วันนี้ในอดีต

26 พฤษภาคม เลาดาแอร์ ประสบอุบัติเหตุระเบิดกลางอากาศ

26 พฤษภาคม 2534 เครื่องบิน โบอิง 767-3Z9ER ของสายการบิน เลาดาแอร์ (Lauda Air) ประสบอุบัติเหตุระเบิดกลางอากาศและตกลงในป่า ที่อุทธยานแห่งชาติพุเตข อ. ด่านช้าง จ. สุพรรณบุรี

เลาดาแอร์

เลาดาแอร์ เที่ยวบินที่ 004 เป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ประสบอุบัติเหตุตกเนื่องจากมาจากปัญหาของเครื่องยนต์หมายเลข 1 ระหว่างทำการบิน เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 223 ศพ เป็นอุบัติภัยทางการณ์บินที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับที่ 28 ของโลก

วันที่ 26 พฤษภาคม 2534 เวลาประมาณ 23:10 น. ตามเวลาท้องถิ่น เที่ยวบิน NG004 ซึ่งบินมาจากท่าอากาศยานไคตั๊กที่ฮ่องกง ด้วยเครื่องบิน Boeing B-767-3Z9ER ทะเบียน OE-LAV ชื่อเครื่องบิน ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท ได้ออกจากท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง มุ่งสู่ท่าอากาศยานนานาชาติเวียนนา มีผู้โดยสาร 213 คน และลูกเรือ 10 คน ภายใต้การควบคุมของกัปตันชาวอเมริกัน Thomas J. Welch และผู้ช่วยชาวออสเตรีย Josef Thurner

เวลา 23:22 Welch และ Thurner ได้รับสัญญาณภาพเตือนว่ามีความผิดพลาดทางระบบที่อาจทำให้ระบบผันกลับแรงขับ (Thrust Reverser) ที่เครื่องยนต์หมายเลข 1 ทำงานขณะบิน หลังจากได้ศึกษาคู่มือแล้ว ทั้งสองลงความเห็นว่าสัญญาณเตือนนั้นเป็นเพียงเหตุการณ์ปกติและไม่ได้จัดการใด ๆ กับสัญญาณเตือน

เวลา 23:31 ระบบผลักดันแรงขับที่เครื่องยนต์หมายเลข 1 ทำงานระหว่างที่เครื่องบินอยู่เหนือพื้นที่ป่าและภูเขาบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดอุทัยธานีและจังหวัดสุพรรณบุรี คำพูดสุดท้ายของ Thurner ที่บันทึกไว้ได้คือ “Oh! Reverser’s deployed!”

เครื่อง 767 สูญเสียแรงยกและฉีกออกเป็นส่วน ๆ กลางอากาศที่ระดับความสูง 1,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เมื่อเวลา 23.20 น. ซากเครื่องบินถูกพบที่ระดับความสูง 600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในบริเวณซึ่งปัจจุบันเป็นอุทยานแห่งชาติพุเตย จังหวัดสุพรรณบุรี ไม่มีผู้โดยสารและลูกเรือคนใดรอดชีวิต ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 39 คน ชาวต่างชาติ 184 คน อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นหายนะทางการเดินทางทางอากาศที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจวบจนถึงปัจจุบัน ทีมกู้ภัยพบร่างของ Welch กัปตัน ยังคงติดอยู่กับที่นั่งของนักบิน หลังอุบัติเหตุ ได้มีผู้มาขโมยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอัญมณี ความสามารถในการขนส่งของสายการบินหายไปถึง 1 ใน 4 จากผลของการตก

หลังเหตุการณ์ นิกิ เลาดา เจ้าของสายการบิน ได้เดินทางมาอำนวยการค้นหาร่างของผู้เสียชีวิตด้วยตัวเอง

ผีพุเตย

กางเต็นท์นอน กับเสียงวนเวียนทั้งคืน โดยคุณ หนูแมว

เคยพาครอบครัวไปกางเต็นท์ที่อุทยานพุเตยเมื่อสักสิบปีมาแล้ว จำไม่ได้ว่าตรงจุดไหนแต่มันเป็นลานหญ้าใกล้ ๆ กับที่ทำการ ทั้งลานกางเต็นท์มีแค่ครอบครัวผมกับครอบครัวน้องสาว แถมบริเวณที่ทำการยังอุตส่าห์มีบอร์ดติดรูปตอนเหตุการณ์เครื่องบินตก มีรูปศพทั้งหลายแปะไว้ให้ดูอีกตะหาก คืนนั้นนอนกันด้วยความหลอนตลอดคืน เช้ามาน้องสาวบอกว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงเหมือนคนเดินรอบ ๆ เต็นท์ตลอดเลย ไปคุยกับเจ้าหน้าที่แกบอกว่าตอนเครื่องบินตกเขาลำเลียงศพจากบนเขามาพักไว้ที่ลานกลางเต็นท์นี่แหละครับ เลยรีบเก็บของกลับเลย ดีนะที่พี่เจ้าหน้าที่เขาไม่มาคุยตั้งกะเย็นเมื่อวาน ไม่งั้นมีกลับกลางดึกแน่ ๆ

นำสิ่งของบางอย่างกลับมา จนอยากนำกลับไปคืน โดยคุณซันนี่ โบดแลร์

สำหรับตัวกระผมเอง วันนั้นจำได้ว่าเดินทางไปกับตำรวจ 3-4 นาย เพื่อไปถ่ายภาพและทำข่าวที่ห้องนักบิน หรือกัปตัน ซึ่งห้องดังกล่าวกระจายห่างออกไป 2 กิโลเมตร สภาพห้องกัปตันโดนไฟไหม้เกือบหมด มีเอกสารกระจัดกระเกลื่อน ผมไปเห็นหนังสือสมบูรณ์อยู่เล่มหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษ อ่านพอจับใจความได้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับการนำร่องของนักบิน วิธีการขับเครื่องบิน ผมก็เก็บนำมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปด้วยกัน ตำรวจบอกว่าเก็บไว้ที่น้องก็ได้ ไม่ใช่เป็นหลักฐานทางคดี หรือน้องจะเอาไปอ่านประกอบการทำข่าวก็ได้ ผมจึงนำมาเก็บไว้ที่รถทำข่าว และก็นำติดตัวกลับมากรุงเทพฯ

อาการแสบร้อน ระหว่างเดินทางกลับ โดยคุณ Ms’drivel

เคยไปกับครอบครัวช่วงปีใหม่ปี 2011 บรรยากาศน่ากลัวมากกก วังเวงมาก ขนาดปีใหม่ ตอนขึ้นไปถึงมีแค่ครอบครัวเราห้าคน ไม่มีคนอื่นเลย คือแบบกลัวมาก ด้วยความที่เป็นคนขี้กลัว ทำให้พ่อชอบแกล้ง พอขึ้นไปถึงเจอซากเครื่องบิน สิ่งของต่าง ๆ พอพ่อเห็นเรากลัว พ่อก็เอาเลย เริ่มแกล้ง ๆ พูดนู่นนี่ คือพ่อเราเป็นคนไม่ค่อยอะไรกับเรื่องลี้ลับพวกนี้ แต่เราพวกจิตอ่อนไหว เค้าเลยจะชอบแกล้งเรา แกล้งโดยการพูดแซวนะ ประมาณว่า “นี่ไงมีเจ้าของมีนู่นนี้” คือแซวตลอด จนกระทั่งขึ้นรถกลับ ขับออกมาซักพัก พ่อเราแสบหลังเลย แสบแบบปวดแสบปวดร้อน แสบจนเอาหลังพิงเบาะไม่ได้ตอนขับรถ ขนาดเอาผ้าชุบน้ำถูหลังก็ยังแสบ พ่อเราบอกว่า แสบแบบทรมาณมาก ๆ แบบปวดแสบปวดร้อน ตอนนั้นจำได้ว่าพ่อเราต้องเปิดเสื้อข้างหลังขับรถ แล้วนั่งแบบไม่พิงเบาะ แม่ที่นั่งข้างหน้าก้ช่วยเอาผ้าชุบน้ำถูให้เรื่อย ๆ

ตอนแรก เรากับญาติก็เดากันไป โดนบุ้ง โดนแมลงอะไรมาหรือเปล่า จนอยู่ ๆ พ่อเราก็ร้อง เห้ย แล้วบอกกับแม่ว่า เธอ เครื่องบินตกมันไฟไหม้ใช่ไหม ฉันรู้สึกแบบนั้นละ เหมือนไฟไหม้ หรือโดนลวกที่หลัง พอพ่อเราพูดเสร็จ พ่อจอดรถ แล้วยกมือไหว้ เชิงขอขมา เราเห็นก็ทำ ทำกันหมดเลย พอขับมาได้สักห้านาที หาย หายเลย อาการแสบร้อนไม่มีเลย พ่อเราขับรถได้แบบปกติ แม่ เรายังพูดว่าเนี่ย เธอเล่นไม่รู้เรื่องเลยนะ เรานี่ขนลุกไปหมดเลย ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้เลย

อ่านต่อ

Alinda C.

ฉันเชื่อว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจความเป็นมาของสังคมและโลก ประวัติศาสตร์ทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของเสรีภาพและความเท่าเทียมกัน ทำให้เราเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีต เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยเดิม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button