สุขภาพ

ไมโครพลาสติก (Microplastics) อันตรายที่มองไม่เห็นในชีวิตประจำวัน

  • ไมโครพลาสติก คือชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร ที่แพร่กระจายอยู่ทั่วไปในสิ่งแวดล้อมและสามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้หลายทาง
  • เกิดจากทั้งการผลิตโดยตรง (พลาสติกชนิดปฐมภูมิ) และการย่อยสลายของพลาสติกชิ้นใหญ่ (พลาสติกชนิดทุติยภูมิ) โดยแหล่งที่สำคัญคือเสื้อผ้า ยางรถยนต์ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายด้าน รวมถึงระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบสืบพันธุ์ และระบบทางเดินอาหาร พร้อมเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง
  • สามารถแก้ไขได้ด้วยการลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนนโยบายที่ควบคุมมลพิษพลาสติก

ใครจะคิดว่าในทุกๆ วันที่เรากำลังกินอาหาร ดื่มน้ำ หรือแม้แต่หายใจเข้าไป จริงๆ แล้วอาจมีชิ้นส่วนพลาสติกเล็กๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแอบแฝงเข้ามาในร่างกายเราด้วย ไมโครพลาสติก หรือพลาสติกขนาดจิ๋วเหล่านี้กำลังกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของโลกยุคใหม่ งานวิจัยล่าสุดพบว่าอนุภาคพลาสติกขนาดเล็กเหล่านี้ถูกตรวจพบในอวัยวะต่างๆ ของมนุษย์ รวมถึงสมอง หัวใจ และแม้กระทั่งในรก

ที่น่ากังวลก็คือ Microplastics ไม่ได้มาจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งเท่านั้น แต่มันกระจายตัวอยู่ทั่วไปในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ตั้งแต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ ยางรถยนต์ที่ขับทุกวัน ไปจนถึงเครื่องสำอางที่ใช้ประจำ ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากชีวิตประจำวันของเราเลย แต่กลับแฝงตัวอยู่ในทุกมุมที่เราอาจไม่เคยนึกถึง

บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กอย่างละเอียด ตั้งแต่มันคืออะไร เกิดจากอะไร มีผลกระทบอย่างไรต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญคือเรามีแนวทางอะไรบ้างที่จะช่วยลดปัญหานี้ได้ มาเริ่มต้นทำความเข้าใจกับภัยเงียบที่มองไม่เห็นนี้กันเลย

ไมโครพลาสติก (Microplastics) คืออะไร

ไมโครพลาสติก (Microplastics) หมายถึงอนุภาคหรือชิ้นส่วนของพลาสติกที่มีขนาดเล็กมาก โดยทั่วไปจะมีความยาวน้อยกว่า 5 มิลลิเมตร หรือประมาณขนาดเมล็ดงา อนุภาคพลาสติกขนาดจิ๋วเหล่านี้มีรูปร่างที่หลากหลาย ทั้งแบบกลม ทรงกระบอก หรือไม่มีรูปทรงที่แน่นอน และสามารถกระจายตัวได้ทั่วไปในสิ่งแวดล้อม ทั้งในน้ำ ดิน อากาศ และแม้กระทั่งในอาหารที่เรารับประทาน

โครงสร้างของ ไมโครพลาสติก ประกอบด้วยอะตอมของคาร์บอนและไฮโดรเจนที่เชื่อมต่อกันเป็นสายโซ่โพลิเมอร์ นอกจากนี้ยังมีสารเคมีอื่นๆ ผสมอยู่ด้วย เช่น ฟทาเลต (phthalates) โพลีโบรมิเนเต็ดไดฟีนิลอีเธอร์ (PBDEs) และเตตระโบรโมบิสฟีนอล A (TBBPA) ซึ่งสารเคมีเสริมเหล่านี้มักจะหลุดออกมาจากพลาสติกหลังจากที่เข้าสู่สิ่งแวดล้อมแล้ว จุดนี้เองที่ทำให้ไมโครพลาสติกไม่เพียงแค่เป็นปัญหาในแง่ของชิ้นส่วนพลาสติกเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งปล่อยสารเคมีที่อาจเป็นพิษได้อีกด้วย

ที่น่าตกใจคือ ปริมาณของ Microplastics ในมหาสมุทรทั่วโลกมีมากถึง 51 ล้านล้านชิ้น ซึ่งมากกว่าจำนวนดาวในกาแล็กซีของเราถึง 500 เท่า ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงขนาดของปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได้พบอนุภาคเหล่านี้แทบทุกที่บนโลก ตั้งแต่บนยอดเขาสูงไปจนถึงก้นมหาสมุทรลึก

คำว่า “ไมโคร” ในชื่อของมันแสดงให้เห็นถึงขนาดที่เล็กมาก บางชนิดเล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ความเล็กนี้เองที่ทำให้มันสามารถแพร่กระจายได้ง่าย แทรกซึมเข้าไปในระบบนิเวศต่างๆ และที่น่ากังวลก็คือสามารถเข้าสู่ร่างกายของสิ่งมีชีวิตรวมถึงมนุษย์ได้โดยไม่รู้ตัว การที่อนุภาคพลาสติกเหล่านี้มีขนาดเล็กมากทำให้การกำจัดหรือกรองออกจากระบบต่างๆ เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก

อินโฟกราฟิกไมโครพลาสติก แสดงแหล่งที่มาและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมนุษย์

ไมโครพลาสติกมีกี่ประเภท

ไมโครพลาสติก สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามแหล่งที่มา คือ ไมโครพลาสติกชนิดปฐมภูมิ (Primary Microplastics) และไมโครพลาสติกชนิดทุติยภูมิ (Secondary Microplastics) การเข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสองประเภทนี้เป็นสิ่งสำคัญในการหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหา

ไมโครพลาสติกชนิดปฐมภูมิคือพลาสติกที่ถูกผลิตให้มีขนาดเล็กตั้งแต่แรกโดยเจตนา ประเภทนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15-31% ของ Microplastics ที่พบในมหาสมุทร ตัวอย่างที่พบบ่อยได้แก่ เม็ดพลาสติกขนาดเล็ก (microbeads) ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ เช่น ครีมขัดหน้า ยาสีฟัน และเจลอาบน้ำ นอกจากนี้ยังมีเม็ดพลาสติกอุตสาหกรรม (nurdles) ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกต่างๆ และเส้นใยสังเคราะห์จากเสื้อผ้าเช่นไนลอนและโพลีเอสเตอร์

แหล่งที่มาสำคัญที่สุดของไมโครพลาสติกชนิดปฐมภูมิคือการซักเสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยสังเคราะห์ ซึ่งคิดเป็น 35% ของ ไมโครพลาสติก ชนิดปฐมภูมิทั้งหมด รองลงมาคือการสึกหรอของยางรถยนต์ขณะขับขี่ที่คิดเป็น 28% และไมโครบีดส์ในเครื่องสำอางที่คิดเป็น 2% ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าปัญหาส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่ดูเหมือนจะไม่เป็นอันตราย

ในทางตรงกันข้าม ไมโครพลาสติกชนิดทุติยภูมิเกิดจากการย่อยสลายของพลาสติกชิ้นใหญ่ที่ถูกทิ้งลงสู่สิ่งแวดล้อม ประเภทนี้คิดเป็นสัดส่วน 69-81% ของไมโครพลาสติกที่พบในมหาสมุทร กระบวนการย่อยสลายเกิดขึ้นเมื่อพลาสติกขนาดใหญ่ เช่น ถุงพลาสติก ขวดน้ำ หรืออวนประมง ถูกทำลายลงเป็นชิ้นเล็กๆ ผ่านการกระทำของคลื่น ลม และรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กที่เกิดขึ้นจากกระบวนการนี้มักจะมีรูปร่างที่ไม่แน่นอนและกระจายตัวได้กว้างขวางในสิ่งแวดล้อม

แหล่งที่มาอื่นๆ ของ Microplastics ชนิดทุติยภูมิรวมถึงขยะพลาสติกจากบรรจุภัณฑ์อาหาร ภาชนะไมโครเวฟ ถุงชา และเศษยางรถยนต์ สิ่งเหล่านี้ล้วนสลายตัวช้ามากและสามารถคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายร้อยปี ทำให้ ไมโครพลาสติก สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ในระบบนิเวศต่างๆ รอบโลก

ไมโครพลาสติกเกิดจากอะไร

แหล่งกำเนิดของ ไมโครพลาสติก นั้นหลากหลายและมาจากกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่เราอาจไม่ได้ตระหนักถึง การซักเสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยสังเคราะห์เป็นแหล่งที่สำคัญที่สุดแหล่งหนึ่ง เพราะทุกครั้งที่ซักเสื้อผ้าที่ทำจากโพลีเอสเตอร์ ไนลอน หรือเส้นใยสังเคราะห์อื่นๆ จะมีเส้นใยพลาสติกขนาดเล็กหลุดออกมาผสมกับน้ำทิ้งและไหลออกสู่แหล่งน้ำ งานวิจัยพบว่าการซักผ้าแต่ละครั้งสามารถปล่อยเส้นใยสังเคราะห์ออกมาได้หลายแสนเส้น

ยางรถยนต์เป็นอีกหนึ่งแหล่งสำคัญของ ไมโครพลาสติก เมื่อรถยนต์วิ่งไปบนถนน ยางจะค่อยๆ สึกหรอและปล่อยอนุภาคพลาสติกขนาดเล็กกระจายลงบนพื้นถนน เมื่อฝนตก อนุภาคเหล่านี้จะถูกชะล้างไปตามน้ำฝนและไหลเข้าสู่ท่อระบายน้ำ ลำธาร และในที่สุดก็ไปสู่มหาสมุทร การศึกษาพบว่ายางรถยนต์มีส่วนทำให้เกิดไมโครพลาสติกถึง 28% ของปริมาณทั้งหมดในมหาสมุทร

ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณและเครื่องสำอางหลายชนิดมีการเติมไมโครบีดส์หรือเม็ดพลาสติกขนาดเล็กเพื่อใช้เป็นสารขัดผิว เมื่อล้างหน้าหรืออาบน้ำ เม็ด Microplastics เหล่านี้จะถูกชะล้างลงในระบบน้ำเสียและผ่านไปยังแหล่งน้ำธรรมชาติ เนื่องจากโรงงานบำบัดน้ำเสียส่วนใหญ่ไม่สามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กเหล่านี้ออกได้หมด แม้ว่าหลายประเทศจะเริ่มมีการห้ามใช้ไมโครบีดส์แล้ว แต่ผลิตภัณฑ์เก่าที่ยังคงใช้อยู่ยังคงเป็นแหล่งของปัญหา

อุตสาหกรรมการผลิตพลาสติกเองก็เป็นแหล่งของชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กอีกทางหนึ่ง เม็ดพลาสติกอุตสาหกรรมหรือที่เรียกว่า “nurdles” ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกต่างๆ มักจะหกหล่นหรือรั่วไหลในระหว่างการขนส่งและการผลิต เม็ดเล็กๆ เหล่านี้มีขนาดเพียง 2-5 มิลลิเมตร และสามารถหลุดออกสู่สิ่งแวดล้อมได้ง่าย ทำให้กลายเป็นแหล่งมลพิษที่สำคัญในพื้นที่ใกล้โรงงานผลิตพลาสติก

พลาสติกขนาดใหญ่ที่ถูกทิ้งลงสู่สิ่งแวดล้อมก็เป็นต้นกำเนิดของ Microplastics ชนิดทุติยภูมิ เมื่อขวดพลาสติก ถุงพลาสติก หรือภาชนะพลาสติกต่างๆ ถูกทิ้งลงในธรรมชาติ มันจะค่อยๆ แตกสลายเป็นชิ้นเล็กลงเรื่อยๆ ผ่านอิทธิพลของแสงแดด อุณหภูมิ และการเสียดสีจากคลื่นหรือลม กระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายปีหรือหลายสิบปี แต่ในที่สุดพลาสติกทุกชิ้นที่ถูกทิ้งก็จะกลายเป็นไมโครพลาสติกในสิ่งแวดล้อม

บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่สำคัญ ขวดน้ำพลาสติก ถ้วยกาแฟพลาสติก และภาชนะบรรจุอาหารต่างๆ ล้วนมีส่วนทำให้เกิดชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กทั้งจากการย่อยสลายและจากการที่อนุภาคพลาสติกหลุดออกมาจากภาชนะเข้าไปในอาหารและเครื่องดื่มโดยตรง การใช้ภาชนะพลาสติกในไมโครเวฟยิ่งทำให้ปัญหาเลวร้ายขึ้นเพราะความร้อนช่วยให้อนุภาคพลาสติกหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น

ผลกระทบและอันตรายของไมโครพลาสติก

ผลกระทบของ ไมโครพลาสติก ต่อสุขภาพมนุษย์กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก งานวิจัยล่าสุดพบอนุภาคพลาสติกในอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ รวมถึงสมอง อัณฑะ หัวใจ กระเพาะอาหาร ต่อมน้ำเหลือง และรก นอกจากนี้ยังพบใน ปัสสาวะ นม แม่ กระแส เชื้อ อสุจิ และแม้กระทั่งในอุจจาระแรกของทารกแรกเกิด นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า “เราเกิดมาพร้อมกับมลพิษแล้ว” (We’re born pre-polluted)

การศึกษาในสัตว์ทดลองและระดับเซลล์พบว่าชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงการอักเสบ ระบบภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง เนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพ การทำงานของเมแทบอลิซึมที่ผิดปกติ การพัฒนาของอวัยวะที่ผิดปกติ และความเสียหายของเซลล์ การทบทวนวรรณกรรมขนาดใหญ่โดยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก พบว่าการสัมผัสกับไมโครพลาสติกมีความสงสัยว่าจะทำอันตรายต่อสุขภาพระบบสืบพันธุ์ ระบบทางเดินอาหาร และระบบทางเดินหายใจ

หนึ่งในงานวิจัยที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับความเสี่ยงของ Microplastics ในมนุษย์ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร The New England Journal of Medicine ในเดือนมีนาคม 2024 ได้ศึกษาผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดเพื่อเอาคราบไขมันออกจากหลอดเลือดแดง ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่มีไมโครพลาสติกในคราบไขมันมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเกิดโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และการเสียชีวิตเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีไมโครพลาสติก การค้นพบนี้เป็นหลักฐานโดยตรงแรกๆ ที่แสดงให้เห็นว่าไมโครพลาสติกอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของมนุษย์

การวิจัยของ Dr. Juyong Brian Kim ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่ Stanford Medicine พบว่า ไมโครพลาสติก และนาโนพลาสติกสามารถเข้าไปภายในเซลล์และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการแสดงออกของยีน การค้นพบนี้บ่งชี้ว่าอนุภาคเหล่านี้มีส่วนทำให้โรคหลอดเลือดดำเนินไปอย่างรุนแรงขึ้น ซึ่งเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการศึกษาผลกระทบของมัน

นอกจากผลกระทบโดยตรงจากตัวพลาสติกแล้ว สารเคมีที่มาพร้อมกับ Microplastics ก็เป็นอันตรายเช่นกัน พลาสติกมักประกอบด้วยสารเติมแต่งต่างๆ เช่น BPA ฟทาเลต และโลหะหนัก ซึ่งเป็นที่รู้จักหรือมีความสงสัยว่าจะทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบอื่นๆ สารเคมีเหล่านี้สามารถหลุดออกจากอนุภาคพลาสติกเมื่อเข้าสู่ร่างกายและก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพเพิ่มเติม

งานวิจัยยังพบว่า Microplasticsอาจทำให้พิษของสารพิษอื่นๆ รุนแรงขึ้น เช่น เมื่อมีการสัมผัสกับแคดเมียมร่วมกับไมโครพลาสติก พิษจะรุนแรงกว่าการสัมผัสแต่เพียงแคดเมียมอย่างเดียว นอกจากนี้ยังมีข้อบ่งชี้ว่าไมโครพลาสติกสามารถพาเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะและเชื้อโรคอื่นๆ บนพื้นผิวของมันเข้าสู่ร่างกายเราได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อที่รักษายากขึ้น

ผลกระทบต่อระบบนิเวศและสัตว์ป่าก็ไม่ควรมองข้ามชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กถูกพบในสัตว์ทะเลหลายชนิด ตั้งแต่แพลงก์ตอนไปจนถึงปลาและนก การศึกษาพบว่าไมโครพลาสติกทำให้ปลาและนกมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น สัตว์เหล่านี้อาจกินไมโครพลาสติกแทนอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตและการอยู่รอดของพวกมัน และในที่สุดก็ส่งผลต่อห่วงโซ่อาหารทั้งหมดรวมถึงมนุษย์ด้วย

แนวทางการแก้ไขและลดปัญหาไมโครพลาสติก

การแก้ไขปัญหา Microplastics ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งระดับนโยบาย อุตสาหกรรม และพฤติกรรมของแต่ละคน แนวทางแรกที่สำคัญคือการป้องกันที่ต้นทางโดยการลดการผลิตและใช้พลาสติกตั้งแต่แรก การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่เน้นการลด การนำกลับมาใช้ใหม่ และการรีไซเคิลจะช่วยให้วัสดุพลาสติกอยู่ในวงจรการใช้งานนานที่สุด การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ทนทานและรีไซเคิลได้ง่ายเป็นกุญแจสำคัญในการลดปริมาณขยะพลาสติกที่จะกลายเป็นไมโครพลาสติกในอนาคต

นโยบายระดับรัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการลดปัญหาชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กหลายประเทศได้เริ่มมีการห้ามใช้ไมโครบีดส์ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณและเครื่องสำอาง เช่น สหรัฐอเมริกาและแคนาดา สหภาพยุโรปได้ดำเนินการห้ามใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวบางชนิดและส่งเสริมการใช้พลาสติกรีไซเคิล นโยบายความรับผิดชอบของผู้ผลิตแบบขยาย (Extended Producer Responsibility – EPR) กำหนดให้ผู้ผลิตรับผิดชอบการจัดการผลิตภัณฑ์ของตนเองเมื่อหมดอายุการใช้งาน ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ทนทานและรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น

การปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญ แม้ว่าโรงงานบำบัดน้ำเสียปัจจุบันสามารถดักจับ ไมโครพลาสติก ได้บางส่วน แต่ยังมีอนุภาคจำนวนมากที่ลอดผ่านไปได้ การพัฒนาเทคโนโลยีการกรองที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นจะช่วยลดปริมาณไมโครพลาสติกที่ปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ นอกจากนี้การจัดการน้ำฝนและน้ำท่าที่ดีขึ้น รวมถึงการกวาดถนนและเก็บอนุภาคก่อนที่จะไหลลงสู่แหล่งน้ำก็มีความสำคัญ

ระดับอุตสาหกรรมและการผลิต บริษัทต่างๆ สามารถลดการปล่อย Microplastics ได้โดยการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนทำให้เกิดไมโครพลาสติกน้อยลง เช่น การผลิตเสื้อผ้าที่ปล่อยเส้นใยสังเคราะห์น้อยลง การพัฒนายางรถยนต์ที่สึกหรอน้อยลง และการติดตั้งตัวกรองไมโครไฟเบอร์ในเครื่องซักผ้า ผู้ผลิตเครื่องสำอางควรหันไปใช้สารขัดผิวจากธรรมชาติแทนไมโครบีดส์พลาสติก สำหรับโรงงานที่ใช้เม็ดพลาสติกอุตสาหกรรม การมีมาตรการป้องกันการหกรั่วไหลที่เข้มงวดจะช่วยลดการปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม

ในระดับบุคคล ทุกคนสามารถมีส่วนช่วยลดปัญหา ไมโครพลาสติก ได้ การลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว เช่น ขวดน้ำ ถุงพลาสติก และหลอดพลาสติก เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี การเลือกใช้เสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติเช่นฝ้ายหรือลินินแทนเส้นใยสังเคราะห์จะช่วยลดการปล่อยไมโครไฟเบอร์เมื่อซักผ้า การใช้ถุงผ้าซักผ้าที่ออกแบบมาเพื่อดักจับเส้นใยสังเคราะห์หรือติดตั้งตัวกรองไมโครไฟเบอร์ในเครื่องซักผ้าก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ

การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและไม่มีไมโครบีดส์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ Microplastics สามารถลดลงได้ การอ่านฉลากผลิตภัณฑ์และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ “polyethylene” หรือ “polypropylene” ซึ่งเป็นชนิดของไมโครบีดส์ นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติกในไมโครเวฟ การเลือกใช้ภาชนะแก้วหรือสแตนเลส และการดื่มน้ำกรองแทนน้ำในขวดพลาสติกก็ช่วยลดการสัมผัสกับไมโครพลาสติกได้

นักวิทยาศาสตร์กำลังพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ เพื่อแก้ไขปัญหา ไมโครพลาสติก รวมถึงการค้นคว้าจุลินทรีย์ที่สามารถย่อยสลายพลาสติกได้ การพัฒนาวัสดุทางเลือกที่ย่อยสลายได้ และเทคโนโลยีการบำบัดที่สามารถกำจัดไมโครพลาสติกออกจากน้ำและดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยเหล่านี้ให้ความหวังว่าในอนาคตเราจะมีเครื่องมือที่ดีกว่าในการจัดการกับปัญหานี้

ทิ้งท้าย

ไมโครพลาสติก เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ร้ายแรงและซับซ้อนที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน อนุภาคพลาสติกขนาดจิ๋วเหล่านี้แพร่กระจายอยู่ทั่วไปในสิ่งแวดล้อมและสามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้หลายทาง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในหลายระบบของร่างกาย หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างไมโครพลาสติกกับโรคหัวใจและหลอดเลือด ปัญหาระบบสืบพันธุ์ และโรคเรื้อรังอื่นๆ

แม้ว่าปัญหาจะดูใหญ่โตและท่วมท้น แต่ทุกคนสามารถมีส่วนช่วยได้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการสนับสนุนนโยบายที่ลด Microplastics ล้วนมีความสำคัญ ในระดับที่กว้างขึ้น การสนับสนุนและผลักดันให้มีนโยบายที่เข้มงวดขึ้นในการควบคุมการผลิตและการใช้พลาสติก รวมถึงการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้

การรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ ไมโครพลาสติก เป็นก้าวแรกที่สำคัญ การแบ่งปันความรู้และข้อมูลนี้กับคนรอบข้างจะช่วยสร้างความตระหนักที่กว้างขวางขึ้นและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่รัฐบาล ภาคเอกชน ไปจนถึงประชาชนทั่วไป เราสามารถลดปริมาณไมโครพลาสติกในสิ่งแวดล้อมและปกป้องสุขภาพของคนรุ่นปัจจุบันและรุ่นอนาคตได้ อนาคตที่ปลอดจากมลพิษพลาสติกอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อม ถ้าเราเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้

มาร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา Microplastics กันเถอะ ลองเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน และอย่าลืมแชร์บทความนี้เพื่อสร้างการรับรู้ที่กว้างขวางขึ้น ทุกการกระทำเล็กๆ ของเรามีความหมาย และเมื่อรวมกันแล้วจะสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อโลกใบนี้

ข้อมูลอ้างอิง:

NaniTalk S.

เป็นนักเขียนที่ขยันขันแข็งและมุ่งมั่นที่จะผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ เรียนรู้และเติบโตอยู่เสมอ เชื่อว่าเนื้อหาที่ดีสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button