รีวิวหนังฝรั่ง

[รีวิว-เรื่องย่อ] 28 ปีให้หลัง เชื้อเขมือบคน | 28 Years Later (2025)

Key Points

  • 28 Years Later นำเสนอความกลัวแบบดิสโทเปียนที่ลึกซึ้งกว่าเดิม โดยผสานเหตุการณ์จริงอย่าง Brexit และ COVID-19 เข้ากับเนื้อหา
  • แดนนี่ บอยล์ และ อเล็กซ์ การ์แลนด์ ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการถ่ายทำ สร้างบรรยากาศที่แปลกใหม่แต่คุ้นเคย
  • ตัวหนังสำรวจจิตวิทยาและความเป็นมนุษย์ผ่านการเผชิญหน้ากับไวรัส Rage Virus ในรูปแบบที่แตกต่างจากภาคแรก

เมื่อ 28 Days Later ฉายความกลัวของการระบาดของไวรัส Rage Virus ที่เปลี่ยนกรุงลอนดอนให้กลายเป็นเมืองร้างในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ผู้ชมคงอดคิดไม่ได้ว่า 28 ปีต่อมาโลกจะเป็นอย่างไร 28 Years Later ผลงานล่าสุดของ แดนนี่ บอยล์ และ อเล็กซ์ การ์แลนด์ ไม่เพียงตอบคำถามนี้ แต่ยังสะท้อนความวิตกกังวลของยุคสมัยผ่านเลนส์สยองขวัญที่ลึกซึ้งกว่าเดิม ด้วยแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงอย่าง Brexit และ COVID-19 หนังเรื่องนี้ท้าทายทั้งเวลาและแนวคิดของภาคดั้งเดิม พร้อมเปิดฉากใหม่กับตัวละครและภารกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

28 Years Later (2025) #1

รีวิวและเรื่องย่อ 28 Years Later (28 ปีให้หลัง เชื้อเขมือบคน)

ผู้กำกับ แดนนี่ บอยล์ และนักเขียนบท อเล็กซ์ การ์แลนด์ กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งหลังจากห่างหายไปเกือบสองทศวรรษ แม้กำหนดการจะล่าช้ากว่าแผนเดิม 5 ปี แต่ความร่วมมือนี้กลับสร้างพล็อตที่สมเหตุสมผลจนผู้ชมลืมนับเวลา พวกเขาเลือกสถานที่ถ่ายทำที่ห่างไกลจากกรุงลอนดอน เพื่อสำรวจมุมมองใหม่ของโลกที่ถูกแบ่งแยกและเต็มไปด้วยความหวาดระแวง แทนที่จะยึดติดกับการแก้ไขปมจากภาคก่อน หนังเลือกเดินหน้าสู่คำถามที่ใหญ่กว่า: ความกลัวต่อความตาย และการปฏิเสธ “ผู้อื่น” ที่อาจซ่อนอยู่ในตัวเราเอง

28 Years Later เริ่มต้นด้วยการลบล้างเรื่องราวจาก 28 Weeks Later ผ่านข้อความเปิดเรื่องที่ระบุว่าไวรัส Rage Virus ถูกควบคุมในยุโรป แต่ยังคงปะทุในสหราชอาณาจักร ตัวหนังโฟกัสที่กลุ่มผู้รอดชีวิตบนเกาะ Holy Island โดยมี เจมี่ (แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน) และลูกชาย สไปค์ (อัลฟี วิลเลียมส์) เป็นศูนย์กลาง เด็กวัย 12 ปีผู้ต้องเผชิญการทดสอบความกล้าหาญเมื่อพบว่า “ผู้ติดเชื้อ” ใหม่มีลักษณะแปลกประหลาดและใกล้เคียงกับมนุษย์มากกว่าที่คาด ฉากไล่ล่าสุดระทึกผ่านทางน้ำท่วมครึ่งเกาะ พร้อมแสงเหนือและภาพสไตล์เซอร์เรียล สะท้อนความบ้าคลั่งของโลกหลังวิกฤติ

แดนนี่ บอยล์ ใช้กล้อง iPhone รุ่นใหม่เพื่อสร้างภาพที่คมชัดแต่ยังคงความหยาบกร้านแบบดั้งเดิม กล้องน้ำหนักเบาช่วยให้ผู้กำกับภาพ แอนโธนี ดอด มันเทิล สร้างมุมมองที่คล่องตัวและไม่คาดคิด ในขณะที่การตัดต่อของ จอห์น แฮร์ริส เปลี่ยนแกนภาพอย่างฉับพลัน ผสมผสานองค์ประกอบที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องโดยตรง แต่เพิ่มความตื่นเต้น เช่น ฉากทหารยุคกลางหรือภาพอินฟราเรดของผู้ติดเชื้อ ทุกองค์ประกอบนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกราวเป็นส่วนหนึ่งของความอลวน

ตัวละครอย่าง ดร.อีแวน เคลสัน (ราล์ฟ ไฟน์ส) มอบมุมมองใหม่เกี่ยวกับผู้ติดเชื้อ แทนที่จะมองพวกเขาเป็นศัตรู หนังเสนอความคิดว่าทั้ง “ผู้ติดเชื้อ” และ “ผู้ไม่ติดเชื้อ” มีความคล้ายคลึงกัน คล้ายกับบทเรียนจาก COVID-19 และวิกฤติ AIDS ในอดีต สไปค์และแม่ของเขา (โจดี้ คอมเมอร์) ต้องเผชิญคำถามที่ว่า: เราจะรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ได้หรือไม่ เมื่อถูกกดดันจากภายนอก? ฉากใน “The Bone Temple” สะท้อนจิตวิญญาณของผู้ติดเชื้อ พร้อมท้าทายผู้ชมให้กลับมาทบทวนค่านิยม

บทความที่เกี่ยวข้อง
Advertisement

28 Years Later ไม่ใช่เพียงภาคต่อของหนังสยองขวัญ แต่คือกระจกเงาสะท้อนความกลัวและจิตวิทยาของมนุษย์ในยุคที่ความไม่แน่นอนคือความปกติ ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ นักแสดงคุณภาพ และบทที่ลึกซึ้ง หนังเรื่องนี้คว้ารางวัลในใจผู้ชมที่มองหาความบันเทิงที่ทั้งตื่นเต้นและให้ข้อคิด อย่าลืมแชร์ความคิดเห็นหรือติดตามภาคต่อ The Bone Temple ที่จะออกฉายในปี 2026!

  • ชื่อเรื่องในภาษาไทย: 28 ปีให้หลัง เชื้อเขมือบคน
  • ประเภท: สยองขวัญ, โพสต์-หายนะ, ดราม่า
  • วันที่ออกอากาศ: 20 มิถุนายน 2025
  • นักแสดงนำ: Jodie Comer, Aaron Taylor‑Johnson, Ralph Fiennes, Alfie Williams, Jack O’Connell
  • ผู้กำกับ: Danny Boyle
  • จำนวนตอน/ความยาว: 115 นาที
  • เรตติ้ง IMDb: 7.2/10
  • ช่องทางการดู: โรงภาพยนตร์

Advertisement
กดเพื่ออ่านต่อ
Advertisement

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button