-เรื่องย่อ] พรีเดเตอร์ แดนเถื่อน | Predator: Badlands (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-Predator-Badlands-2025.webp)
- Predator: Badlands คือหนัง Predator เรื่องแรกที่ให้พรีเดเตอร์เป็นตัวเอกของเรื่อง ไม่ใช่ตัวร้ายเหมือนเดิม
- การแสดงของ Elle Fanning ในบทแอนดรอยด์คู่หู Thia และ Tessa โดดเด่นสุด ๆ ด้วยความน่ารักและน่าสงสาร
- หนังเจาะลึกธีมครอบครัว เครื่องมือ และความหมายของความเป็นมนุษย์ แม้จะไม่มีมนุษย์เลยก็ตาม
- ฉากบนดาวเจนนาสวยงามแต่โหดร้าย เต็มไปด้วยสัตว์และพืชอันตรายที่ท้าทายชีวิต
เคยสงสัยไหมว่าถ้าพรีเดเตอร์ที่เราเคยกลัวมาตลอดกลับกลายเป็นคนดี มันจะเป็นยังไง? จินตนาการว่าได้เห็นตัวล่าต่างดาวที่โหดเหี้ยม ต้องเผชิญกับโลกที่อันตรายกว่าตัวมันเองอีก แล้วต้องเรียนรู้ว่าความแข็งแกร่งไม่ได้หมายถึงแค่พลังหรือความรุนแรงเสมอไป นี่แหละคือสิ่งที่ หนัง Predator: Badlands (2025) จะพามาสัมผัส ผลงานล่าสุดจากผู้กำกับ แดน แทรคเทนเบิร์ก (Dan Trachtenberg) ผู้ที่ทำให้แฟรนไชส์ Predator กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งด้วยภาค Prey
หนังเรื่องนี้ทำลายกฎเหล็กของซีรีส์ด้วยการทำให้ พรีเดเตอร์เป็นตัวเอก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เรื่องราวเกิดขึ้นบนดาว เจนนา (Genna) หรือที่รู้จักกันในนาม ดาวแห่งความตาย (Death Planet) ที่ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างพยายามจะฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เข้าไป บทความนี้จะพาไปเจาะลึกทุกมุมของหนังเรื่องนี้ ตั้งแต่การแสดงสุดอลังการของ เอลล์ แฟนนิง (Elle Fanning) ในบทแอนดรอยด์ Thia และ Tessa ไปจนถึงข้อความลึกซึ้งเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ที่หนังต้องการสื่อสาร แม้จะไม่มีมนุษย์ปรากฏตัวในหนังเลยก็ตาม
เตรียมตัวให้พร้อมกับการผจญภัยสุดมันส์บนดาวที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์หนัง ที่ไม่ใช่แค่หนังแอ็คชั่นไซไฟธรรมดา แต่เป็นเรื่องราวที่จะทำให้เราคิดทบทวนว่า อะไรคือความหมายที่แท้จริงของความแข็งแกร่ง ครอบครัว และความอยู่รอด มาดูกันว่า Predator: Badlands จะพาเราไปค้นพบอะไรบ้างในโลกที่ไม่มีใครสามารถพึ่งพาได้นอกจากตัวเอง!

รีวิวและเรื่องย่อ Predator: Badlands (พรีเดเตอร์ แดนเถื่อน)
Predator: Badlands เปิดเรื่องบนดาวแม่ของเผ่าพันธุ์ เยาท์จา (Yautja) หรือที่เรารู้จักกันในนาม “พรีเดเตอร์” ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่เชื่อในความรุนแรงและพลัง คล้าย ๆ กับเผ่า Klingon ใน Star Trek พวกเขาบูชาความแข็งแกร่งและเกลียดชังความอ่อนแอทุกรูปแบบ ตัวเอกของเราคือ เดค (Dek) แสดงโดย ดิมิเทรียส ชูสเตอร์-โคโลอามาแทงกี (Dimitrius Schuster-Koloamatangi) พรีเดเตอร์หนุ่มที่อยากได้รับการยอมรับว่าเป็นนักรบ แต่กลับถูกตีตราว่า “เป็นตัวแคระ” เพราะร่างกายเล็กกว่าปกติ พ่อของเดคคือหัวหน้าเผ่า ถึงกับสั่งให้พี่ชายของเดคฆ่าเขาทิ้ง เพราะคิดว่าเดคอ่อนแอเกินไปที่จะอยู่รอด
หลังจากหนีตายมาได้อย่างหวุดหวิด เดคตัดสินใจบินหนีไปยัง ดาวเจนนา ที่ซึ่งมีสัตว์ประหลาดตัวฉกาจที่ชื่อ คาลิสค์ (Kalisk) ซึ่งเป็นเจ้าแห่งดาวดวงนี้ที่ไม่มีใครสามารถฆ่าได้ เดควางแผนจะไปล่าคาลิสค์ เอาหัวและกระดูกสันหลังของมันกลับไปให้พ่อดู เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่พอมาถึงดาวเจนนาจริง ๆ เดคก็พบว่าทุกสิ่งบนดาวดวงนี้กำลังพยายามฆ่าเขา ตั้งแต่พืช สัตว์ ไปจนถึงสภาพแวดล้อม ทำให้หนังช่วงแรก ๆ กลายเป็นเรื่องของการเอาชีวิตรอดแบบสุด ๆ คล้ายกับหนัง Robinson Crusoe หรือ Cast Away แต่เป็นเวอร์ชันไซไฟสุดอลังการ
ระหว่างที่เดคกำลังพยายามเรียนรู้วิธีอยู่รอดบนดาวเจนนา เขาได้พบกับ ไธอา (Thia) แสดงโดย เอลล์ แฟนนิง (Elle Fanning) ซึ่งเป็น แอนดรอยด์ จากบริษัท เวย์แลนด์-ยูทานิ (Weyland-Yutani) บริษัทยักษ์ใหญ่จากแฟรนไชส์ Alien ที่ส่งทีมแอนดรอยด์มาดาวเจนนาเพื่อจับสิ่งมีชีวิตอันตรายกลับไปทำอาวุธชีวภาพ แต่แผนการก็ล้มเหลว เพราะคาลิสค์ทำลายทีมของพวกเขาไปหมด และไธอาเองก็ถูกฉีกครึ่งตัว เหลือแค่ครึ่งบน ทำให้ต้องเดินด้วยมือในท่าทางเหมือนนักยิมนาสติกใช้บาร์คู่ ไธอาบอกเดคว่ามีแอนดรอยด์อีกคนที่ชื่อ เทสซา (Tessa) ซึ่งเป็นเหมือนน้องสาวของเธอ ที่ยังรอดชีวิตอยู่ที่จุดเกิดเหตุ เธออยากกลับไปช่วยเทสซาและต่อขาของตัวเองกลับ เธอจึงเสนอตัวเป็นคู่หูกับเดค และสัญญาจะช่วยเขาล่าคาลิสค์ถ้าเขายอมพาเธอไป
สิ่งที่ตามมาคือการผจญภัยแนว หนังคู่หู (Buddy Movie) ที่แปลก ๆ แต่สนุกสุด ๆ ตอนแรกเดคแบกไธอาไว้ด้านหน้าเหมือนเป้อุ้มเด็ก แต่แล้วก็เปลี่ยนไปแบกด้านหลังแทน เพราะเบื่อกับการที่เธอพูดไม่หยุด ถามคำถามแปลก ๆ อย่าง “แล้วตอนกินเนี่ย เขี้ยวด้านนอกเคี้ยวหรือฟันด้านในเคี้ยว?” แต่ถึงจะรำคาญ เดคก็ไม่ทิ้งไธอา เพราะเธอรู้จักดาวเจนนาดีและสามารถเตือนเขาเกี่ยวกับอันตรายที่เขาไม่รู้ได้ ไธอาบอกเดคว่า “วิธีเดียวที่จะอยู่รอดบนเจนนาได้คือการเรียนรู้มัน” และเดคก็ทำตามคำแนะนำของเธอจริง ๆ
การเดินทางของทั้งคู่บนดาวเจนนาถูกนำเสนอออกมาแบบสมจริงมาก คล้ายกับสารคดีธรรมชาติบนโลก ผู้กำกับแดน แทรคเทนเบิร์กบอกว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจากผู้กำกับ เทอเรนซ์ มาลิค (Terrence Malick) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาพธรรมชาติ และจากผู้กำกับหนัง Western อย่าง คลินท์ อีสต์วูด (Clint Eastwood) และ เซอร์จิโอ ลีโอเน (Sergio Leone) หนังไม่ได้สนใจแค่สัตว์ร้ายตัวใหญ่เท่านั้น แต่ยังสนใจสัตว์กินพืช แมลง และพืชด้วย มีฉากที่สัตว์คล้ายเต่าบินทิ้งก้อนหินใส่พืชที่มีถุงน้ำ เพื่อทำให้พืชระเบิดและปล่อย “นาปาล์มธรรมชาติ” ออกมาเผาเหยื่อ แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งบนดาวนี้รู้จักใช้เครื่องมือและหาวิธีล่าเหยื่อ
ตลอดเรื่อง หนังพูดถึงเรื่อง “เครื่องมือ” อยู่เสมอ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของหนัง Predator ทุกเรื่อง เดคมีอาวุธและอุปกรณ์ไฮเทคติดตัวมาจากบ้าน แต่เหมือนศัตรูมนุษย์ที่ต่อสู้กับพรีเดเตอร์ในหนังเรื่องก่อน ๆ บางครั้งเดคก็ต้องเสียอาวุธไป และต้องใช้สิ่งที่มีรอบตัวเพื่อเอาชีวิตรอดแทน นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเรื่อง “ครอบครัว” ซึ่งลอยอยู่ในบทหนังตลอดเวลา เดคและไธอาพูดถึงพ่อ พี่ชาย น้องสาว และแม่ (ในหนัง Alien คอมพิวเตอร์แม่เรือถูกเรียกว่า MUTHER) ซึ่งทำให้เราเห็นว่าคำว่า “ครอบครัว” มีความหมายลึกซึ้งและหลอกลวงได้ยังไง ความแตกต่างระหว่างไธอาและเทสซาแสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็น “น้องสาว” แต่ก็อาจจะมีความคิดและจุดมุ่งหมายที่ต่างกันสุด ๆ
นอกจากนี้ยังมีสัตว์ตัวหนึ่งที่ชื่อ บัด (Bud) หน้าตาคล้ายลิงหน้าสุนัขตาโต ที่เข้ามาร่วมทีมกับเดคและไธอา บัดมักจะเลียนแบบท่าทางและพิธีกรรมของเดคเหมือนลูกเลียนแบบพ่อ ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์แบบครอบครัวที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
เอลล์ แฟนนิง (Elle Fanning) ในบท ไธอา และ เทสซา แสดงได้สุดยอดมาก ๆ เธอเล่นสองบทบาทในหนังเรื่องเดียวกัน ซึ่งเป็นความท้าทายใหญ่ ไธอาถูกนำเสนอเป็นตัวละครที่น่ารักแต่น่าสงสาร เธอช่างพูด ชอบถาม ชอบคุย เหมือนตัวละครของ ไดแอน คีตัน (Diane Keaton) ที่เป็นนักปรัชญาจอมพูด การที่ต้องอยู่กับเธอทำให้เดครู้สึกเหมือนถูกทรมานเพราะเธอไม่หยุดพูด ถามคำถามแปลก ๆ และชอบวิเคราะห์ทุกอย่าง แต่แฟนนิงก็ทำให้ไธอามีเสน่ห์น่ารัก และเรารู้สึกอยากปกป้องเธอเหมือนกัน เมื่อพวกเขาพบเทสซาและติดขาให้เธอกลับคืน เราจะเห็นว่าเทสซาเป็นคนละแบบกับไธอาโดยสิ้นเชิง เทสซาเป็นเหมือน “ตุ๊กตาที่เสีย” ไม่มีความรู้สึก ภักดีต่อบริษัทที่สร้างและฟื้นคืนชีพเธอ แต่ไธอากลับมองไม่เห็นความจริงนี้เพราะเธอ “มีมนุษยธรรม” มากเกินไป การแสดงแบบคู่กันของแฟนนิงในสองบทบาทนี้สุดยอดเท่ากับการแสดงของ ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ (Michael Fassbender) ในหนัง Alien: Covenant เลย
ดิมิเทรียส ชูสเตอร์-โคโลอามาแทงกี (Dimitrius Schuster-Koloamatangi) ในบท เดค แสดงได้ยอดเยี่ยมมาก แม้ว่าบทบาทนี้จะเป็นการแสดงแบบ ไม่ใช้คำพูดเป็นหลัก (Nonverbal) เพราะส่วนใหญ่ต้องใช้ภาษากายและการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงอารมณ์ เขาต้องสวมชุดพรีเดเตอร์หนักและทำ Motion Capture ตลอดการถ่ายทำ ซึ่งเป็นงานที่หนักมาก เขาถ่ายทอดความเป็นนักรบหนุ่มที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง ความโกรธ ความเจ็บปวด และในที่สุดก็เปลี่ยนแปลงเป็นคนที่เข้าใจความหมายของความแข็งแกร่งที่แท้จริงได้อย่างน่าประทับใจ การสร้างภาษาเยาท์จาที่เดคใช้ก็ทำโดยศิษย์ของคนที่สร้างภาษา Na’vi ในหนัง Avatar ทำให้ดูสมจริงและน่าเชื่อถือมาก
ตัวละครรอง ๆ อย่าง เควย (Kwei) พี่ชายของเดค แสดงโดย ไมค์ โฮมิค (Mike Homik) ก็แสดงได้ดี แม้จะมีฉากไม่เยอะ แต่เราก็รู้สึกถึงความขัดแย้งของเขาที่ต้องเลือกระหว่างภักดีต่อพ่อกับความรักที่มีต่อน้องชาย นอกจากนี้ยังมีตัวละครนักสำรวจเศรษฐีจากโลกที่มาเยือนดาวเจนนา ซึ่งบอกกับชาวเกาะว่าพวกเขาเป็นตัวอย่างของ ทฤษฎีดาร์วินเรื่องการอยู่รอดของคนที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งหนังจะแสดงให้เราเห็นว่า “แข็งแกร่งที่สุด” หมายถึงอะไรจริง ๆ

แดน แทรคเทนเบิร์ก (Dan Trachtenberg) พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่าเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่เก่งที่สุดสำหรับแฟรนไชส์ Predator หลังจากที่เขาทำหนัง Prey ให้ประสบความสำเร็จอย่างสูง และตามมาด้วยหนังแอนิเมชัน Predator: Killer of Killers การกำกับของเขามี “ความเป็นต้นฉบับแบบเวทมนต์” (Alchemical Originality) ที่แม้จะมีสถานการณ์และภาพที่แฟน ๆ คาดหวัง แต่ก็นำเสนอออกมาด้วยรูปแบบ โทนสี และภาพที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แทรคเทนเบิร์กทำให้หนัง Predator แต่ละเรื่องของเขาเป็นอิสระจากกัน แต่ยังคงมีความสม่ำเสมอแบบที่ จอร์จ เอ. โรเมโร (George A. Romero) ทำกับหนังซอมบี้ หรือ จอห์น วู (John Woo) ทำกับหนังแอ็คชั่นฮ่องกง
ภาพถ่ายโดย มาเทียส เฮิร์นด์ล (Mathias Herndl) สวยงามและน่าทึ่งมาก เขาแสดงให้เราเห็นว่าดาวฟลอเรอานา (ชื่อจริงของดาวเจนนา) ไม่ใช่ “เกาะสวรรค์” ที่สวยงามในโปสการ์ด แต่เป็นสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้ง โหดร้าย และไม่ยอมให้อภัย ภูมิทัศน์ของดาวดูท้าทายและอันตราย ไม่ใช่สวรรค์บนดินที่ตัวละครคาดหวัง การถ่ายภาพแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างฝันกับความเป็นจริง และทำให้เราเข้าใจว่าธรรมชาติไม่ได้อ่อนโยนแบบที่หลายคนคิด มันมี “เล็บและเขี้ยวที่ย้อมเลือด” เหมือนที่กวีเทนนิสันเคยเตือนไว้
เสียงประกอบของ ฮันส์ ซิมเมอร์ (Hans Zimmer) ช่วยสร้างความรู้สึกกังวลและตึงเครียดได้อย่างยอดเยี่ยม ดนตรีไม่ได้เน้นความสวยงามของดาว แต่กลับเน้นไปที่อันตรายและความโกลาหลที่ซ่อนอยู่ เสียงดนตรีเพิ่มความเข้มข้นให้กับทุกฉากแอ็คชั่นและความรู้สึกของตัวละคร
บทภาพยนตร์โดย โนอาห์ ปิงค์ (Noah Pink) และแดน แทรคเทนเบิร์ก เขียนได้แน่นมาก ทุกองค์ประกอบที่ปรากฏในตอนต้นจะกลับมาใช้ในตอนท้าย เหมือนหลักการของเชคอฟที่ว่า “ถ้าปืนปรากฏในฉากแรก มันต้องถูกยิงในฉากที่สาม” บทเรื่องเชื่อมโยงทุกอย่างได้อย่างลงตัว เหมือนเกม เตตริส (Tetris) ที่ชิ้นส่วนต่าง ๆ เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นและเข้ากันได้พอดี

Predator: Badlands ไม่ใช่แค่หนังแอ็คชั่นไซไฟธรรมดา มันเป็นหนังที่พูดถึงความหมายของ “ความเป็นมนุษย์” แม้จะไม่มีมนุษย์ปรากฏตัวเลยก็ตาม หนังเจาะลึกคำว่า “เครื่องมือ” “ครอบครัว” และ “ความอ่อนแอ” ไม่ใช่แค่เอามาขับเคลื่อนเรื่องหรือตกแต่งตัวละคร แต่แสดงให้เห็นว่าแนวคิดเหล่านี้สามารถใช้เพื่อป้องกันหรือโจมตี เปิดเผยความจริงหรือซ่อนความลับได้ยังไง การโต้ตอบระหว่างเดคและไธอาขยายมุมมองของทั้งคู่ ทำให้พวกเขาเห็นความหมายใหม่ ๆ และกล้าที่จะเลือกทางที่ไม่เคยคิดจะเลือกมาก่อน
ไธอาไม่เคยคิดว่าเทสซาเป็น “น้องสาว” จนกระทั่งเดคแนะนำคำนี้หลังจากเล่าเรื่องพี่ชายของเขาแบบสั้น ๆ ส่วนเดคไม่เคยตั้งคำถามกับภูมิปัญญาของการยึดติด “จรรยาบรรณนักรบ” ของเผ่าตัวเองจนกระทั่งไธอาจับได้ว่าเขากำลังเอาความเห็นอกเห็นใจ ความเศร้าโศก และแม้แต่ความทรงจำไปเท่ากับความอ่อนแอ เธอบอกเดคว่าเธอถูกโปรแกรมให้รู้สึกมีอารมณ์ เพราะมันช่วยเพิ่มโอกาสรอดของคนสังเคราะห์ การปลูกฝังความไว้วางใจทำให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ยินดีที่จะเปิดเผยความลับที่มีประโยชน์ เดคดูแปลกใจที่เธอพูดมีเหตุผลขนาดนั้น และเมื่อไธอาบอกเดคว่า “ฉันสามารถอยู่รอดคนเดียวได้ แต่ทำไมฉันต้องอยากอยู่รอดคนเดียว?” เดคก็เริ่มเข้าใจ
หนังยังพูดถึงความขัดแย้งระหว่างแรงกระตุ้นของมนุษย์ (หรือสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย) ที่อยากจะ “กลับสู่ธรรมชาติ” ที่สงบและสมบูรณ์แบบในจินตนาการ กับแรงกระตุ้นที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ด้วยการใช้เทคโนโลยีและความพยายามอย่างต่อเนื่อง หนังแสดงให้เห็นว่าไม่ว่ามนุษย์จะพยายามพิชิตธรรมชาติหรือกลับสู่ธรรมชาติ เราก็ยังคงมีลักษณะเดียวกับธรรมชาติที่โหดร้ายอยู่ดี
หนังยังเป็นการ รีเมคแนว Western ที่เข้ารหัสอย่างลึกซึ้ง อาจทำให้แฟน ๆ Clint Eastwood นึกถึงหนัง The Outlaw Josey Wales ที่เล่าเรื่องทหารผ่านศึกที่ขมขื่นและแค้นเคืองที่ยืนยันว่าเขาขี่ม้าคนเดียวและไม่ต้องการรับผิดชอบใคร แต่สุดท้ายก็สะสมพันธมิตรและคนพึ่งพิงตามเรื่องราวดำเนินไป ไธอาเล่าให้เดคฟังเกี่ยวกับแนวคิดของ “ฝูงหมาป่าที่นำโดยอัลฟา” แล้วบอกว่าคำนี้มักถูกเข้าใจผิดและนำไปใช้ผิด อัลฟาที่แท้จริง เธอบอก ไม่ใช่หมาป่าที่แข็งแกร่งที่สุด ดุร้ายที่สุด หรือรุนแรงที่สุดในฝูง แต่เป็นตัวที่ทำงานได้ดีที่สุดในการปกป้องส่วนที่เหลือ

Predator: Badlands (2025) คือหนังที่ทำลายกรอบและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับแฟรนไชส์ Predator ได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันไม่ใช่แค่หนังแอ็คชั่นไซไฟที่มีฉากต่อสู้สุดมันส์ แต่เป็นหนังที่มีเนื้อหาลึกซึ้ง ทำให้เราได้คิดทบทวนเกี่ยวกับความหมายของความแข็งแกร่ง ครอบครัว และความเป็นมนุษย์ การแสดงของเอลล์ แฟนนิงสุดยอดมาก โดยเฉพาะการเล่นสองบทบาทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ส่วนดิมิเทรียส ชูสเตอร์-โคโลอามาแทงกีก็ทำให้เดคเป็นตัวละครที่น่าจดจำและมีมิติมากกว่าที่คิด
ผู้กำกับแดน แทรคเทนเบิร์กพิสูจน์แล้วว่าเขาเข้าใจ DNA ของหนัง Predator ได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถต่อยอดให้มีความสดใหม่และน่าสนใจได้เสมอ ภาพที่สวยงามและน่าทึ่งของดาวเจนนา เสียงประกอบที่ทรงพลังจากฮันส์ ซิมเมอร์ และบทภาพยนตร์ที่แน่นและลงตัว ล้วนทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังไซไฟที่ดีที่สุดของปี 2025
สุดท้ายแล้ว Predator: Badlands เป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจแปลก ๆ เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตประเภทต่าง ๆ ที่ก้าวข้ามส่วนที่จำกัดของการโปรแกรม (ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมจริงหรือเปรียบเทียบ) และพิสูจน์ว่ามีมากกว่าที่คนอื่นคิด ข้อคิดที่ได้นั้นใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งจักรวาล: บางครั้งสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดก็ไม่คุ้มค่าที่จะมี และเมื่อเราคิดออก เราก็จะเป็นอิสระ
สำหรับใครที่ชื่นชอบหนังไซไฟที่มีเนื้อหาลึกซึ้ง หรือเป็นแฟน ๆ แฟรนไชส์ Predator มาตลอด หนังเรื่องนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด มันจะทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ของพรีเดเตอร์ และได้สัมผัสกับการผจญภัยที่ตื่นเต้นเร้าใจบนดาวที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์หนัง มาแชร์ความคิดเห็นกันในคอมเมนต์ว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เราคิดอย่างไรเกี่ยวกับความหมายของความแข็งแกร่งและความเป็นครอบครัว และอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อน ๆ ที่ชื่นชอบหนังไซไฟแอ็คชั่นที่เต็มไปด้วยความหมาย!
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: พรีเดเตอร์ แดนเถื่อน
- ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ: Predator: Badlands
- ประเภท: ไซไฟ, แอ็คชั่น, ผจญภัย, ระทึกขวัญ
- วันที่ออกฉาย: 6 พฤศจิกายน 2025
- นักแสดงนำ: เอลล์ แฟนนิง (Elle Fanning), ดิมิเทรียส ชูสเตอร์-โคโลอามาแทงกี (Dimitrius Schuster-Koloamatangi), ไมค์ โฮมิค (Mike Homik)
- ผู้กำกับ: แดน แทรคเทนเบิร์ก (Dan Trachtenberg)
- ผู้เขียนบท: แดน แทรคเทนเบิร์ก, แพทริค ไอสัน (Patrick Aison)
- ความยาว: 1 ชั่วโมง 47 นาที
- เรตติ้ง Rotten Tomatoes: 89%
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: โรงภาพยนตร์
![[รีวิว-เรื่องย่อ] เดอะ มาร์เชียน กู้ตาย 140 ล้านไมล์ | The Martian (2015)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/09/Review-The-Martian-2015.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] เดอะ สนีทเชส โดยดร.ซูสส์ | Dr. Seuss's The Sneetches (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-Dr.-Seusss-The-Sneetches-2025.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] ไซโค | Psycho (1960) หนังสยองขวัญคลาสสิก](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/09/Review-Psycho-1960.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] ฆาตกรรมรักหลังเขา | Decision to Leave (2022)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/09/Review-Decision-to-Leave-2022.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] สุดยอดคุณครู | The Greatest Teacher (2023)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-The-Greatest-Teacher-2023.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] ฝูงค้างคาวฉลามสยองจักรวาล | Pitch Black (2000)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/09/Review-Pitch-Black-2000.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] มหาลัยคลั่ง | Zomvivor (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-Zomvivor-2025.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] แค้นฝังหุ่น | Child's Play (1988)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/09/Review-Childs-Play-1988.webp)