ต่างประเทศ

ขันที คืออะไร? เปิดความลับประวัติศาสตร์และบทบาทในสังคม

  • ขันที คือชายที่ถูกตัดอวัยวะเพศเพื่อรับใช้ในราชสำนักและควบคุมฝ่ายใน มีต้นกำเนิดจากเปอร์เซียโบราณและแพร่หลายไปยังจีน ไทย และอารยธรรมอื่นๆ
  • บทบาทหลัก ของขันทีคือการดูแลพระราชฐานฝ่ายใน รับใช้จักรพรรดิและนางสนม และในบางยุคสมัยกลายเป็นที่ปรึกษาทางการปกครองที่มีอิทธิพลสูง
  • ในประเทศไทย เรียกว่า “นักเทษขันที” ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและถูกยกเลิกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
  • มรดกทางประวัติศาสตร์ ของขันทีแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของระบบสังคมโบราณและเป็นบทเรียนสำคัญในการพัฒนาสังคมที่เป็นธรรมมากยิ่งขึ้น

เราเคยสงสัยหรือไม่ว่า ขันที ที่เราเห็นในภาพยนตร์หรือซีรีส์จีนสมัยโบราณนั้นมีความหมายและบทบาทอย่างไร บุคคลลึกลับเหล่านี้มีประวัติศาสตรที่ยาวนานและซับซ้อนกว่าที่เราคิด พวกเขาไม่ใช่เพียงแค่ตัวละครในนิยาย แต่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่แท้จริงที่มีบทบาทสำคัญในการปกครองและวัฒนธรรมของหลายอารยธรรม

ขันที หรือที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า Eunuch เป็นบุคคลที่ถูกตัดอวัยวะเพศชายเพื่อรับใช้ในราชสำนักและควบคุมฝ่ายใน ประวัติศาสตร์ของขันทีมีความเชื่อมโยงกับอารยธรรมหลายแห่งทั่วโลก ตั้งแต่เปอร์เซีย จีน ไปจนถึงอาณาจักรออตโตมาน และแม้แต่ในประเทศไทยสมัยอยุธยาก็เคยมีการใช้ระบบนักเทศขันทีเช่นกัน

How to create a Eunuch in ancient China
ภาพจาก china-underground.com

ความหมายและที่มาของคำว่า “ขันที”

คำว่า “ขันที” มีรากศัพท์ที่น่าสนใจและหลากหลาย ดร.วินัย พงศ์ศรีเพียร นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าคำนี้น่าจะมาจากคำว่า “ขณฺฑ” ในภาษาสันสกฤต ซึ่งมีความหมายว่า “ทำลาย” และกินความหมายไปถึง “ไม่สมบูรณ์ ขาดหายไป ทำลายหรือตัดออกเป็นชิ้น” คนไทยได้แผลงคำว่า “ขณฺฑ” เป็น “ขณฺฑี” ในการเขียน

ในภาษาจีน ขันที เรียกว่า “ไท่เจี้ยน” (太监) หรือ “ฮ่วนกวน” (宦官) ซึ่งเป็นคำเรียกชายผู้ถูกตัดอวัยวะเพศก่อนเข้าปฏิบัติงานในวังหลวง ส่วนในภาษาละตินและอาหรับเรียกว่า ยูนุก (Eunuch) ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคำว่า ยูโนคอส (eunouchos) แปลว่า “ผู้ดูแลรักษาเตียง”

ส่วนชนชาติมอญเรียกขันทีว่า “กมนุย” แปลว่า ขันทีที่ปราศจากความรู้สึกทางเพศ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการมีขันทีเป็นธรรมเนียมที่แพร่หลายในหลายวัฒนธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประวัติศาสตร์และต้นกำเนิดของขันที

เชื่อกันว่า ขันที เริ่มมีขึ้นครั้งแรกในเปอร์เซียโบราณ โดยให้ตอนทาสชายที่กวาดต้อนมาไว้รับใช้ในราชสำนัก ต่อมาได้แพร่หลายเข้าไปในราชสำนักจีนและจักรวรรดิออตโตมาน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เชื่อว่าขันทีมีต้นกำเนิดมาจากเมืองละกาสช์ (Lagash) ของสุเมเรียน ในเมโสโปเตเมีย ราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล

ในจีนมีบันทึกว่าขันทีเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์อินซาง (ราชวงศ์ซาง 1300-1046 ปีก่อนคริสต์ศักราช) จากหลักฐานบนกระดองเต่ามีตัวหนังสือจีนโบราณที่หมายถึง “การตัดองคชาต” และมีบันทึกว่า อู่ติงหวัง กษัตริย์แห่งราชวงศ์อินซางได้รับสั่งให้ตัดอวัยวะเพศของเชลยหนุ่มชาวเชียงและนำตัวไปเป็นขันที ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมต่างๆ

ในยุคแรกเริ่ม ขันที กำเนิดมาจากบทลงโทษของราชสำนักที่กระทำต่อเชลยศึก ต่อมาแม้แต่พวกข้าราชการที่กษัตริย์ไม่พอพระทัยหรือชายสามัญชนที่ถูกนำมาเป็นทาสก็ถูกตอนให้เป็นขันทีเช่นกัน จนถึงราชวงศ์สุย (ราชวงศ์สุย ค.ศ. 581-618) ทางการยกเลิกโทษการตอน และในยุคหลังขันทีจึงเกิดจากความสมัครใจมากกว่า

บทบาทและหน้าที่ของขันทีในราชสำนัก

ขันที มีบทบาทสำคัญหลายประการในราชสำนัก หน้าที่หลักคือการควบคุมและดูแลฝ่ายในของพระราชวัง เนื่องจากพระราชฐานฝ่ายในเป็นที่ประทับของเจ้านายฝ่ายหญิงและนางสนมกำนัล ไม่มีชายใดสามารถเข้ามาในเขตนี้ได้นอกจากจักรพรรดิองค์เดียว ดังนั้นผู้ชายจึงต้องสละความเป็นชายเป็นขันทีเพื่อให้อยู่ร่วมกับเหล่าสตรีได้โดยไม่เกิดปัญหา

งานของขันทีมีหลายประเภท ได้แก่ การรับใช้ในห้องบรรทม ห้องทรงพระอักษร ห้องเครื่อง หรือกระจายไปตามแต่ละตำหนักเพื่อปรนนิบัติรับใช้จักรพรรดิหรือเจ้านายฝ่ายหญิงองค์ต่างๆ ขันทีที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดและรู้จักเอาอกเอาใจนายมักจะได้รับความไว้วางใจ และบางคนได้รับพระราชทานตำแหน่งข้าราชการและทรัพย์สินเงินทองมากมาย

นอกจากหน้าที่รับใช้แล้ว ขันทียังมีบทบาทเป็นที่ปรึกษาให้กับจักรพรรดิในการปกครองบ้านเมือง ในบางยุคสมัยขันทีมีอิทธิพลสูงมากจนกระทั่งมีส่วนทำให้ราชวงศ์อ่อนแอและล่มสลาย เช่น ยุคสามก๊ก หรือปลายราชวงศ์หมิง และปลายราชวงศ์ชิง เป็นต้น

ขันทีในประเทศไทยสมัยอยุธยา

ในประเทศไทย แม้จะไม่พบหลักฐานที่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่มีร่องรอยที่ทำให้เห็นว่ามีขันทีมาก่อนโดยในสมัยอยุธยาเรียกขันทีว่า “นักเทษขันที” (บ้างเขียน นักเทศขันที) นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ให้ความเห็นว่า นักเทษ และ ขันที คงเป็นขุนนางชายที่ถูกตอนเหมือนกัน

ดร.วินัย พงศ์ศรีเพียร อธิบายว่า ฝ่ายหนึ่งที่เรียกว่า “นักเทษ” (นักเทศ) นั้นรับราชการฝ่ายขวา ส่วนอีกฝ่ายที่เรียกว่า “ขันที” นั้นรับราชการฝ่ายซ้าย มีข้อสันนิษฐานว่าพระมหากษัตริย์ไทยสมัยโบราณให้ขันทีอยู่ในสังกัดของฝ่ายใน และไม่ทรงเปิดโอกาสให้นักเทษขันทีมีส่วนร่วมในราชการฝ่ายหน้า

นักเทษขันที ยังคงดำรงอยู่จนสิ้นกรุงศรีอยุธยา และถูกยกเลิกลงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระบบขันทีในไทยมีความต่อเนื่องยาวนานหลายร้อยปี แต่แตกต่างจากจีนที่มีขันทีจำนวนหลักพันถึงหลักหมื่น ในไทยอาจมีจำนวนจำกัดและไม่ค่อยมีอิทธิพลทางการปกครอง

ชีวิตและสภาพการใช้ชีวิตของขันที

ชีวิตของ ขันที ภายในกำแพงวังเต็มไปด้วยความท้าทายและการแข่งขัน เมื่อร่างกายของเด็กชายฟื้นตัวเป็นปกติหลังการตอน พวกเขาจะเข้าวังตรวจร่างกายและแสดงหลักฐานเพื่อเป็นขันทีโดยสมบูรณ์ เมื่อผ่านการคัดกรองจากกรมขันทีแล้ว ขันทีแต่ละคนจะถูกส่งไปปฏิบัติงานตามห้องต่างๆ ในวัง

ปกติในพระราชวังจะมีขันทีอยู่ประมาณ 700 ถึง 1,000 คน พวกเขามีเสียงพูดและท่าเดินเหมือกับผู้หญิง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน ขันทีจะถูกปลดเกษียณเมื่ออายุครบ 70 ปี และไปอยู่ที่ศาลาขันทีโดยไม่ต้องเสียค่ากินอยู่ใดๆ

ชีวิตในวังหลวงต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันตลอดเวลา ต่างคนต่างแบ่งพรรคแบ่งพวก ต้องระมัดระวังตัวในทุกฝีก้าว เจ้านายคือเจ้าชีวิตที่ทั้งชาติต้องยอมพลีกายถวายหัวให้ ขันทีหลายคนที่พยายามไต่เต้าให้หลุดพ้นจากสภาพทาสรับใช้ผู้ต่ำต้อยจนได้กลายเป็นที่ปรึกษาคู่พระทัยขององค์จักรพรรดิก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย

นอกจากนี้ขันทียังเป็นผู้ดูแลองค์ชายทั้งหลายมาแต่เด็ก เมื่อองค์ชายเหล่านั้นมีอำนาจวาสนาก็มักจะเชื่อขันทีที่เคยเลี้ยงดูตัวเองมา ทำให้ขันทีบางคนมีโอกาสได้รับความไว้วางใจและมีอิทธิพลสูงในราชสำนัก

อิทธิพลและมรดกทางประวัติศาสตร์

ขันที ไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้าราชการธรรมดา แต่บางคนกลายเป็นบุคคลทรงอิทธิพลที่มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ “สิบเสียงสี” หรือ “สิบขันที” ซึ่งเป็นกลุ่มของขุนนางขันทีที่มีอิทธิพลในราชสำนักของพระเจ้าเลนเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น ขันทีเหล่านี้ได้รับการยกย่องจากจักรพรรดิจนกระทั่งพระองค์ตรัสว่า “ขันทีจาง เป็นบิดาของเรา ขันทีเจ้า เป็นมารดาของเรา”

อย่างไรก็ตาม อิทธิพลที่มากเกินไปของขันทีก็นำมาซึ่งความเสื่อมโทรมของราชวงศ์หลายแห่ง เหล่าขันทีใช้อำนาจในทางมิชอบ สร้างคฤหาสน์ส่วนตนอย่างฟุ่มเฟือยเฉกเช่นพระราชวังหลวง และมีส่วนทำให้บ้านเมืองอ่อนแอไร้เสถียรภาพจนนำมาสู่การล่มสลายของบ้านเมือง

ในยุคปัจจุบัน ขันทีกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป๊อปในเอเชีย ปรากฏในภาพยนตร์ ซีรีส์ นิยาย และสื่อความบันเทิงต่างๆ ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตในราชสำนักโบราณ การนำเสนอเหล่านี้ช่วยให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้และเข้าใจประวัติศาสตร์ได้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าบางส่วนอาจถูกดัดแปลงเพื่อความบันเทิง

ทิ้งท้าย

ขันที เป็นมากกว่าเพียงแค่ตัวละครในนิทานประวัติศาสตร์ พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคมและการปกครองที่ซับซ้อนซึ่งดำรงอยู่มาหลายพันปี ตั้งแต่การเป็นเชลยศึกที่ถูกบังคับให้เสียสละ จนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในราชสำนักที่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางของประวัติศาสตร์ได้

การศึกษาเรื่องขันทีช่วยให้เราเข้าใจถึงความซับซ้อนของสังคมโบราณ ระบบอำนาจ และวิวัฒนาการทางสังคม แม้ว่าระบบขันทีจะหมดไปแล้วในยุคปัจจุบัน แต่เรื่องราวของพวกเขายังคงเป็นส่วนสำคัญของมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เราควรเรียนรู้และจดจำ เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับการพัฒนาสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้นในอนาคต

การที่เราได้เรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเราสนับสนุนการกระทำดังกล่าว แต่เป็นการเข้าใจบริบททางประวัติศาสตรที่ช่วยให้เราประเมินและพัฒนาค่านิยมของสังคมปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น

NaniTalk S.

เป็นนักเขียนที่ขยันขันแข็งและมุ่งมั่นที่จะผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ เรียนรู้และเติบโตอยู่เสมอ เชื่อว่าเนื้อหาที่ดีสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button