[รีวิว-เรื่องย่อ] The Morning Show ซีซั่น 4

• The Morning Show ซีซั่น 4 เล่าเรื่องหลังการรวมเครือข่าย UBA-NBN ที่นำไปสู่ดราม่าการเมืองและข่าวใหญ่ระดับโลก
• การแสดงของเจนนิเฟอร์ อนิสตัน ในบทอเล็กซ์ เลวี ยังคงโดดเด่น แสดงความซับซ้อนของตัวละครที่ต้องรับมือกับอำนาจและวิกฤต
• ซีรีส์สำรวจธีมการใช้ AI ในสื่อ การหลบหนี และความขัดแย้งในวงการข่าวที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน
• ผู้กำกับและทีมงานนำเสนอเรื่องราวที่ตึงเครียด ผสมผสานกับเหตุการณ์จริงอย่างโอลิมปิกปารีส 2024

เคยสงสัยกันไหมว่า วงการข่าวโทรทัศน์ที่ดูหรูหราแบบนี้ มันมีดราม่าซ่อนอยู่เบื้องหลังขนาดไหน? ซีรีส์ The Morning Show ซีซั่น 4 พาเราไปเจาะลึกชีวิตของเหล่าผู้ประกาศข่าวที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากการรวมเครือข่าย UBA-NBN ที่ทำให้ทุกอย่างพลิกผัน จากการใช้ AI สร้างข่าว ไปจนถึงวิกฤตส่วนตัวที่อาจทำลายอาชีพ ซีซั่นนี้เหมือนรถไฟเหาะที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เหมือนกับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของห้องข่าวที่อะไรก็เกิดขึ้นได้

เรื่องราวเริ่มต้นในปี 2024 กับการโปรโมตโอลิมปิกปารีส โดย อเล็กซ์ เลวี (เจนนิเฟอร์ อนิสตัน) ที่ยังคงเป็นหน้าเป็นตาของเครือข่าย แต่เธอต้องรับมือกับ CEO ใหม่และการตัดสินใจที่เสี่ยงอันตราย เช่น การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่อาจจุดชนวนปัญหาใหญ่ ซีรีส์นี้ถามเราว่า ในโลกที่ข่าวไหลเร็วขนาดนี้ การรักษาความซื่อสัตย์มันยากแค่ไหน? มันเหมือนเกมหมากรุกที่แต่ละตัวหมากมีแผนลับของตัวเอง

ในบทความนี้ เราจะพาไปสำรวจทุกมุมของ The Morning Show ซีซั่น 4 ตั้งแต่พล็อตที่ซับซ้อน การแสดงที่ยอดเยี่ยม ไปจนถึงข้อความที่ซีรีส์อยากสื่อ มาดูกันว่า ซีซั่นนี้จะทำให้เราติดงอมแงมเหมือนซีซั่นแรกๆ หรือจะกลายเป็นแค่ดราม่าที่เหนื่อยเปล่าๆ

รีวิวและเรื่องย่อ The Morning Show ซีซั่น 4

The Morning Show ซีซั่น 4 เปิดฉากด้วยปี 2024 และโปรโมตโอลิมปิกปารีสที่เครือข่าย UBN (จากรวม UBA-NBN) จะถ่ายทอด โดยใช้ AI สร้างเสียงพากย์ ในหลายภาษาเพื่อดึงดูดผู้ชมทั่วโลก ระบบนี้ถูกทดสอบโดย CEO สเตลลา แบค (เกรตา ลี) และหัวหน้าฝ่ายกีฬา เบน (วิลเลียม แจ็คสัน ฮาร์เปอร์) มันเหมือนกับการปฏิวัติวงการข่าวที่ทำให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย แต่ก็ซ่อนความเสี่ยงไว้เพียบ

หลังรวมเครือข่าย อเล็กซ์ เลวี ยังคงเป็นดาวเด่นและมีอำนาจลับๆ ในการบริหาร เธอเสียดายที่ไม่ได้ไล่ โบร (บอยด์ โฮลบรูค) พิธีกรพอดแคสต์สไตล์โจ โรแกน ที่ดังแต่ขัดภาพลักษณ์เครือข่ายซึ่งมีผู้บริหารหญิงเยอะ ในตอนสัมภาษณ์นักฟันดาบอิหร่านและพ่อซึ่งเป็นนักวิทย์นิวเคลียร์ อเล็กซ์ได้รับโน้ตขอหลบหนี เธอเลยช่วยพวกเขา defect ซึ่งจุดชนวนความโกรธจากสเตลลาและเซลีน ดูมงต์ (มาริยง โกติยาร์) จากครอบครัวเจ้าของฝรั่งเศส

เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับ IOC สเตลลาจึงสั่งให้อเล็กซ์งดสัมภาษณ์ และให้คริสตินา ฮันเตอร์ (นิโคล เบฮารี) ออกจากโต๊ะข่าวชั่วคราวไปรายงานนอกสถานที่ ผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ มีอา จอร์แดน (คาเรน พิตต์แมน) เสนอไอเดียเจ๋งให้แบรดลีย์ แจ็คสัน (รีส วิเธอร์สปูน) กลับมารับหน้าที่แทน

แบรดลีย์หายหน้าจากวงการตั้งแต่ปี 2022 ที่เธอยอมมอบตัวและน้องชายให้ FBI เมื่อมีอาไปตามเธอที่เวสต์เวอร์จิเนีย แบรดลีย์ลังเล แต่แล้วได้รับข้อความลับว่า UBN กำลังปกปิดสแกนดัลที่อาจเกี่ยวข้องกับบริษัทแม่ เธอเลยตัดสินใจกลับ แต่ FBI และอเล็กซ์ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ มันเหมือนกับการกลับมาของตัวละครที่เคยถูกทำลาย แล้วต้องเผชิญหน้ากับอดีตอีกครั้ง

เจนนิเฟอร์ อนิสตัน ในบทอเล็กซ์ เลวี แสดงได้อย่างน่าประทับใจ เธอถ่ายทอดความซับซ้อนของผู้หญิงที่มีอำนาจแต่ต้องต่อสู้กับการตัดสินใจที่เสี่ยง ฉากที่เธอช่วยพวกแปรพักตร์นั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด เหมือนกับว่าเราเห็นตัวละครที่เคยแข็งแกร่งเริ่มสั่นคลอนจากแรงกดดันรอบด้าน การแสดงของเธอทำให้เรารู้สึกว่าวงการข่าวไม่ใช่แค่การอ่านสคริปต์ แต่เป็นสงครามจิตใจ

รีส วิเธอร์สปูน กลับมาในบทแบรดลีย์ แจ็คสัน ด้วยพลังที่สดใหม่ เธอแสดงความลังเลและความกล้าหาญได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะตอนที่ได้รับข้อความลับ มันเหมือนกับแมวที่เคยถูกไฟลวกแล้วต้องกลับไปเล่นกับไฟอีกครั้ง การพัฒนาตัวละครของเธอในซีซั่นนี้เพิ่มมิติให้ซีรีส์ดูน่าติดตามมากขึ้น

นักแสดงสมทบอย่าง บิลลี ครูดัพ ในบทคอรี เอลลิสัน ที่ตอนนี้ไปทำหนังที่ฮอลลีวูด และ มาร์ค ดูพลาส ในบทชิป แบล็ค ที่ผลิตสารคดี ก็เพิ่มสีสันให้เรื่องราว การเข้ามาของมาริยง โกติยาร์ และเจเรมี ไอรอนส์ (บทพ่อของอเล็กซ์) ยิ่งทำให้ซีซั่นนี้มีพลังดารา Oscar-winning เต็มเปี่ยม แต่บางทีมันก็เยอะเกินจนทำให้เรื่องดูยุ่งเหยิง

ซีซั่น 4 นำเสนอพล็อตที่ซับซ้อนกับเรื่องราวหลายชั้น ตั้งแต่การใช้ AI ในสื่อข่าว ไปจนถึงดราม่าการ defect และสแกนดัลปกปิด มันถามเราว่า ในยุคที่ข่าวเร็วขนาดนี้ ความจริงยังสำคัญอยู่ไหม? การหลีกเลี่ยงเรื่องเลือกตั้ง 2024 และโฟกัสที่โอลิมปิกทำให้รู้สึกว่าซีรีส์หลุดจากโลกจริง เหมือนกับรถที่ขับเลี่ยงทางหลักไปเส้นรองที่อาจไม่น่าตื่นเต้น

แต่ธีมหลักคือความขัดแย้งในวงการข่าวที่กลายเป็นเหมือนบริษัทใหญ่ ไม่ใช่แค่สถานีข่าว มันสำรวจว่าตัวละครแต่ละคนกำลังค้นหาบทบาทของตัวเองอย่างไร ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง เหมือนกับปริศนาที่ชิ้นส่วนไม่เคยลงตัว การเล่าเรื่องแบบบรรยายเดี่ยวระหว่างตัวละครทำให้รู้สึกเหนื่อย แต่ก็สนุกได้ถ้าเราเข้าถึงดราม่า

ซีรีส์ไม่ได้ยึดติดกับความเป็นจริงในโลกสื่อมากนัก เช่น UBN ที่ดูเหมือน NBC มากกว่าสถานีข่าวล้วนๆ การข้ามเรื่องเลือกตั้งหลังจากซีซั่น 3 ที่มี January 6 ทำให้เราสงสัยว่าทำไมไม่เจาะลึก มันเหมือนกับการพลาดโอกาสใหญ่ในการเชื่อมโยงกับเหตุการณ์จริง

ผู้กำกับและทีมงานอย่างชาร์ล็อตต์ สตูดต์ นำเสนอตอนแรกที่ยาวเหยียดด้วยเรื่องราวมากมาย แต่การแสดงที่ยอดเยี่ยมช่วยชดเชย มันเหมือนกับปาร์ตี้ที่แขกเยอะเกินจนสนุกไม่สุด แต่ดารา Oscar-winning อย่างโกติยาร์และไอรอนส์เพิ่มเสน่ห์ให้ซีซั่นนี้

เสียงประกอบและการถ่ายภาพช่วยสร้างบรรยากาศตึงเครียด เหมือนกับว่าเราเข้าไปอยู่ในห้องข่าวจริงๆ การใช้ AI ในพล็อตทำให้ซีรีส์ดูทันสมัย แต่บางส่วนรู้สึกไม่เชื่อมโยงกับโลกสื่อในปัจจุบัน

The Morning Show ซีซั่น 4 ทำให้เราตั้งคำถามว่าซีรีส์ที่เคยปังจะกลับมาดีได้ไหม? มันแสดงให้เห็นว่าปัญหาในวงการข่าวไม่ได้อยู่แค่ข่าว แต่คือมนุษย์ที่บริหารมัน แม้จะมีดราม่าเยอะ แต่การแสดงชั้นนำทำให้ยังน่าดู

สำหรับใครที่ชอบ ซีรีส์ดราม่าข่าว ที่ลึกซึ้งและมีดาราใหญ่ The Morning Show ซีซั่นนี้ยังคงเป็นตัวเลือกดี มันทำให้เราคิดถึงธรรมชาติของสื่อและอำนาจ มาแชร์ความเห็นในคอมเมนต์ว่าซีซั่นนี้ทำให้เรารู้สึกยังไงกับวงการข่าว และอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่ติดซีรีส์แนวนี้!

• ประเภท: ดราม่า, ระทึกขวัญ, สื่อข่าว
• วันที่ออกฉาย: 20 กันยายน 2568
• นักแสดงนำ: เจนนิเฟอร์ อนิสตัน (Jennifer Aniston), รีส วิเธอร์สปูน (Reese Witherspoon), เกรตา ลี (Greta Lee), มาริยง โกติยาร์ (Marion Cotillard)
• ผู้กำกับ: ชาร์ล็อตต์ สตูดต์ (Charlotte Stoudt) และทีม
• ความยาว: 10 ตอน
• เรตติ้ง IMDb: 8.2/10
• ช่องทางการดูในประเทศไทย: Apple TV+