
- The Conjuring: Last Rites เป็นตอนจบของแฟรนไชส์หลักที่ตั้งใจส่งต่อเรื่องราวไปยังรุ่นลูกอย่างจูดี้และแฟนหนุ่มโทนี่
- การแสดงของเวรา ฟาร์มิกาและแพทริก วิลสันยังคงโดดเด่น สื่อถึงความรักและความผูกพันในครอบครัวนักปราบผี
- หนังสำรวจธีมการสืบทอดมรดก การต่อสู้กับความตาย และความสัมพันธ์ในครอบครัวท่ามกลางความสยอง
- ผู้กำกับไมเคิล ชาเวส นำเสนอสไตล์ถ่ายภาพแบบมือถือที่ทำให้รู้สึกเหมือนหนังยุค 80s เต็มเปี่ยมด้วยความตึงเครียด
เราเคยคิดไหมว่าหนังชุดคนเรียกผีที่ทำเงินถล่มทลายขนาดนี้ จะจบจริงๆ เหรอ? โดยเฉพาะตอนใหม่ล่าสุดอย่าง The Conjuring: Last Rites ที่บอกว่านี่คือการผจญภัยครั้งสุดท้ายของคู่สามีภรรยานักปราบผี เอ็ดและลอร์เรน วอร์เรน (แพทริก วิลสัน และ เวรา ฟาร์มิกา) แต่หนังเรื่องนี้ฉลาดมาก มันแอบตั้งตัวละครใหม่ๆ ขึ้นมาแบบเนียนๆ เพื่อส่งต่อคบเพลิงให้รุ่นต่อไป โดยเฉพาะลูกสาวจูดี้ (มีอา ทอมลินสัน) ที่มีพลังพิเศษเหมือนแม่ และแฟนหนุ่มโทนี่ สเปรา (เบน ฮาร์ดี) ที่เพิ่งมาพบพ่อแม่ครั้งแรก แล้วดันเจอเรื่องผีสิงในเพนซิลเวเนียที่เชื่อมโยงกับอดีตของครอบครัว
เรื่องราวมันเริ่มจากแฟลชแบ็กย้อนไปปี 1964 ที่เอ็ดกับลอร์เรนกำลังสืบคดีกระจกผีสิง จนทำให้ลอร์เรนคลอดลูกก่อนกำหนดและเกือบเสียจูดี้ไปเพราะพลังเหนือธรรมชาติ เรารู้เลยว่าหนังต้องเอาเรื่องนี้มาผูกปมในปัจจุบันแน่ๆ และมันก็ทำได้ดีมาก ทำให้เรายิ่งรักคู่นี้เข้าไปใหญ่ แถมยังเติมเต็มตัวละครรุ่นใหม่ให้มีมิติ เหมือนหนังชุด Final Destination ที่บอกว่าคุณหนีความตายไม่ได้หรอก เพราะมันจะตามเก็บหนี้เก่าอยู่ดี
ในรีวิวนี้ เราจะพาไปเจาะลึกทุกมุมของ หนัง The Conjuring: Last Rites ตั้งแต่พล็อตที่ตึงเครียด การแสดงที่เด็ดดวง ไปจนถึงข้อความลึกซึ้งเกี่ยวกับครอบครัวและการต่อสู้กับปีศาจ มาดูกันว่าหนังเรื่องนี้จะปิดตำนานแฟรนไชส์ได้สมศักดิ์ศรีขนาดไหน และทำไมมันถึงทำให้เราอยากดูซ้ำอีกหลายรอบ

รีวิวและเรื่องย่อ The Conjuring: Last Rites (คนเรียกผี พิธีกรรมครั้งสุดท้าย)
The Conjuring: Last Rites เล่าเรื่องในปี 1986 หลังจากที่เอ็ดและลอร์เรน วอร์เรน ตัดสินใจเกษียณจากงานปราบผี เพราะเอ็ดมีปัญหาเรื่องหัวใจ ซึ่งเป็นเรื่องจริงในชีวิตของเขาเลยนะ มันเสี่ยงมากที่จะไปเจอผีที่ชอบโยนของใส่หรือผลักตกบันได แต่แล้วคดีผีสิงในเพนซิลเวเนียก็โผล่มาพอดี มีทั้งวัตถุโดนสิง ผีหลอกหลายรูปแบบ และเชื่อมโยงกับคดีเก่าๆ ของพวกเขา ทำให้ครอบครัวต้องกลับมาลุยอีกครั้ง แต่คราวนี้มีจูดี้ลูกสาวและโทนี่แฟนหนุ่มมาร่วมด้วย มันเหมือนหนัง legacy sequel ที่แอบส่งต่อเรื่องราวไปยังรุ่นใหม่แบบไม่ฝืน
พล็อตในปัจจุบันอาจไม่ซับซ้อนเท่าภาคก่อนๆ นะ เพราะโฟกัสไปที่ครอบครัววอร์เรนมากกว่า แต่ตัวละครในบ้านผีสิงอย่างลูกสาววัยรุ่นคนหนึ่งยังมีมิติพอสมควร ไม่ได้แบนๆ เหมือนตัวประกอบทั่วไป เราจะได้เห็นว่าจูดี้มีพลังเหมือนแม่แต่บางทีก็มองมันเป็นคำสาป เธออยากมีชีวิตปกติ แต่สุดท้ายก็ยอมรับและร่วมมือกับพ่อแม่และแฟนเพื่อปราบปีศาจ โทนี่เองก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เอ็ดเห็น โดยเฉพาะเอ็ดที่ยังยึดติดกับภาพลักษณ์ผู้ชายแกร่งแบบจอห์น เวย์น แม้จะใจดีและอ่อนไหวแค่ไหนก็ตาม
หนังเรื่องนี้เน้นความสัมพันธ์ในครอบครัวมาก เหมือนถามเราว่า ถ้าเรามีพลังพิเศษแบบนี้ เราจะหนีหรือยอมรับมันดี? มันทำให้เราคิดถึงหนังอย่าง The Exorcist ที่พระเอกโผล่มาทีหลังแต่มาช่วยปิดเกมได้เด็ดขาด เหมือนเอ็ดกับลอร์เรนที่ไม่เข้าไปในบ้านผีสิงจนกว่าจะครึ่งเรื่อง แต่พอเข้าไปแล้วล่ะก็ สยองเต็มสูบเลย
การแสดงของ เวรา ฟาร์มิกา ในบทลอร์เรนยังคงเป็นจุดขายหลักเลย เธอเล่นได้แบบมีพลังชีวิตจริงๆ ทำให้เราเชื่อว่าลอร์เรนเห็นและรู้สึกได้มากกว่าคนอื่น เหมือนนักแสดงที่อิงมาร์ เบิร์กแมนจะเขียนบทให้ในสมัยก่อน ฟาร์มิกาถ่ายทอดความเป็นแม่ที่ปกป้องลูกและสามีได้อย่างลึกซึ้ง แม้บทจะไม่ซับซ้อนแต่เธอทำให้มันพิเศษขึ้นมาได้
แพทริก วิลสัน ในบทเอ็ดก็ไม่แพ้กัน เขาเป็นเหมือนวัตสันของเชอร์ล็อก โฮล์มส์ คือช่วยเหลือภรรยาแต่มีสกิลเฉพาะตัว เช่น การไล่ผีที่โบสถ์อนุญาตให้ทำคนเดียว เรารู้สึกถึงความรักระหว่างคู่นี้จริงๆ มันผสมผสานกับเคมีของนักแสดงที่เคารพกัน ทำให้ฉากดราม่าครอบครัวดูอบอุ่นท่ามกลางความสยอง โทนี่ของเบน ฮาร์ดีก็สดใสดี เป็นหนุ่มธรรมดาที่พยายามเข้ากับครอบครัวพิเศษ ส่วนจูดี้ของมีอา ทอมลินสันก็น่ารัก ทำให้เราอยากเห็นเธอในภาค spin-off
มันเหมือนชีวิตจริงเลยนะ ที่รุ่นพ่อแม่ต้องส่งต่อธุรกิจให้ลูก แต่ธุรกิจนี้คือปราบผี! การแสดงพวกนี้ทำให้หนังไม่ใช่แค่สยอง แต่ยังมีหัวใจที่ทำให้เราอินไปกับตัวละคร เหมือนถามเราว่า ถ้าเราเป็นจูดี้ เราจะเลือกทางไหนระหว่างชีวิตปกติกับการต่อสู้ปีศาจ?

ผู้กำกับ ไมเคิล ชาเวส ที่เคยทำสามภาคก่อนหน้า มาคุมที่นี่ด้วยสไตล์ถ่ายภาพมือถือและโฟกัสตื้นๆ ทำให้รู้สึกเหมือนหนังยุค 80s จริงๆ แถมยังมีกลิ่นอายแบบ home movie แม้ในฉากน่ากลัวที่สุด มันช่วยสร้างความตึงเครียดแบบใกล้ชิด เหมือนเรากำลังเจอผีด้วยตัวเอง
ตากล้องเอลี บอร์นก็เจ๋งมาก ใช้เทปวิดีโอยุคเก่าและกล้องวงจรปิดมาซ่อนภาพสยองในฉากธรรมดาๆ เผยออกมาตอนตัวละครเพ่งดู เหมือนเล่นซ่อนหาผีที่ทำให้เราขนลุก มันต่างจากยุคเจมส์ วานที่เน้นภาพกว้างๆ แต่สไตล์นี้ทำให้หนังสดใหม่และเข้ากับธีมยุค 80s
หนังเรื่องนี้เหมือนรถไฟตีลังกา ที่เริ่มช้าๆ แล้วพุ่งทะยานในตอนไคลแมกซ์ มันไม่ใช่ภาคที่ดีที่สุดในเรื่องผี แต่เด่นที่ความอบอุ่นของครอบครัว เหมือนบอกเราว่าครอบครัวที่ร่วมมือกันแข็งแกร่งกว่าเสมอ และชาเวสขายไอเดียนี้ออกมาได้แบบเต็มอารมณ์
The Conjuring: Last Rites (2025) เป็นตอนจบที่สมบูรณ์แบบสำหรับแฟรนไชส์นี้ มันไม่ใช่แค่หนังผี แต่เป็นเรื่องราวของครอบครัวที่ต่อสู้กับความมืดมิดทั้งภายนอกและภายใน หนังแสดงให้เห็นว่ามรดกของเอ็ดและลอร์เรนไม่ได้จบแค่พวกเขา แต่จะสืบทอดไปยังรุ่นลูก ทำให้เราคิดถึงความสัมพันธ์ในชีวิตจริงว่า เราจะส่งต่ออะไรให้คนรุ่นหลังบ้าง?
ใครที่เป็นแฟนหนังสยองขวัญแบบมีสาระ The Conjuring: Last Rites คือเรื่องที่ต้องดูเลย มันจะทำให้เราตั้งคำถามกับชีวิตและความตาย แถมยังมีฉากผีที่ขนลุกซู่ มาดูแล้วแชร์ในคอมเมนต์ว่าภาคนี้จบดีไหม หรือเราอยากเห็น spin-off ของจูดี้ต่อ? อย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่ชอบหนังผีแบบมีดราม่าครอบครัวด้วยนะ!
ถ้าเราเจอปีศาจจริงๆ เราจะหนีหรือสู้ดี? หนังเรื่องนี้ตอบได้ดีเลยว่าการสู้ด้วยกันกับคนที่รักนั่นแหละคือทางออกสุดเจ๋ง และมันทำให้เรายิ่งรักแฟรนไชส์นี้เข้าไปใหญ่
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: คนเรียกผี พิธีกรรมครั้งสุดท้าย
- ประเภท: สยองขวัญ, ดราม่า, ระทึกขวัญ
- วันที่ออกฉาย: 4 กันยายน 2568
- นักแสดงนำ: เวรา ฟาร์มิกา (Vera Farmiga), แพทริก วิลสัน (Patrick Wilson), มีอา ทอมลินสัน (Mia Tomlinson), เบน ฮาร์ดี (Ben Hardy)
- ผู้กำกับ: ไมเคิล ชาเวส (Michael Chaves)
- ความยาว: 2 ชั่วโมง 15 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 6.6/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: โรงภาพยนตร์