
- สงครามอ่าว (พ.ศ. 2533-2534) เริ่มจากการรุกรานคูเวตของอิรัก เนื่องจากข้อพิพาทเรื่องน้ำมันและหนี้สิน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระดับนานาชาติ
- ปฏิบัติการโล่ทะเลทรายและพายุทะเลทรายนำโดยสหรัฐฯ และพันธมิตร 34 ชาติ ปลดปล่อยคูเวตสำเร็จภายใน 100 ชั่วโมง
- สงครามส่งผลกระทบยาวนาน เช่น กัลฟ์วอร์ซินโดรม วิกฤตสิ่งแวดล้อม และการคว่ำบาตรอิรักที่นำไปสู่สงครามอิรักในปี 2546
- เรียนรู้ประวัติศาสตร์และแบ่งปันความคิดเห็นเพื่อเข้าใจผลกระทบของสงครามต่อโลกในปัจจุบัน
เคยสงสัยหรือไม่ว่า สงครามอ่าว (Gulf War) คืออะไร และทำไมมันถึงกลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของตะวันออกกลาง? ในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2533 โลกต้องเผชิญกับความตึงเครียดเมื่อกองทัพอิรักภายใต้การนำของซัดดัม ฮุสเซน บุกยึดครองคูเวตภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง สงครามครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรน้ำมัน แต่ยังสะท้อนถึงความซับซ้อนของการเมืองระหว่างประเทศและผลกระทบที่ยาวนานต่อภูมิภาคและทั่วโลก บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงสาเหตุ ผลกระทบ และความสำคัญของสงครามอ่าวที่ยังคงถูกพูดถึงจนถึงทุกวันนี้
ลองนึกภาพโลกที่น้ำมันเป็นหัวใจของเศรษฐกิจ และการตัดสินใจของชาติหนึ่งสามารถจุดชนวนความขัดแย้งระดับนานาชาติได้ในพริบตา สงครามอ่าวเปอร์เซีย หรือที่รู้จักกันในชื่อ สงครามอ่าวครั้งที่หนึ่ง ไม่ใช่แค่การปะทะทางทหาร แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่ส่งผลต่อความมั่นคงของภูมิภาค การเงินโลก และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ จากการทิ้งระเบิดทางอากาศที่ดุเดือดไปจนถึงการต่อสู้ภาคพื้นดินที่รวดเร็ว สงครามครั้งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของกลยุทธ์ ความสูญเสีย และบทเรียนที่โลกต้องจดจำ มาดูกันว่าเหตุการณ์นี้เริ่มต้นอย่างไร และทำไมมันถึงยังคงมีความสำคัญต่อการเมืองโลกในปัจจุบัน

สาเหตุของสงครามอ่าว อะไรจุดชนวนความขัดแย้ง?
สงครามอ่าว เริ่มต้นจากความตึงเครียดที่สั่งสมมานานระหว่างอิรักและคูเวต โดยมีรากฐานมาจากข้อพิพาทเรื่องน้ำมันและหนี้สิน หลังจาก สงครามอิรัก-อิหร่าน (พ.ศ. 2523-2531) อิรักต้องเผชิญกับหนี้สินมหาศาลจากสงคราม โดยเฉพาะหนี้ที่ติดค้างคูเวต ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนทางการเงินหลักของอิรักในช่วงสงครามนั้น อิรักกล่าวหาคูเวตว่าเจาะน้ำมันจากแหล่งน้ำมันรุเมลา (Rumaila oil field) ซึ่งอยู่ในเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายมีข้อพิพาท และยังเพิ่มการผลิตน้ำมันจนทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของอิรักที่พึ่งพารายได้จากน้ำมันอย่างหนัก
นอกจากนี้ อิรักยังต้องการเข้าถึงอ่าวเปอร์เซียมากขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการส่งออกน้ำมัน แต่คูเวตมีเกาะบูบิยันและวาร์บาห์ที่ขวางเส้นทางสู่อ่าวเปอร์เซียของอิรัก ซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำอิรักในขณะนั้น มองว่าการยึดคูเวตจะช่วยแก้ปัญหาทั้งหนี้สินและการเข้าถึงทรัพยากรน้ำมัน รวมถึงยกระดับอิรักให้เป็นมหาอำนาจในภูมิภาค เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2533 อิรักส่งกองทัพกว่า 120,000 นายพร้อมรถถัง 900 คันบุกคูเวต และยึดครองประเทศได้ภายในเวลาเพียง 12 ชั่วโมง การรุกรานนี้ถูกนานาชาติประณามอย่างรุนแรง
การตอบสนองของประชาคมโลกนำโดยสหรัฐอเมริกาและสหประชาชาติ (UN) รวดเร็วและเด็ดขาด คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติออกมติคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิรัก และเรียกร้องให้อิรักถอนกำลังออกจากคูเวตภายในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2534 เมื่ออิรักไม่ปฏิบัติตาม สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ได้รวบรวมกองกำลังพันธมิตรจาก 34 ประเทศ รวมถึงสหราชอาณาจักร อียิปต์ และซาอุดีอาระเบีย เพื่อเริ่มปฏิบัติการทางทหารที่รู้จักกันในชื่อ ปฏิบัติการโล่ทะเลทราย และ ปฏิบัติการพายุทะเลทราย
ข้อพิพาทเหล่านี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของการเมืองในตะวันออกกลาง ที่ซึ่งทรัพยากรน้ำมันและอำนาจทางการเมืองมีบทบาทสำคัญ การรุกรานคูเวตของอิรักไม่เพียงแต่เป็นการท้าทายคูเวต แต่ยังเป็นการท้าทายระเบียบโลกใหม่ที่สหรัฐฯ พยายามสร้างขึ้นหลังสงครามเย็น ความขัดแย้งนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของตะวันออกกลางไปอย่างถาวร

ปฏิบัติการโล่ทะเลทรายและพายุทะเลทราย
สงครามอ่าว ถูกแบ่งออกเป็นสองระยะหลัก ปฏิบัติการโล่ทะเลทราย (Operation Desert Shield) และ ปฏิบัติการพายุทะเลทราย (Operation Desert Storm) ปฏิบัติการโล่ทะเลทรายเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2533 ถึง 17 มกราคม พ.ศ. 2534 โดยมุ่งเน้นไปที่การสั่งสมกำลังทหารและปกป้องซาอุดีอาระเบียจากการรุกรานที่อาจเกิดขึ้นจากอิรัก กองกำลังพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ได้ส่งทหารและยุทโธปกรณ์จำนวนมากไปยังภูมิภาคนี้ รวมถึงเครื่องบินรบ รถถัง และเรือรบ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบ
เมื่อถึงวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2534 ปฏิบัติการพายุทะเลทรายเริ่มต้นด้วยการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ต่อเป้าหมายในอิรักและคูเวต การทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาห้าสัปดาห์ทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางทหารของอิรัก รวมถึงฐานทัพ ระบบสื่อสาร และคลังอาวุธ การโจมตีทางอากาศนี้ได้รับการถ่ายทอดสดโดยสื่ออย่าง CNN ทำให้สงครามครั้งนี้ถูกเรียกว่า “สงครามวิดีโอเกม” เนื่องจากภาพการโจมตีที่ดูเหมือนมาจากวิดีโอเกม. การโจมตีทางอากาศนี้มีประสิทธิภาพสูงจนทำให้กองทัพอิรักอ่อนแอลงอย่างมากก่อนการรบภาคพื้นดิน
การรบภาคพื้นดินเริ่มขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 และใช้เวลาเพียง 100 ชั่วโมงในการขับไล่กองทัพอิรักออกจากคูเวต กองกำลังพันธมิตรใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า “ซ้ายตีขวา” (left hook) ซึ่งเป็นการโจมตีแบบกวาดล้างจากทางตะวันตกเพื่อตัดเส้นทางถอยทัพของอิรัก ผลลัพธ์คือชัยชนะที่เด็ดขาดของพันธมิตร โดยคูเวตได้รับการปลดปล่อยในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 และมีการประกาศหยุดยิงในวันเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การรบครั้งนี้ไม่ได้ปราศจากความสูญเสีย อิรักตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธสกั๊ด (SCUD) ไปยังอิสราเอลและซาอุดีอาระเบีย รวมถึงจุดไฟเผาบ่อน้ำมันในคูเวต สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง การโจมตีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวังของอิรักในการตอบโต้กองกำลังพันธมิตรที่เหนือกว่าทั้งด้านเทคโนโลยีและกำลังทหาร
ผลกระทบและมรดกของสงครามอ่าว
สงครามอ่าว ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อตะวันออกกลางและโลก ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการปลดปล่อยคูเวตและการคืนอำนาจให้ราชวงศ์ซาบาห์ อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งนี้ยังนำไปสู่ความสูญเสียทั้งในด้านมนุษย์และเศรษฐกิจ มีรายงานว่าพลเรือนอิรักเสียชีวิตประมาณ 3,664 คน และทหารอิรักเสียชีวิตราว 200,000 คน ส่วนกองกำลังพันธมิตรสูญเสียทหารประมาณ 378 นาย การทำลายล้างบ่อน้ำมันในคูเวตและการรั่วไหลของน้ำมันลงสู่อ่าวเปอร์เซียยังก่อให้เกิดวิกฤตสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่
หนึ่งในผลกระทบระยะยาวคือ กัลฟ์วอร์ซินโดรม (Gulf War Syndrome) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการป่วยที่พบในทหารผ่านศึกของกองกำลังพันธมิตร อาการเหล่านี้รวมถึงความเหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดกล้ามเนื้อ และปัญหาทางจิตใจ ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการสัมผัสสารเคมี กระสุนยูเรเนียมที่ใช้ในสงคราม และความเครียดจากการสู้รบ สาเหตุของอาการนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงในวงการแพทย์และวิทยาศาสตร์
นอกจากนี้ สงครามครั้งนี้ยังนำไปสู่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิรักโดยสหประชาชาติ ซึ่งทำให้ประชาชนอิรักเผชิญกับความอดอยากและขาดแคลนยารักษาโรค ส่งผลให้เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของอิรักทรุดโทรมอย่างหนัก การคว่ำบาตรนี้ยังเป็นชนวนให้เกิด สงครามอิรัก ในปี พ.ศ. 2546 ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากความตึงเครียดที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากสงครามอ่าว
ในแง่การเมือง สงครามอ่าวแสดงให้เห็นถึงบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำของ “ระเบียบโลกใหม่” หลังสงครามเย็น การถ่ายทอดสดของสื่อและการใช้เทคโนโลยีทหารที่ทันสมัย เช่น ขีปนาวุธนำวิถีและเครื่องบินรบล่องหน ยังเปลี่ยนวิธีที่โลกมองสงครามสมัยใหม่ สงครามครั้งนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแทรกแซงของชาติตะวันตกในตะวันออกกลาง ซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของภูมิภาคจนถึงปัจจุบัน
มรดกของสงครามอ่าวยังคงปรากฏในความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างอิรักและคูเวต รวมถึงการแข่งขันด้านกีฬา เช่น ฟุตบอลในรายการอาราเบียน กัลฟ์ คัพ ที่ทั้งสองชาติเคยเป็นคู่แข่งที่ดุเดือดก่อนสงคราม แต่ผลกระทบของสงครามทำให้ทั้งสองชาติต้องใช้เวลานานในการฟื้นฟู สงครามครั้งนี้ยังเป็นบทเรียนสำคัญถึงผลกระทบของความขัดแย้งที่เกิดจากทรัพยากรและอำนาจทางการเมือง
ทิ้งท้าย
สงครามอ่าว ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่กำหนดทิศทางของตะวันออกกลางและการเมืองโลกในยุคหลังสงครามเย็น จากการรุกรานคูเวตของอิรักในปี พ.ศ. 2533 ไปจนถึงชัยชนะของกองกำลังพันธมิตรในปี พ.ศ. 2534 สงครามครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของความร่วมมือระหว่างประเทศและผลกระทบของการตัดสินใจทางการเมืองที่ผิดพลาด ผลกระทบของสงครามยังคงปรากฏในรูปของความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ความทุกข์ยากของประชาชน และความตึงเครียดทางการเมืองที่ยังไม่คลี่คลาย
หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่กำหนดโลกสมัยใหม่ หรือต้องการแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามต่อตะวันออกกลาง อย่าลืมแสดงความคิดเห็นด้านล่างหรือแชร์บทความนี้ให้เพื่อน ๆ ของคุณ! การทำความเข้าใจเหตุการณ์ในอดีตจะช่วยให้เราเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตได้ดีขึ้น คุณคิดว่า สงครามอ่าว สอนอะไรเราเกี่ยวกับความขัดแย้งในปัจจุบัน? มาร่วมพูดคุยกัน!
ข้อมูลอ้างอิง: