รีวิวหนังเกาหลี

[รีวิว-เรื่องย่อ] อุโมงค์มรณะ | Tunnel (2016)

  • Tunnel เป็นหนังเกาหลีปี 2016 ที่สร้างจากเรื่องจริงของภัยพิบัติอุโมงค์ถล่ม แต่เน้นดราม่ามนุษย์มากกว่าฉากแอ็กชันระเบิดภูเขา
  • การแสดงของฮา จุงวู ในบทลี จุงซู โดดเด่น สื่อความเป็นพ่อบ้านธรรมดาที่ต้องเอาชีวิตรอดอย่างสมจริง
  • หนังสำรวจธีมความโลภ สื่อมวลชน และการเมืองที่ใช้ภัยพิบัติเป็นเครื่องมือหากำไร
  • ผู้กำกับคิม ซองฮุน นำเสนอเรื่องราวด้วยอารมณ์ขันผสมความตึงเครียด ทำให้หนังไม่น่าเบื่อแม้ฉากส่วนใหญ่จะอยู่ในอุโมงค์มืดๆ

เราเคยคิดไหมว่าถ้าติดอยู่ในอุโมงค์ถล่ม แล้วรอความช่วยเหลือจากโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว จะรู้สึกยังไง? หนัง Tunnel (2016) จากเกาหลีใต้ พาเราไปสัมผัสชีวิตจริงของผู้ชายธรรมดาที่กลายเป็นเหยื่อของระบบสังคมสุดห่วย หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ภัยพิบัติแบบฮอลลีวูดที่เต็มไปด้วยฮีโร่ช่วยโลก แต่เป็นดราม่าที่สะท้อนความจริงโหดร้ายของมนุษย์ เมื่อภัยพิบัติกลายเป็นข่าวขายดีแค่ช่วงสั้นๆ แล้วทุกคนก็ลืมกันหมด

เรื่องราวเริ่มจาก ลี จุงซู (แสดงโดย ฮา จุงวู) ชายขายรถธรรมดาที่กำลังขับรถกลับบ้านเพื่อฉลองวันเกิดลูกสาว แต่จู่ๆ อุโมงค์ก็ถล่มลงมาขังเขาไว้ในรถกับเศษหินมหึมา เขาโทรขอความช่วยเหลือ แต่การช่วยชีวิตกลับชักช้าจนกลายเป็นเรื่องยาว หนังกำกับโดย คิม ซองฮุน ผู้กำกับจาก A Hard Day ที่เปลี่ยนแนวภัยพิบัติให้กลายเป็นดราม่ามนุษย์ โดยมีภรรยาของเขา เซฮยอน (เบ ดูนา) และหัวหน้าทีมช่วยเหลือ แดกยอง (โอ ดัลซู) เป็นตัวละครหลักที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสังคม

ในบทความนี้ เราจะพาไปเจาะลึกทุกมุมของ หนังอุโมงค์มรณะ ตั้งแต่การแสดงที่ทำให้เราอินสุดๆ ไปจนถึงข้อความลึกซึ้งที่หนังอยากบอกเกี่ยวกับสังคมมนุษย์ มาดูกันว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้เรามองภัยพิบัติในมุมใหม่ยังไง โดยไม่ตกหลุมพรางคลิเช่แบบหนังภัยพิบัติทั่วไป

รีวิวและเรื่องย่ออุโมงค์มรณะ (Tunnel)

อุโมงค์มรณะ เล่าเรื่องของ ลี จุงซู ชายขายรถธรรมดาที่ขับรถผ่านอุโมงค์เพื่อกลับบ้านฉลองวันเกิดลูกสาว แต่จู่ๆ อุโมงค์ก็ถล่มลงมาขังเขาไว้ในรถกับเศษหินและความมืดมิด เขาโทรหาตำรวจและภรรยา แต่การช่วยเหลือกลับช้าอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะปัญหาจากโครงสร้างอุโมงค์ที่สร้างแบบลวกๆ หนังไม่เน้นฉากระเบิดตูมตาม แต่โฟกัสที่ความรู้สึกโดดเดี่ยวของตัวละครหลัก ซึ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนติดอยู่ในนั้นด้วยกัน

เรื่องราวขยายไปยังโลกภายนอก ที่ภรรยาเซฮยอนต้องต่อสู้กับสื่อที่หิวข่าวและนักการเมืองที่ใช้เหตุการณ์นี้หาเสียง การช่วยเหลือกลายเป็นเรื่องการเมืองมากกว่าชีวิตคน หนังแสดงให้เห็นว่าความโลภและการแสวงหาผลประโยชน์ทำให้ภัยพิบัติที่ควรแก้ไขด่วน กลายเป็นข่าวที่ถูกลืมเมื่อคนเบื่อ แม้จะมีอารมณ์ขันแทรกมาแบบไม่คาดคิด แต่ก็ช่วยให้หนังไม่เครียดเกินไป เหมือนชีวิตจริงที่ยังมีมุกตลกแม้ในสถานการณ์แย่ๆ

หัวหน้าทีมช่วยเหลือแดกยองพยายามอย่างสุดตัว แต่ต้องเจอกับอุปสรรคจากบริษัทก่อสร้างที่กลัวเสียเงิน และสื่อที่เปลี่ยนจากฮีโร่เป็นตัวร้ายในพริบตา หนังทำให้เราถามตัวเองว่าถ้าเป็นเรา เราจะทำยังไงถ้าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเพราะระบบสังคมที่เน่าเฟะ

การแสดงของ ฮา จุงวู ในบทลี จุงซู คือจุดเด่นสุดๆ เขาเล่นเป็นพ่อบ้านธรรมดาที่ไม่ใช่ฮีโร่ แต่แค่พยายามเอาชีวิตรอดด้วยสติและความหวังเล็กๆ ฉากที่เขาคุยโทรศัพท์กับภรรยา หรือแบ่งปันอาหารกับสุนัขที่ติดมาด้วย ทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่แค่ตัวละครในหนังภัยพิบัติ ฮา จุงวูถ่ายทอดความกลัว ความเบื่อ และความตลกขื่นๆ ได้อย่างลงตัว เหมือนเพื่อนเราที่เล่าเรื่องแย่ๆ แต่ยังยิ้มได้

เบ ดูนา ในบทเซฮยอน ภรรยาที่ต้องรับมือกับสื่อและนักการเมือง ก็เล่นได้น่าประทับใจ เธอไม่ใช่ผู้หญิงร้องไห้ฟูมฟาย แต่เป็นคนเข้มแข็งที่ต่อสู้เพื่อสามี ฉากที่เธอโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่ ทำให้เรารู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมของระบบ การแสดงของเธอช่วยให้หนังมีมิติทางอารมณ์มากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งเอฟเฟกต์พิเศษ

โอ ดัลซู ในบทแดกยอง หัวหน้าทีมช่วยเหลือ ก็เพิ่มสีสันด้วยการเล่นเป็นคนธรรมดาที่ติดอยู่ในระบบราชการ เขาพยายามช่วยแต่ต้องเจอแรงกดดันจากเบื้องบน การโต้ตอบระหว่างตัวละครเหล่านี้ทำให้หนังเหมือนละครชีวิตจริง ที่ทุกคนมีข้อจำกัดของตัวเอง

หนังสำรวจธีมความโลภและการแสวงหาผลประโยชน์จากภัยพิบัติ โดยไม่ใช่แค่ตัวร้ายชัดๆ แต่เป็นระบบสังคมทั้งหมดที่ทำให้คนธรรมดาต้องทนทุกข์ สื่อมวลชนที่หิวข่าวตอนแรก แต่พอคนเบื่อก็โยนทิ้ง นักการเมืองที่ใช้เหตุการณ์หาเสียงแต่ไม่แก้ปัญหาจริงๆ ทำให้เราคิดถึงภัยพิบัติในชีวิตจริงที่ถูกทำให้เป็นแค่ข่าวสั้นๆ หนังเปรียบเหมือนอุโมงค์ที่ถล่ม เหมือนสังคมที่สร้างแบบลวกๆ แล้วพังทลายลงมาเมื่อเผชิญปัญหา

นอกจากนี้ หนังยังผสมอารมณ์ขันแบบเบาๆ เพื่อไม่ให้เครียดเกิน เช่น ฉากที่จุงซูคุยกับสุนัข หรือฟังวิทยุที่รายงานข่าวผิดๆ มันทำให้หนังมี burstiness ในอารมณ์ สลับระหว่างตึงเครียดและตลกขื่นๆ โดยไม่เสียรายละเอียดของเรื่อง ธีมหลักคือมนุษย์ธรรมดาที่ต้องเผชิญสถานการณ์สุดโต่ง และพบว่าศัตรูตัวจริงคือความเห็นแก่ตัวของสังคม

หนังไม่ได้พยายามทำตัวเป็นภาพตระการตา แต่กลับเน้นความธรรมดาของภัยพิบัติ ที่เมื่อเวลาผ่านไปก็กลายเป็นเรื่องชินชา มันตั้งคำถามเชิงวาทศิลป์ว่า ถ้าชีวิตของใครบางคนไม่เป็นข่าวดัง แล้วจะมีใครสนใจช่วยเหลือจริงๆ ไหม?

ผู้กำกับ คิม ซองฮุน เปลี่ยนแนวภัยพิบัติให้กลายเป็นดราม่ามนุษย์ โดยไม่ต้องพึ่งฉากแอ็กชันใหญ่โต เขาเลือกโฟกัสที่ตัวละครและสังคมรอบข้าง ทำให้หนังเต็มไปด้วยความคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรต่อไป ฉากในอุโมงค์ถูกถ่ายทำให้รู้สึกอึดอัด แต่แทรกอารมณ์ขันเพื่อให้ดูเพลิดเพลิน เหมือนชีวิตจริงที่ยังมีเรื่องตลกเกิดขึ้นได้แม้ในความมืดมิด

เทคนิคถ่ายทำเน้นความสมจริง โดยไม่ใช้ CGI มากเกินไป ทำให้เรารู้สึกถึงความอึดอัดจริงๆ การตัดต่อสลับระหว่างโลกในอุโมงค์และภายนอก ช่วยสร้างความตึงเครียดที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น เหมือนเกมรอคอยที่ไม่รู้จุดจบ หนังเรื่องนี้พิสูจน์ว่าดราม่าดีๆ ไม่ต้องพึ่งเอฟเฟกต์แพงๆ แค่เรื่องราวที่ใกล้ตัวก็พอ

เสียงประกอบและดนตรีช่วยเสริมอารมณ์ โดยไม่กลบเรื่องราว มันทำให้หนังไหลลื่นเป็นธรรมชาติ เหมือนฟังเพลงที่เข้ากับบรรยากาศของแต่ละฉาก

อุโมงค์มรณะ (Tunnel 2016) เป็นหนังที่ทำให้เราตั้งคำถามกับสังคมที่เห็นแก่ตัว เมื่อภัยพิบัติกลายเป็นแค่ข่าวชั่วคราว หนังแสดงให้เห็นว่าฮีโร่จริงๆ ไม่ใช่คนกล้าหาญ แต่เป็นคนธรรมดาที่พยายามเอาชีวิตรอดท่ามกลางระบบที่เน่าเฟะ มันเตือนเราว่าความโลภและสื่อสามารถทำลายชีวิตคนได้มากกว่าภัยพิบัติเอง

สำหรับใครที่ชอบ หนังดราม่าเกาหลี ที่มีเนื้อหาลึกซึ้งแต่ดูเพลิน ไม่ควรพลาดเรื่องนี้เลย มันจะทำให้เราคิดถึงการอยู่ร่วมกันในสังคม และถ้าเจอภัยจริงๆ เราจะช่วยเหลือกันยังไง มาแชร์ความคิดเห็นในคอมเมนต์ว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกยังไงกับสื่อและการเมืองบ้าง แล้วอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่ชอบหนังแนวเอาชีวิตรอดและดราม่าจิตวิทยา!

หนังเรื่องนี้เหมาะสำหรับการดูบนมือถือ ด้วยโครงสร้างเรื่องที่เรียบง่ายแต่ยังดึงดูดความสนใจ ใช้ประโยคเชิงกระทำและภาษาที่อ่านง่าย เพื่อให้อ่านสนุกบนหน้าจอเล็ก

  • ชื่อเรื่องในภาษาไทย: อุโมงค์มรณะ
  • ประเภท: ดราม่า, ระทึกขวัญ, เอาชีวิตรอด
  • วันที่ออกฉาย: 10 สิงหาคม 2559
  • นักแสดงนำ: ฮา จุงวู (Ha Jung-woo), เบ ดูนา (Bae Doona), โอ ดัลซู (Oh Dal-su)
  • ผู้กำกับ: คิม ซองฮุน (Kim Seong-hun)
  • ความยาว: 2 ชั่วโมง 6 นาที
  • เรตติ้ง IMDb: 6.8/10
  • ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button