รีวิวหนังฝรั่ง

[รีวิว-เรื่องย่อ] แรงทะลุกระสุน 3 | Last Bullet (2025)

Summary

  • Last Bullet คือการปิดไตรภาคที่สมบูรณ์แบบด้วยฉากสตั๊นต์รถระห่ำและบทสรุปของตัวละครหลัก
  • ตัวหนังยังคงใช้สไตล์การเล่าเรื่องที่ตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน แต่ดำเนินฉับไว
  • หากคุณชอบหนังแอ็กชันที่เน้นสตั๊นต์จริงมากกว่า CG Last Bullet คือคำตอบ
  • แม้จะไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่คุณภาพของทีมสร้างทำให้หนังยังคงน่าสนใจ

ภาพยนตร์ Last Bullet ในปี 2025 ถือเป็นการปิดไตรภาคอย่างงดงามสำหรับซีรีส์ฝรั่งเศสแนวตำรวจผจญภัยที่โด่งดังจากฉากสตั๊นต์รถและการต่อสู้อันเร้าใจ โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มอย่าง Netflix ที่เคยปล่อยผลงานอย่าง Lost Bullet และ Lost Bullet 2 มาแล้ว การกลับมาครั้งนี้ไม่เพียงแค่ทำให้แฟนๆ ได้เห็นบทสรุปของตัวละครหลักอย่าง Areski และ Lino แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของทีมสร้างที่เข้าขากันจนสามารถผลิตงานแอ็กชันคุณภาพออกมาได้อย่างต่อเนื่อง

หากคุณกำลังมองหาหนังที่เต็มไปด้วยฉากสตั๊นต์รถระเบิดอารมณ์ พร้อมพล็อตเรื่องที่แม้จะไม่ซับซ้อนแต่ก็ดำเนินฉับไว เหมาะกับการรับชมแบบไม่ต้องคิดมาก Last Bullet คือคำตอบ ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การยืดอายุของแฟรนไชส์โดยไร้สาระ แต่มันเป็นการยกระดับมาตรฐานของหนังแนวนี้ในยุโรป โดยเฉพาะจากประเทศฝรั่งเศสเอง

แต่คำถามสำคัญคือ Last Bullet สามารถปิดไตรภาคได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงหรือไม่? มันจะสามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกพึงพอใจกับเส้นทางของตัวละครหลักหรือเปล่า? และเหนือสิ่งอื่นใด ภาพยนตร์เรื่องนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดภาคต่อไปได้อีกหรือไม่?

แรงทะลุกระสุน 3 | Last Bullet (2025)

รีวิวและเรื่องย่อ Last Bullet (แรงทะลุกระสุน 3)

เมื่อปี 2020 Netflix ได้เปิดตัว Lost Bullet เป็นภาคแรกของไตรภาคที่นำเสนอเรื่องราวของตำรวจนาร์โคติกส์ที่ต้องเผชิญกับการทุจริตภายในองค์กรตนเอง ด้วยฉากสตั๊นต์รถที่ออกแบบมาอย่างแยบยลและบทสนทนาที่กระชับตรงประเด็น ทำให้ Lost Bullet กลายเป็นหนึ่งในหนังแอ็กชันที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าว

ภาคต่ออย่าง Lost Bullet 2 ยังคงรักษามาตรฐานเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยขยายขอบเขตของเรื่องราวออกไปมากขึ้น และนำตัวละครอย่าง Areski และ Lino เข้าสู่สถานการณ์ใหม่ๆ ที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น จนทำให้หลายคนคาดหวังว่าแฟรนไชส์นี้อาจขยายไปถึงภาคที่ 4 ได้เช่นกัน

Advertisement

Last Bullet เองก็เริ่มต้นจากจุดที่ภาคก่อนจบลง โดยพา Areski กลับมาในสภาพที่ต้องหนีคดีและทำงานให้แก๊งอาชญากรรมในเยอรมนี ขณะเดียวกัน Lino ก็ยังคงตามล่าเขาอย่างไม่ลดละ ภายใต้เงาของการทุจริตในกรมตำรวจ ความขัดแย้งระหว่างสองตัวละครนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่สะท้อนถึงการต่อสู้ระหว่างความยุติธรรมกับความโลภ

หนึ่งในจุดขายที่ทำให้ Lost Bullet โดดเด่นคือฉากสตั๊นต์รถที่ออกแบบมาอย่างละเอียด โดยเฉพาะใน Last Bullet ที่เราได้เห็นการไล่ล่าบนถนน รถบรรทุกเกราะ และเฮลิคอปเตอร์ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจได้ตลอดทั้งเรื่อง

แม้ว่าจะมีบางฉากที่การถ่ายทำอาจไม่ราบรื่นเท่าที่ควร เช่น ฉากต่อสู้บนรถเมล์ที่ใช้เทคนิคกล้องถือแบบ shake cam ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึกเวียนหัว แต่โดยรวมแล้วทีมงานก็ยังสามารถสร้างความตื่นเต้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฉากที่ใช้รถยนต์เป็นศูนย์กลางของการต่อสู้

สิ่งที่น่าสนใจคือ Last Bullet ยังคงใช้แนวทางการเล่าเรื่องที่ตรงไปตรงมา โดยไม่พยายามใส่รายละเอียดที่ซับซ้อนเกินจำเป็น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแฟรนไชส์นี้มาตั้งแต่ภาคแรก ทำให้หนังเหมาะกับผู้ชมทุกเพศทุกวัยที่ต้องการความบันเทิงแบบไม่ต้องคิดมาก

ตัวละครหลักอย่าง Areski (Nicolas Duvauchelle) และ Lino (Alban Lenoir) ยังคงเป็นจุดแข็งของเรื่อง โดยเฉพาะการแสดงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความน่าเชื่อถือ แม้ว่า Areski จะไม่ใช่ตัวละครที่มีอดีตซับซ้อนหรือมีบาดแผลทางจิตใจมากมาย แต่ความเป็นมนุษย์ของเขาที่แสดงออกผ่านการทรยศเพื่อนร่วมทางทำให้เขามีมิติที่น่าสนใจ

Lino ในทางกลับกัน เป็นตัวแทนของความยุติธรรมที่ต้องเผชิญกับการทุจริตจากภายในองค์กรตนเอง ความขัดแย้งระหว่างเขากับ Areski จึงไม่ใช่แค่การไล่ล่าเพื่อจับกุม แต่เป็นการต่อสู้เพื่อความจริง

แม้จะมีตัวละครรองหลายตัวที่เข้ามาเสริมบทบาท เช่น Resz, Moss และ Mathilde แต่ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากไปกว่าการเติมเต็มเรื่องราวหลัก ซึ่งทำให้ Last Bullet ยังคงเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครหลักเป็นหลัก

Last Bullet อาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงสูตรสำเร็จของแฟรนไชส์มากนัก แต่มันกลับทำในสิ่งที่ Lost Bullet ภาคแรกทำได้ดี ได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฉากสตั๊นต์รถที่ระห่ำกว่าเดิม บทสนทนาที่กระชับ และตัวละครที่มีมิติชัดเจน

หากคุณเป็นแฟนของหนังแอ็กชันแบบคลาสสิกที่ไม่ต้องพึ่ง VFX มากเกินไป Last Bullet คือภาพยนตร์ที่คุณไม่ควรพลาด ด้วยการผสมผสานระหว่างความเร็ว ความตื่นเต้น และความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของตัวละคร มันจึงเป็นหนึ่งในหนังแอ็กชันที่น่าประทับใจที่สุดในปีนี้

  • ชื่อเรื่องในภาษาไทย: แรงทะลุกระสุน 3
  • ประเภท: แอ็กชัน, ระทึกขวัญ, อาชญากรรม
  • วันที่ออกอากาศ: 7 พฤษภาคม 2025
  • นักแสดงนำ: อัลบัน เลอนัวร์, สเตฟี เซลมา, นิโกลาส ดูโวเชล, เฌราร์ ลองแว็ง
  • ผู้กำกับ: กิโยม ปิแอร์เรต์
  • จำนวนตอน/ความยาว: 1 ชั่วโมง 51 นาที
  • เรตติ้ง IMDb: 6.4/10
  • ช่องทางการดู: Netflix

Advertisement
กดเพื่ออ่านต่อ
Advertisement

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button