![[รีวิว-เรื่องย่อ] เลือนหายในแสงดาว | Lost in Starlight (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/06/Review-Lost-in-Starlight-2025.webp)
Key Points
- Lost in Starlight เป็น Sci-Fi Rom-Com ที่นำเสนอเรื่องราวความรักข้ามกาแล็กซี่
- กำกับโดย Han Ji-won และนำแสดงโดย Kim Tae-ri และ Hong Kyung
- มีภาพเคลื่อนไหวที่สวยงามแต่ขาดความลึกในด้านบทและการใช้เพลงประกอบ
- เหมาะกับผู้ชมที่ชอบการทดลองใหม่ ๆ ในการเล่าเรื่อง
ในยุคสมัยที่การผสมผสานระหว่าง Sci-Fi และ Romantic Comedy เป็นเรื่องที่หาได้ยาก “Lost in Starlight” ถือเป็นผลงานที่กล้าทดลองและนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ที่อาจทำให้ผู้ชมรู้สึกแปลกใหม่ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเข้าถึงอารมณ์ได้ลึกซึ้งหรือไม่ เรื่องราวของ Nan-young หญิงสาวที่เติบโตมาพร้อมกับบาดแผลทางใจจากการสูญเสียแม่ในเหตุการณ์บนดาวอังคาร และการพบกับ Jay ช่างซ่อมเครื่องดนตรีที่เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล กลายเป็นการเดินทางที่ท้าทายทั้งหัวใจและความฝัน ในขณะที่โลกภายนอกกำลังมองไปที่อนาคตแห่งเทคโนโลยีและการสำรวจอวกาศ
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างโดย Netflix และกำกับโดย Han Ji-won ที่เคยฝากผลงานไว้ในระดับนานาชาติ การเลือกใช้โทนเรื่องราวที่อบอุ่นแต่ซ่อนความเศร้าเอาไว้ใต้ฉากหลังเมืองอนาคตอย่างกรุงโซลปี 2051 ช่วยเพิ่มมิติให้กับตัวละคร โดยเฉพาะ Nan-young ที่ให้เสียงโดย Kim Tae-ri ผู้ถ่ายทอดความรู้สึกซับซ้อนออกมาได้อย่างน่าเชื่อถือ และ Hong Kyung ให้เสียงในบท Jay ที่แม้จะดูธรรมดา แต่ก็มีเสน่ห์แบบเรียบง่ายที่ทำให้ผู้ชมอดยิ้มตามไม่ได้

รีวิวและเรื่องย่อ Lost in Starlight (เลือนหายในแสงดาว)
ในปี 2051 กรุงโซลไม่ใช่เมืองที่มืดมนเหมือน Blade Runner, แต่กลับสดใสและเต็มไปด้วยแสงสีจากโฮโลแกรมและโดรน ที่นี่ Nan-young ทำงานให้กับ NASA แต่ไม่มีโอกาสได้ไปดาวอังคารเพราะประวัติจิตวิทยาที่ยังคงสะท้อนความเจ็บปวดจากการสูญเสียแม่ จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอได้พบกับ Jay ที่ไม่เพียงแค่ซ่อมแผ่นเสียงเก่าของเธอ แต่ยังช่วยฟื้นฟูหัวใจที่แตกสลายให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครหลักนี้ดำเนินไปอย่างเรื่อย ๆ โดยมีเพลงของ Jay เป็นตัวเชื่อมโยงสำคัญ ซึ่งแม้ว่าจะดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่กลับกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ Nan-young ก้าวข้ามความกลัวของตนเองและคว้าโอกาสในการเป็นนักบินอวกาศ ส่วน Jay เองก็ได้กลับมาเปิดใจและลองแสดงความสามารถทางดนตรีอีกครั้ง แม้จะดูเป็นการบังเอิญ แต่ทุกเหตุการณ์ก็เหมือนถูกกำหนดโดยโชคชะตา
หนึ่งในจุดเด่นที่สังเกตได้ทันทีของ Lost in Starlight คือการออกแบบภาพที่สดใสและมีเอกลักษณ์ โดยเฉพาะฉากเมืองโซลในปี 2051 ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดทางเทคโนโลยี เช่น โฮโลแกรมลอยกลางอากาศและโดรนที่บินไปทั่วเมือง นอกจากนี้ ยังมีภาพที่สะท้อนความทรงจำและภาวะทางจิตใจของ Nan-young ที่ออกมาในรูปแบบของภาพนามธรรม ซึ่งช่วยเพิ่มอรรถรสให้กับการรับชม แม้ว่าบางครั้งจะทำให้ผู้ชมสับสนกับการตีความ แต่ก็ถือเป็นการทดลองที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม การออกแบบเพลงประกอบและการแสดงออกทางอารมณ์ของตัวละครหลักกลับไม่สามารถเทียบเทียมกับภาพรวมของงานภาพได้ ดนตรีของ Jay ที่ปรากฏตลอดทั้งเรื่องมีโทนเบาและไม่สามารถปลุกเร้าความรู้สึกใด ๆ ได้มากนัก แม้ว่าจะสื่อถึงความเปราะบางของตัวละคร แต่กลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้บางฉากขาดพลังและไม่สามารถสร้างความประทับใจได้
ในฉากสุดท้าย ทั้ง Nan-young และ Jay ต่างเผชิญกับความท้าทายของตนเอง Nan-young ต้องเอาชนะอันตรายบนดาวอังคาร ในขณะที่ Jay ต้องเผชิญกับเวทีใหญ่อีกครั้ง แม้ว่าบทสรุปของพวกเขาจะดูลงตัว แต่ก็ยังมีคำถามคาใจอยู่หลายประเด็น โดยเฉพาะการเปรียบเทียบระหว่างความสำเร็จในอาชีพและการรักษาความสัมพันธ์ระยะไกล ซึ่งดูเหมือนจะถูกบอกเล่าแบบผิวเผิน ไม่ได้เจาะลึกถึงความซับซ้อนของมนุษย์อย่างแท้จริง
“Lost in Starlight” เหมาะกับผู้ชมที่กำลังมองหางานสร้างสรรค์ที่ไม่ซ้ำใคร แม้จะมีข้อด้อยในแง่ของบทและการใช้ดนตรี แต่ก็ยังสามารถสร้างความประทับใจผ่านภาพรวมของงานภาพและการแสดงของนักแสดงหลัก โดยเฉพาะ Kim Tae-ri ที่แสดงได้อย่างสมจริงและน่าเชื่อถือ หากคุณเป็นแฟนของ Sci-Fi Rom-Com หรือสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับการสำรวจจิตใจผ่านการเดินทางในอวกาศ คุณควรลองดูเรื่องนี้บน Netflix
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: เลือนหายในแสงดาว
- ประเภท: แอนิเมชัน, โรแมนติก, ไซไฟ, ดราม่า
- วันที่ออกอากาศ: 30 พฤษภาคม 2025
- นักแสดงนำ: คิม แทรี (ให้เสียงนานยอง), ฮง คยอง (ให้เสียงเจย์)
- ผู้กำกับ: ฮัน จีวอน
- จำนวนตอน/ความยาว: 1 ชั่วโมง 36 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 7.4/10
- ช่องทางการดู: Netflix