![[รีวิว-เรื่องย่อ] เดอะรันอราวนด์ส จังหวะพล่าน บรรเลงฝัน | The Runarounds (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/09/Review-The-Runarounds-2025-1.webp)
- The Runarounds เป็นซีรีส์ที่สร้างจากวงดนตรีจริงในชีวิต เกี่ยวกับกลุ่มวัยรุ่นที่ทุ่มสุดตัวเพื่อความดังในวงการเพลง
- การแสดงของวิลเลียม ลิปตัน ในบทชาร์ลีโดดเด่นสุด สะท้อนความมุ่งมั่นและความเป็นผู้นำที่ทำให้วงไม่แตก
- ซีรีส์สำรวจธีมความขัดแย้งระหว่างความฝันกับความจริง ครอบครัว และการเงิน
- ผู้สร้างโจนัส เพท พรีเซนต์วงอย่างเท่ เหมือนเป็นโปรโมตวงจริงให้ดังเปรี้ยง
เราเคยฝันไหมว่าจะตั้งวงดนตรีแล้วดังเปรี้ยงปร้างภายในซัมเมอร์เดียว? แต่ชีวิตจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นสิ ซีรีส์ The Runarounds (2025) ของผู้สร้าง โจนัส เพท (Jonas Pate) พาเราไปติดตามกลุ่มวัยรุ่นที่ทุ่มหมดใจไล่ตามความฝันดนตรี เรื่องจริงจากวงดนตรีชื่อเดียวกันที่สมาชิกเป็นนักดนตรีตัวจริงเสียงจริง วงนี้มีชาร์ลี (วิลเลียม ลิปตัน (William Lipton)) เป็นหัวหน้าที่กัดฟันสู้เพื่อให้วงอยู่รอด พวกเขารู้ดีว่าการปีนขึ้นเขาแห่งความสำเร็จต้องเหนื่อย แต่ดนตรีคือกาวที่ยึดทุกคนไว้ด้วยกัน
เรื่องราวเริ่มจากชาร์ลี โทเฟอร์ (เจเรมี ยุน (Jeremy Yun)) นีล (แอกเซล เอลลิส (Axel Ellis)) เบซ (เซนเด มูร์ด็อก (Zendé Murdock)) และไวแอตต์ (เจสซี กอลลิเฮอร์ (Jesse Golliher)) กลุ่มเพื่อนที่มั่นใจในพรสวรรค์ตัวเองสุดๆ แม้จะโดนแมวมองดังเมิน พวกเขาก็ไม่ยอมทิ้งเครื่องดนตรีไปร้องไห้ แต่กลับซ้อมหนักกว่าเดิม และกลายเป็นเหมือนครอบครัว เมื่อแม่ใครป่วย เพื่อนๆ ก็รวมตัวช่วย เมื่อใครโดนไล่ออกจากบ้าน ก็มีคนเปิดบ้านรับ มันเลยทำให้มีคนเลือกอยู่กับวงแทนที่จะรับข้อเสนอเงินก้อนโต
ในรีวิวนี้ เราจะพาไปเจาะลึกทุกมุมของซีรีส์เรื่องนี้ ตั้งแต่การแสดงที่สดใหม่ ไปจนถึงดราม่าที่สะท้อนชีวิตวัยรุ่น มาดูกันว่า The Runarounds จะทำให้เราเชื่อในพลังของความฝันได้ยังไง ท่ามกลางอุปสรรคจากครอบครัว การเงิน และความจริงโหดร้ายของวงการเพลง

รีวิวและเรื่องย่อ The Runarounds (เดอะรันอราวนด์ส)
The Runarounds เล่าเรื่องกลุ่มวัยรุ่นที่พยายามสร้าง วงดนตรีร็อก ให้ดังภายในฤดูร้อนเดียว ชาร์ลีคือแกนนำที่เชื่อมั่นสุดๆ ว่าวงจะมีแฟนคลับล้นหลามและได้เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ พวกเขามั่นใจในพรสวรรค์ ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นมือสมัครเล่น แม้โดนแมวมองดังปฏิเสธ พวกเขาก็ไม่เสียเวลาร้องไห้ แต่ทุ่มเทซ้อมต่อ ดนตรี…ไม่ใช่เพียงงานอดิเรกแต่เป็นสิ่งที่ผูกพวกเขาไว้เหมือนครอบครัว เมื่อแม่ของใครคนหนึ่งป่วยหนัก เพื่อนๆ ก็รวมตัวช่วยเหลือทันที หรือเมื่อสมาชิกวงโดนไล่ออกจากบ้าน ก็มีคนยื่นมือให้ที่พัก มันเลยทำให้มีคนเลือกปฏิเสธข้อเสนอเงินดีๆ เพื่ออยู่กับวงต่อ
ความสัมพันธ์ในวงทำให้เรื่องราวน่าติดตามมาก ชาร์ลีสู้สุดใจเพื่อไม่ให้วงแตก แม้จะมีดราม่าจากครอบครัวตัวเอง พ่อแม่อยากให้เขาไปเรียนมหาลัย แต่ชาร์ลีไม่สนใจเลยสักนิด แถมบ้านยังเจอวิกฤตการเงินหนัก และแม่ยังซ่อนความลับไว้ โทเฟอร์ก็โดนพ่อแม่กดดันให้เป็นทนาย ไม่เห็นด้วยกับความฝันดนตรีที่คิดว่าเป็นแค่กระแสชั่วคราว ไวแอตต์ยิ่งหนัก แม่ไม่เคยแสดงความรัก แถมไล่เขาออกจากบ้านเพราะไม่จ่ายค่าเช่า ส่วนโซเฟีย (ที่แอบชอบชาร์ลี) มีพ่อติดเหล้า และแม่ตายไปแล้ว ทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับชาร์ลีเป็นแบบเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย คล้ายๆ หนังรักวัยรุ่นทั่วไป แต่บางฉากอย่างชาร์ลีขโมยคำจากไดอารี่เธอมาแต่งเพลง มันช่วยเพิ่มมิติให้เรื่องดูจริงจังขึ้น
แต่บางจุดก็ทำให้หงุดหงิด เช่น เหตุการณ์ที่ห้องบอลรูมคิลเดวิล ชาร์ลีทำอะไรโง่ๆ ที่ไม่เมคเซนส์เลย มันเหมือนทางลัดสร้างดราม่า แต่ซีรีส์ก็ไปถึงจุดจบได้โดยไม่ต้องมีฉากนั้นด้วยซ้ำ มันทำให้เรารู้สึกว่าคนเขียนบทพลาดไปหน่อย แต่โดยรวมแล้ว ความขัดแย้งระหว่างชีวิตส่วนตัวกับอาชีพ ความหลงใหลกับการเงิน และอนาคตมั่นคง vs ความเสี่ยงไล่ตามศิลปะ มันคือเชื้อเพลิงที่ทำให้เรื่องเดือด
การแสดงของ วิลเลียม ลิปตัน (William Lipton) ในบทชาร์ลีคือจุดเด่นสุด เขาถ่ายทอดความมุ่งมั่นแบบไม่ยอมแพ้ได้อย่างน่าเชื่อถือ ชาร์ลีคือคนที่เชื่อว่าแผน A ต้องสำเร็จ ไม่มีแผน B เพราะมันหมายถึงไม่ทุ่มสุดใจ เขาเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆ ทุ่มเทกับดนตรีมากกว่าอะไรทั้งนั้น แม้ความรักกับโซเฟียจะมี แต่ดนตรีสำคัญกว่า การแสดงของลิปตันทำให้เรารู้สึกอยากเชียร์ชาร์ลี เหมือนเป็นเพื่อนตัวจริง
นักแสดงคนอื่นก็ไม่แพ้กัน เจเรมี ยุน ในบทโทเฟอร์ แสดงความขัดแย้งกับพ่อแม่ได้ดี แอกเซล เอลลิส เป็นนีลที่ดูเงียบแต่ซื่อสัตย์ เซนเด มูร์ด็อก ในบทเบซ นำเสนอความเข้มแข็งแบบเงียบๆ และเจสซี กอลลิเฮอร์ เป็นไวแอตต์ที่สะท้อนปัญหาครอบครัวได้อย่างเจ็บปวด พวกเขาเป็นนักดนตรีจริงๆ ทำให้ฉากเล่นเพลงดูสมจริงสุดๆ กล้องจับภาพพวกเขาด้วยพลังงานล้นเหลือ เหมือนเรากำลังดูคอนเสิร์ตสด
แต่ตัวละครผู้ใหญ่บางคนยังขาดมิติ เช่น พ่อของสมาชิกวงคนหนึ่งที่เคยคลุกคลีวงการเพลง 20-30 ปี แต่ซีรีส์ไม่ได้เจาะลึกการสนทนาระหว่างพ่อลูกเรื่องดนตรี มันน่าเสียดายเพราะจะทำให้ความขัดแย้งเข้มข้นขึ้น แต่โดยรวม การแสดงของนักแสดงรุ่นใหม่ทำให้ตัวละครดูสดใส ไร้เดียงสาแต่ดิบเถื่อน น่าปกป้อง เหมือนจับภาพความบ้าของวัยรุ่นได้เป๊ะ

ซีรีส์สำรวจธีมความขัดแย้งระหว่างความฝันกับความจริงได้อย่างน่าติดตาม สมาชิกวงยอมทิ้งมหาลัยและงานฝึกงานเพื่อดนตรี พวกเขาทุ่มหมดตัว ชาร์ลีเคยพูดว่าต้องไม่มีแผน B เพราะมันหมายถึงไม่มั่นใจในฝัน 8 ตอนของซีรีส์พิสูจน์ว่าชาร์ลีพูดถูก เขาเป็นคนจุดประกายให้ทุกคนสู้ต่อ ดราม่าจริง ไม่ใช่ดราม่าโฉ่งฉ่างราคาถูก โดยเล่าเรื่องผ่านมุมมองวัยรุ่น ทำให้ทุกอย่างดูมีพลัง สดใส และเร้าใจ
แต่ใกล้จบ ดราม่าบางอย่างก็แผ่วลง เช่น ลูกชายย้ายออกจากบ้านแต่พ่อแม่ไม่ติดต่อ หรือแม่ย้ายไปโดยไม่บอกลูก แล้วซีรีส์ก็ข้ามไปเรื่องอื่นเลย ไม่สำรวจผลกระทบทางจิตใจ มันเหมือนเก็บไว้ซีซั่นสอง แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าตอนจบเบาไปหน่อย แต่จุดแข็งคือฉากเพลงที่ thrilling สุดๆ แสดงกระบวนการสร้างเพลง ซ้อม และแก้ไขผิดพลาด ทำให้เรารู้สึกใกล้ชิด เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของวง
ผู้สร้างโจนัส เพท พรีเซนต์สมาชิกวงเหมือนร็อกสตาร์ตัวจริง เหมือนเป็นผู้จัดการที่เชื่อมั่นในพรสวรรค์พวกเขา มันทำให้ซีรีส์ดูเป็นโปรโมตวงจริงๆ แต่ก็สนุกเพราะเพลงที่พวกเขาแต่งและเล่นเอง มันมีพลังที่ทำให้เราอยากฟังซ้ำ
The Runarounds (2025) ทำให้เราตั้งคำถามว่าไล่ตามความฝันมันคุ้มไหม ท่ามกลางอุปสรรคจากครอบครัว การเงิน และวงการเพลงโหดร้าย ซีรีส์แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่แผนสำรอง แต่อยู่ที่ความมุ่งมั่นและมิตรภาพที่ยึดเหนี่ยวกัน วงนี้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แม้สถานการณ์ไม่สู้ดี มันสะท้อนธรรมชาติของวัยรุ่นที่ไร้เดียงสาแต่บ้าคลั่ง
สำหรับใครที่ชอบ ซีรีส์วัยรุ่น ที่ผสมเพลงร็อกและเรื่องจริง The Runarounds คือเรื่องที่ต้องดู มันจะทำให้เราได้คิดถึงความฝันตัวเองและพลังของเพื่อน มาแชร์ในคอมเมนต์ว่าซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เราอยากตั้งวงดนตรีไหม หรือแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่หลงรักดนตรีและเรื่องราวไล่ตามฝัน!
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: เดอะรันอราวนด์ส จังหวะพล่าน บรรเลงฝัน
- ประเภท: ดราม่า, ดนตรี, วัยรุ่น
- วันที่ออกฉาย: 1 กันยายน 2568
- นักแสดงนำ: วิลเลียม ลิปตัน (William Lipton), เจเรมี ยุน (Jeremy Yun), แอกเซล เอลลิส (Axel Ellis), เซนเด มูร์ด็อก (Zendé Murdock), เจสซี กอลลิเฮอร์ (Jesse Golliher)
- ผู้สร้าง: โจนัส เพท (Jonas Pate)
- จำนวนตอน: 8 ตอน
- เรตติ้ง IMDb: 7.2/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: Amazon Prime Video