รีวิวหนัง-ซีรีส์

[รีวิว-เรื่องย่อ] 1670 ซีซั่น 2 ซีรีส์คอมเมดี้ย้อนยุคสุดฮา

  • 1670 ซีซั่น 2 ยังคงเด่นเรื่องฉากและพร็อพสุดครีเอทีฟ เหมือนซีซั่นแรก แต่ฮูมอร์ไม่ค่อยพีคเท่า
  • การแสดงของนักแสดงยังดี แต่บทตลกหลายมุกไม่ค่อยโดนใจ เน้นดราม่ามากเกินไป
  • สำรวจธีมชีวิตชาวบ้านย้อนยุค ผสมมุกสมัยใหม่ แต่ขาดเซอร์ไพรส์ที่ทำให้ขำกลิ้ง
  • ผู้กำกับพยายามเพิ่มความลึก แต่ทำให้ซีรีส์เสียเสน่ห์ความฮาแบบเดิม

เคยขำกลิ้งกับซีรีส์ 1670 ซีซั่นแรกที่พาไปย้อนยุคศตวรรษที่ 17 ในหมู่บ้านโปแลนด์สุดเพี้ยนไหม? มันเหมือน mockumentary ที่เอาประวัติศาสตร์มาผสมมุกสมัยใหม่ จนกลายเป็นความฮาสุดติ่ง แต่พอมาถึงซีซั่น 2 ล่ะ? มันยังคงมีพร็อพเจ๋งๆ ฉากสวยๆ แต่ทำไมฮูมอร์ถึงแผ่วลง? ซีรีส์ Netflix เรื่องนี้พยายามเพิ่มความลึกซึ้ง แต่กลับทำให้เสียเสน่ห์ความตลกเบาสมองที่เราเคยหลงรัก บทความนี้จะพาเราไปรีวิวทุกแง่มุม ตั้งแต่จุดเด่นเรื่องการออกแบบฉาก ไปจนถึงจุดที่ทำให้ซีซั่นนี้ไม่ค่อยปัง มาดูกันว่ามันยังน่าดูอยู่รึเปล่า

ลองนึกภาพสิ ถ้าเราได้เข้าไปอยู่ในโลกที่ทุกอย่างดูจริงจังแบบย้อนยุค แต่เต็มไปด้วย gadget สุดกาวจากสมัยนั้น? 1670 ซีซั่น 2 ยังคงเล่นใหญ่เรื่องนี้ เหมือนรถพยาบาลที่มีไก่แทนไซเรนในซีซั่นแรก หรือแพลตฟอร์มหมุนได้ด้วยคันโยกในซีซั่นนี้ มันทำให้เรารู้สึกว่าโลกในซีรีส์นี้มีชีวิตจริงๆ แต่ปัญหาคือ ฮูมอร์หลายมุกมันไม่ค่อยจุดติด เหมือนจะตลกแต่จบแบบโล่งๆ ไม่มี punchline ที่ทำให้ขำน้ำตาไหล

ในรีวิวนี้ เราจะเจาะลึกว่าทำไมซีซั่น 2 ถึงไม่ค่อยฮาเท่าที่ควร แต่ก็ยังมีโมเมนต์น่ารักๆ ให้ยิ้มตาม ใครที่เป็นแฟนซีรีส์คอมเมดี้เสียดสีสังคม มาอ่านกันเถอะ แล้วบอกเราหน่อยว่าคิดยังไงกับการเปลี่ยนแปลงนี้ มันจะทำให้เราเปลี่ยนใจไม่ดูต่อรึเปล่า?

รีวิวและเรื่องย่อ 1670 ซีซั่น 2

1670 ซีซั่น 2 เล่าเรื่องต่อจากซีซั่นแรกในหมู่บ้าน Adamczycha สมัยศตวรรษที่ 17 ที่เต็มไปด้วยชาวบ้านเพี้ยนๆ และมุกตลกเสียดสีสังคม เรื่องราวหมุนรอบตัวละครหลักอย่าง Jan Paweł Adamczewski (รับบทโดย Bartłomiej Topa) ที่ยังคงเป็นขุนนางสุดกะล่อน พยายามปกครองหมู่บ้านด้วยไอเดียแปลกๆ แต่ซีซั่นนี้เพิ่มดราม่ามากขึ้น เช่น การแย่งชิงอำนาจและปัญหาชีวิตส่วนตัวที่ทำให้เรื่องหนักแน่นเกินไป เราจะเห็นชาวบ้านต้องเผชิญกับเหตุการณ์ใหม่ๆ เช่น ปาร์ตี้ Bogdan Bogdan Bogdan ที่ฟังดูฮาแต่ในหนังจริงๆ มันแบนๆ ไม่ค่อยมีอะไรเซอร์ไพรส์

Dobromir Dymecki ผู้รับบท Bogdan บอกว่าเซ็ตติ้งในซีรีส์นี้เจ๋งมาก เพราะสร้างหมู่บ้านจริงๆ ในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ Kolbuszowa ไม่ใช่แค่ฉากปลอมๆ มันทำให้การแสดงดูสมจริง เหมือนแค่วิ่งเข้าไปในฉากแล้วเล่นเลย เรารู้สึกได้ถึงความรักที่ทีมงานใส่ใจพร็อพต่างๆ เช่น สายคาดหัวที่มีเทียนสองเล่มแทนไฟฉาย หรือแผ่นกระดาษเลื่อนคำร้องเพลงเหมือน Teleprompter สมัยใหม่ แต่พอมาซีซั่น 2 ความสดใหม่มันหายไป เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าจะมีอะไรแบบนี้ มันเลยไม่ค่อยว้าวเท่าเดิม

ทีมงานออกแบบอย่าง Miroslaw Koncewicz และ Kamila Grzybowska-Sosnowska คือฮีโร่ตัวจริงที่ทำให้ ซีรีส์ย้อนยุค เรื่องนี้โดดเด่น แต่ซีซั่นนี้บทมันไม่ค่อยช่วย เหมือนมุกตลกถูกเขียนแบบเครื่องจักร ไม่มีเซอร์ไพรส์ที่ทำให้เราอึ้งหรือขำร่า

การแสดงใน 1670 ซีซั่น 2 ยังคงดีเหมือนเดิม นักแสดงทุกคนเล่นได้น่ารักและตลก โดยเฉพาะ Bartłomiej Topa ในบท Jan Paweł ที่ต้องแปลภาษาในฉากหนึ่ง ซึ่งควรจะฮาสุดๆ แต่บทมันไม่ค่อย payoff เราจะเห็นตัวละครอื่นๆ อย่าง Bogdan ที่เล่นโดย Dobromir Dymecki ยังคงมีเสน่ห์แบบชาวบ้านเพี้ยน แต่ซีซั่นนี้เพิ่ม pathos หรือความเศร้าดราม่าเข้ามา ซึ่งทำให้เรื่องหนักเกินไปสำหรับซีรีส์คอมเมดี้

พร็อพและฉากยังคงครีเอทีฟ เช่น แผ่นแปะตาที่ติดสติกเกอร์หัวใจตอนเดต หรือกีฬาที่เอาคุณแม่กับลูกน้อยมาแข่ง มันเหมือนเป็นการเปรียบเทียบชีวิตจริง ที่เอาสิ่งสมัยใหม่มาผสมเข้ากับยุคเก่า แต่เพราะเราเคยเห็นแบบนี้ในซีซั่นแรก มันเลยไม่ค่อยสดใหม่ Nils Croné ผู้กำกับภาพยังทำให้ภาพสวยสดใส แต่ฮูมอร์ไม่ค่อยจุดติด เหมือนไฟที่จุดแล้วดับไว

โมเมนต์ตลกที่ชอบ เช่น บทกวีเกี่ยวกับเป็ด (bak bak bak) หรือ ประโยคจีบห่วยๆ ที่ขึ้นต้นด้วย “เธอถูกบดขยี้รึเปล่า?” มันมีเสน่ห์แบบแปลก ๆ แต่โดยรวมแล้วซีซั่นนี้ขาดความน่าทึ่งที่ทำให้เราหัวเราะไม่หยุด

ซีซั่น 2 ของ 1670 Netflix มีปัญหาหลักคือฮูมอร์แผ่วลง มุกอย่าง “good priest, bad priest” ฟังดูตลกบนกระดาษ แต่พอออกมาบนจอ กลับออกมาเฉย ๆ เหมือนเป็นคำถามเชิงโวหารว่า ทำไมมันถึงไม่ตลก? เพราะบทมันดูเป็นสูตรสำเร็จเกินไป ไม่มีจังหวะเซอร์ไพรส์ให้ตื่นเต้น การใส่ดราม่ากลับยิ่งทำให้น่าเบื่อ โดยเฉพาะตอนจบที่พยายามจะดึงความสนใจไปที่ความประดิษฐ์ของซีรีส์ แต่กลับรู้สึกน่ารำคาญมากกว่าดูฉลาด

ธีมที่ซีรีส์นำเสนอ ยังคงเป็นเรื่องชีวิตย้อนยุคผสมความทันสมัย เช่น การดิ้นรนเอาตัวรอดในสังคมแปลกประหลาดและการเสียดสีการเมือง แต่ซีซั่นนี้พยายามทำให้โตขึ้น อยากขยายแนวทางใหม่ๆ ซึ่งเจตนาดีแต่การเล่าเรื่องกลับพลาด เหมือนการทำเค้กที่ใส่วัตถุดิบมากเกินไปจนเสียรสชาติ รู้สึกน่าเสียดาย เพราะซีซั่นแรกทั้งสดใหม่และบันเทิงสุดๆ

โดยรวมแล้ว ซีซั่นนี้ไม่ได้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ได้ปังเหมือนเดิม เมื่อเทียบกับซีซั่นแรก มันเหมือนเพื่อนที่เคยทำให้หัวเราะ แต่ตอนนี้จริงจังเกินไป จนทำให้เราอยากย้อนกลับไปดูซีซั่นเก่าๆ มากกว่า

1670 ซีซั่น 2 ทำให้เราตั้งคำถามว่าซีรีส์คอมเมดี้ควรเพิ่มดราม่ามากขนาดไหน? มันยังคงมีจุดเด่นเรื่องฉากและพร็อพสุดเจ๋ง ที่ทำให้โลกย้อนยุคดูสนุก แต่ฮูมอร์ที่แผ่วลงและการพยายามจริงจังเกินไป ทำให้เสียเสน่ห์เดิม ถ้าเราเป็นแฟนซีซั่นแรก อาจรู้สึกผิดหวังนิดๆ แต่ก็ยังมีโมเมนต์ขำๆ ให้ยิ้มตาม

สำหรับใครที่ชอบ ซีรีส์คอมเมดี้เสียดสี แบบสารคดีล้อเลียน ลองดูซีซั่นนี้ แล้วมาบอกเราว่าคิดยังไง? มันยังฮาพอให้ดูต่อไหม? แชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่ชอบ Netflix แล้วมาร่วมคุยในคอมเมนต์กันเถอะ อย่าลืมนะว่าการดูซีรีส์แบบนี้ มันช่วยให้เราได้ผ่อนคลาย แล้วก็หัวเราะไปกับชีวิตเพี้ยนๆ ได้จริงๆ

  • ประเภท: คอมเมดี้, ล้อเลียน, Mockumentary
  • วันที่ออกฉาย: 20 กันยายน 2568
  • นักแสดงนำ: Bartłomiej Topa, Dobromir Dymecki
  • ความยาว: 8 ตอน
  • เรตติ้ง IMDb: 7.5/10
  • ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix

กดเพื่ออ่านต่อ

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button