![[รีวิว-เรื่องย่อ] Gen V ซีซั่น 2](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/09/Review-Gen-V-Season-2.webp)
- Gen V ซีซั่น 2 สร้างจากจักรวาล The Boys เล่าเรื่องนักศึกษาซูเปอร์ฮีโร่ที่ต้องเผชิญดราม่าเอาชีวิตรอดในมหาวิทยาลัย Godolkin
- การแสดงของลิซซี บรอดเวย์ ในบทเอ็มม่าโดดเด่นสุดๆ แสดงความลึกซึ้งและความบ้าคลั่งได้อย่างเข้าถึง
- ซีรีส์สำรวจธีมการสูญเสีย ความอิจฉา และการต่อสู้เพื่ออำนาจในโลกซูเปอร์ฮีโร่
- ผู้กำกับและทีมงานนำเสนอเรื่องราวที่ตึงเครียด เต็มไปด้วยเลือดและมุกตลกร้ายที่ทำให้เราต้องครุ่นคิด
เราเคยคิดไหมว่าถ้าซูเปอร์ฮีโร่ตัวจริงต้องมาเรียนมหา’ลัย แล้วชีวิตมันจะวุ่นขนาดไหน? Gen V ซีซั่น 2 พาเราไปดำดิ่งสู่โลกของเหล่านักศึกษาซูเปอร์ที่ Godolkin University หลังจากซีซั่นแรกที่ปังสุดๆ จนไม่เหมือนสปินออฟธรรมดา แต่ซีซั่นนี้มันดิ้นรนหาตัวตนหน่อยๆ เพราะมุกตลกร้ายแบบเอ็ดจ์ลอร์ดที่เยอะเกินไปจนเราต้องกลอกตา แต่ก็ยังมีจุดเด่นที่ทำให้เราติดงอมแงม โดยเฉพาะการจัดการกับการสูญเสียของตัวละครหลักที่เคารพนักแสดงจริงๆ
เรื่องราวเริ่มต้นด้วยข่าวเศร้าของ Chance Perdomo ที่จากไป ทำให้ทีมงานไม่รีแคสต์บท แต่เขียนให้ตัวละคร Andre Anderson ตายเพราะพลังของตัวเอง แล้วนำมาผูกกับพล็อตทั้งซีซั่นแบบน่าประทับใจ ทุกคนรู้สึกถึงการสูญเสียนั้น มันกลายเป็นจุดศูนย์กลางที่ทำให้เรื่องราวมีน้ำหนัก Marie และเพื่อนๆ กลับมาที่มหา’ลัยหลังจากทรมานมาหลายเดือน เจอกับคณบดีใหม่ Cipher ที่อยากฝึก Marie ให้กลายเป็นซูเปอร์ที่ทรงพลังที่สุด เพื่อเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
ในรีวิวนี้ เราจะพาไปเจาะลึกทุกมุมของ Gen V ซีซั่น 2 ตั้งแต่ตัวละครเก่า-ใหม่ การแสดงที่เด็ด การเชื่อมโยงกับ The Boys และธีมลึกซึ้งที่ทำให้เราต้องคิดตาม มาดูกันว่าซีซั่นนี้จะพาเราไปสัมผัสกับความดาร์กของโลกซูเปอร์ฮีโร่ยังไงบ้าง เหมือนเล่นเกมเอาชีวิตรอดที่ไม่มีใครชนะง่ายๆ
รีวิวและเรื่องย่อ Gen V ซีซั่น 2
Gen V ซีซั่น 2 เล่าเรื่องต่อจากซีซั่นแรกที่เหล่านักศึกษาซูเปอร์ต้องกลับมาที่ Godolkin University หลังจากเหตุการณ์วุ่นวาย Marie (แสดงโดย Jaz Sinclair) และแก๊งเพื่อนต้องเจอกับคณบดีใหม่ Cipher ที่มองว่า Marie คือซูเปอร์ที่โหดที่สุดในประวัติศาสตร์ และมีพลังเปลี่ยนโลกได้ แต่ Cate (Maddie Phillips) กับ Sam (Asa Germann) ถูกยกย่องเป็นฮีโร่แบบผิวเผิน เราก็ไม่เห็นโมเมนต์นั้นจริงๆ Cate พลังเสียหลังปะทะกับ Cipher ส่วน Sam ยังคงเหมือนเดิม แค่อิจฉาความสัมพันธ์ใหม่ของ Emma แล้วเห็นตุ๊กตาหุ่นเชิดอีก Jordan (London Thor และ Derek Luh) ต้องต่อสู้กับ PTSD จากคุก Elmira และยอมเป็นหุ่น PR ของมหา’ลัยเพื่อไม่ให้เพื่อนกลับไปติดคุก
Emma (Lizze Broadway) คือดาวเด่นของซีซั่นนี้เลย Broadway นำความสดใสและความบ้าคลั่งมาสู่บทแบบเต็มๆ มีพล็อตทีมอัพกับพ่อของ Andre ชื่อ Polarity (Sean Patrick Thomas) ที่สร้างโมเมนต์ที่สมจริงและบ้าคลั่งที่สุดในเรื่อง ทั้งคู่ช่วยยกซีรีส์ให้มีน้ำหนัก โดยเฉพาะ Polarity ที่โดดเด่นสุดๆ จนปะทะกับ Cipher ได้ และยังสู้กับตัวละครจาก The Boys อย่าง Sage หรือ Black Noir ได้สบายๆ แต่เสียดายที่อาร์คของพวกเขามีน้อยเกินไป ไม่ค่อยกระทบพล็อตหลัก
ซีซั่นนี้ยังจัดการกับการสูญเสีย Andre ได้ดีมาก มันไม่ใช่แค่พล็อต แต่เป็นความรู้สึกที่แทรกซึมทุกตัวละคร ทำให้เรารู้สึกเคารพ Chance Perdomo จริงๆ เหมือนชีวิตจริงที่ไม่มีใครแทนที่ได้ และมันสะท้อนธีมการต่อสู้ภายในของเหล่าซูเปอร์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ
ตัวละครใหม่ Ethan Slater จาก Wicked มาสวมบท Thomas Godolkin แบบไม่เสียเวลา Slater แสดงให้เห็นว่า Godolkin คือตัวร้ายที่เล่นคนอื่นได้เก่งสุดในจักรวาลนี้ เป้าหมายคือคัดคนอ่อนแอออก เพื่อจุดประกายสงครามซูเปอร์แบบดาร์วิน อยากผลัก Marie ออกจากคอมฟอร์ตโซนให้พลังจริงๆ ระเบิดออกมา แม้จะโผล่น้อย แต่การแสดงของ Slater ทำให้ซีซั่นนี้คุ้มค่า มีความสงบนิ่งในความกระหายเลือด และวิธีการที่รู้จุดอ่อนคนอื่นแบบทะลุปรุโปร่ง
Hamish Linklater คือคณบดี Cipher ที่เพอร์เฟกต์สำหรับบทวายร้าย แบบไม่มีอะไรไร้สาระ ทำให้เรื่องเดินหน้าแทนที่จะนิ่งงัน โดยเฉพาะฉากที่โฟกัสแก๊งหลักยกเว้น Emma กับ Jordan ที่ยังสดใหม่ การแสดงของเขาช่วยยกซีรีส์ที่บางส่วนดูจืดชืดให้มีพลังมากขึ้น เหมือนเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนพล็อตไม่ให้สะดุด
ทั้ง Slater และ Linklater ทำให้ตัวร้ายกลายเป็นจุดขายของซีซั่นนี้ เราจะเห็นว่าความชั่วร้ายมันไม่ใช่แค่พลัง แต่เป็นการรู้ใจมนุษย์และใช้มันเป็นอาวุธ เหมือนเล่นหมากรุกที่รู้ว่าคู่ต่อสู้จะเดินยังไงตั้งแต่ตาแรก
มี cameo จาก The Boys เพียบ เพื่อดึงแฟนๆ มาดู เช่น Giancarlo Esposito ในบท Stan Edgar ที่มาช่วยแก๊งแล้วพาไปเซฟเฮาส์ แต่พวกเขาก็จากไปแบบรวดเร็ว Sage (Susan Heyward) มีอาร์คที่น่าสนใจกับ Godolkin แต่บางทีดูฝืนๆ ยังสนุกอยู่ The Deep (Chace Crawford) โผล่มาฉีดมุกเอ็ดจ์ลอร์ด แต่รู้สึกแยกจาก Gen V จนทำลายบรรยากาศ Annie (Erin Moriarty) มาสั่ง Marie ไปหาโปรเจกต์ Odessa แบบสุ่มๆ เหมือนแค่พล็อตย่อยที่ไม่ค่อยเชื่อม
ซีซั่นนี้ยังรู้สึกแยกจาก The Boys ซึ่งเป็นจุดแข็ง แต่ถูกดึงลงด้วย cameo ที่ฝืนและมุกช็อกเพื่อเรียกเสียงฮือฮา เช่น ฉากแอบเข้าด้วยพลังขยายก้นนักศึกษาที่นักเขียน คงรอรีแอคออนไลน์ มันคล้าย The Boys ซีซั่น 2 มากเกินไป เหมือนนักเขียนหมดไอเดีย มีพล็อตตัวเอกซ่อนตัว ผู้นำหายไป Vought/GodU เล่นกับความหวาดระแวงชาติ Chosen One อย่าง Marie ที่เกิดมาแบบเซอร์ไพรส์ และวายร้ายคลั่ง Nazi/KKK แบบไม่ใช่คอมเมนต์ แต่เหมือนเฟติช
แต่ถ้าเราชอบเลือด ไส้ และมุกดาร์ก ซีซั่นนี้มีเพียบ โดยเฉพาะโมเมนต์ดีๆ จากแก๊งหลักที่นักเขียนจำได้ว่ามีพล็อต Marie สลับไปมาระหว่างปฏิเสธว่าเป็น Chosen One แล้วยอมรับ แต่ Emma คือตัวละครที่มีความลึกซึ้งผสมความบ้าที่แฟนๆ จะชอบ
ซีรีส์สำรวจธีมการสูญเสียและการต่อสู้เพื่ออำนาจ เหมือนถามเราว่าถ้ามีพลังเหนือมนุษย์แล้ว ชีวิตจะสมบูรณ์แบบจริงเหรอ? มันสะท้อนธรรมชาติมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความต้องการควบคุม แม้ในมหา’ลัยซูเปอร์ การกำกับทำให้เรื่องตึงเครียด โดยเฉพาะฉากต่อสู้ที่ดิบและจริงจัง
ทีมงานยังใส่ใจรายละเอียดเสียงประกอบและภาพที่ทำให้เรารู้สึกกดดัน เหมือนอยู่ในโลกที่ไม่มีใครเชื่อใจใคร มันไม่ใช่แค่แอคชั่น แต่เป็นการวิเคราะห์จิตใจมนุษย์ผ่านซูเปอร์ฮีโร่
ซีซั่นนี้มีจุดที่หลุดๆ แต่ตัวร้ายอย่าง Cipher และ Godolkin ช่วยเซฟให้เรื่องน่าจดจำ เหมือนเกมที่แพ้แต่ยังสนุกเพราะบอสโหด
Gen V ซีซั่น 2 ทำให้เราตั้งคำถามกับโลกซูเปอร์ฮีโร่ที่ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด มันแสดงว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่พลัง แต่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความมืดมิด ความอิจฉา และการแย่งชิง เมื่อไม่มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ความขัดแย้งก็ระเบิดออกมาแบบหลีกไม่ได้ เหมือนเราอยู่ในสังคมที่ทุกคนอยากเป็นเบอร์หนึ่ง แต่สุดท้ายไม่มีใครชนะ
สำหรับใครที่ชอบ ซีรีส์ดราม่าดาร์ก ผสมแอคชั่นและมุกตลกร้าย Gen V ซีซั่น 2 คือเรื่องที่ไม่ควรพลาด มันจะทำให้เราคิดถึงการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในโลกที่เต็มไปด้วยพลังพิเศษ มาแชร์ความเห็นในคอมเมนต์กันว่าซีซั่นนี้ทำให้เรารู้สึกยังไง และอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่ติด The Boys ด้วยนะ!
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: Gen V ซีซั่น 2
- ประเภท: ดราม่า, แอ็คชั่น, ซูเปอร์ฮีโร่, ระทึกขวัญ
- วันที่ออกฉาย: 13 กันยายน 2568
- นักแสดงนำ: Jaz Sinclair, Maddie Phillips, Asa Germann, Lizze Broadway, London Thor, Derek Luh, Ethan Slater, Hamish Linklater
- ผู้กำกับ: Eric Kripke (จักรวาลหลัก)
- ความยาว: 8 ตอน
- เรตติ้ง IMDb: 7.8/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: Prime Video