รีวิวซีรีส์ฝรั่ง

[รีวิว] Ripley (2024) การตีความใหม่ที่เข้มข้นและน่าสนใจ!

นิยายอมตะของ แพทริเซีย ไฮสมิธ (Patricia Highsmith) เรื่อง “The Talented Mr. Ripley” ได้ดึงดูดความสนใจของผู้อ่านมาหลายทศวรรษแล้ว และบัดนี้ Netflix ได้นำเรื่องราวนี้มาสร้างเป็นซีรีส์ลิมิเต็ดที่มีชื่อว่า “Ripley” (2024) ซีรีส์เรื่องนี้ได้หลีกเลี่ยนฉากของอิตาลีอันสดใสจากภาพยนตร์ปี 1999 และเลือกใช้สีขาวดำเพื่อสร้างบรรยากาศอันเข้มขรึมของเรื่องราวทางจิตวิทยาที่หยั่งลึกถึงประเด็นเกี่ยวกับตัวตน ความหลงใหล และเสน่ห์ของชีวิตที่ไม่ใช่ของตนเอง

เรื่องย่อ Ripley

ซีรีส์ “Ripley” ติดตามเรื่องราวของ Tom Ripley (รับบทโดย แอนดรูว์ สก็อตต์ (Andrew Scott)) ชายหนุ่มที่มีเสน่ห์แต่คลุมเครือทางจริยธรรม ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในนิวยอร์กในช่วงทศวรรษ 1960 เมื่อเศรษฐีชื่อ Mr. Greenleaf (รับบทโดย มาร์ก ไรแลนซ์ (Mark Rylance)) มอบหมายให้ Ripley ไปพบและพาลูกชาย Dickie (รับบทโดย Johnny Flynn) กลับมาจากอิตาลี Ripley พบว่าตัวเองถูกดึงดูดเข้าสู่โลกของความมั่งคั่งและสถานะที่แตกต่างไปจากชีวิตของตัวเอง Dickie เป็นหนุ่มเจ้าชู้ที่ไร้จุดหมาย แต่กลับหลงใหลในวิถีชีวิตที่ปราศจากความกังวลใด ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Ripley ปรารถนาอย่างยิ่ง ขณะที่ Ripley ใกล้ชิดกับ Dickie และแฟนสาว Marge Sherwood (รับบทโดย Dakota Fanning) เส้นแบ่งระหว่างความเป็นจริงและความจินตนาการก็เริ่มเลือนราง

ถูกผลักดันด้วยความเคว้งคว้าง ความปรารถนา และความรู้สึกที่บิดเบี้ยวว่าตนเองมีสิทธิพิเศษ Ripley จึงเริ่มมุ่งมั่นในเส้นทางของการหลอกลวงและการหลอกหลวง ซีรีส์ได้สร้างความตึงเครียดอย่างยอดเยี่ยมในขณะที่บทบาทที่วางแผนไว้ของ Ripley ถูกคุกคามจะพัง ทุกก้าวการคำนวณที่ถูกวางไว้ของ Ripley ได้ผลักเขาเข้าสู่หน้าผาที่อันตราย ทำให้ผู้ชมอดสงสัยไม่ได้ว่า Ripley พร้อมที่จะไปเพียงใดเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนปรารถนา

การแสดง

Andrew Scott ถ่ายทอดบทบาทของ Tom Ripley อย่างโดดเด่น โดยสามารถปรับเปลี่ยนตัวละครจากการมีเสน่ห์ไปสู่ความร้ายกาจได้อย่างคล่องแคล่ว การแสดงของ Scott ทั้งหยุดนิ่งและน่าขนลุก ทำให้ผู้ชมไม่อาจคาดเดาได้ถึงเจตนาแท้จริงของ Ripley ในแต่ละขณะ Mark Rylance ให้การแสดงที่ละเอียดอ่อนในบทของ Mr. Greenleaf ผู้ซึ่งสิ้นหวังที่จะพบความผูกพันกับลูกชายที่หลงทาง Johnny Flynn สร้างเสน่ห์ให้กับบทของ Dickie ขณะที่ Dakota Fanning แสดงบทบาท Marge ที่มีปฏิภาณไหวพริบและความเข้าใจในสถานการณ์ได้อย่างลึกซึ้ง

นักแสดงสมทบได้ร่วมกันสร้างความลึกซึ้งและความซับซ้อนให้กับตัวละครในโลกของ Ripley ทุกปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นล้วนมีความเป็นธรรมชาติ ช่วยเสริมสร้างเรื่องราวในภาพรวม

โปรดักชัน

ผู้กำกับ Steven Zaillian ได้สร้างงานภาพที่อลังการด้วยการใช้สีขาว-ดำอย่างตั้งใจ ซึ่งเน้นย้ำความคลุมเครือทางศีลธรรมที่เป็นหัวใจของเรื่องราว การใช้ฉากและเครื่องแต่งกายในยุคทศวรรษ 1960 ก็ช่วยดึงดูดให้ผู้ชมหลุดไปสู่โลกของอิตาลีและนิวยอร์กในสมัยนั้น

เพลงประกอบซีรีส์ที่แต่งโดย Daniel Pemberton ทั้งสะเทือนใจและตึงเครียด ลงตัวกับการแสดงบนจอ เสียงดนตรีเพิ่มความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง สร้างความรู้สึกอึดอัดใจที่ตามเราไปเมื่อจบตอน

สรุป

“Ripley” (2024) เป็นซีรีส์ลิมิเต็ดที่ถูกสร้างสรรค์อย่างยอดเยี่ยม นำเสนอมุมมองใหม่ที่น่าสนใจของเรื่องราวคลาสสิกจาก Patricia Highsmith ด้วยการแสดงที่โดดเด่น ภาพและเสียงที่เลิศ รวมถึงเรื่องราวที่ตึงเครียด ไม่ว่าคุณจะคุ้นเคยกับนิยายต้นฉบับหรือเป็นผู้ชมใหม่ “Ripley” เป็นซีรีส์ที่มีความน่าติดตามสำหรับทุกคนที่หลงใหลในเรื่องราวแนวจิตวิทยาสุดระทึกขวัญ

อ่านต่อ

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button