นิทานชาดก

นิทานชาดก : พญานกยูงทอง

ในอดีตกาล ณ ป่าหิมพานต์ มีพญานกยูงทองตัวหนึ่ง มีขนหางสวยงามมาก เป็นที่หมายปองของสัตว์ป่าทั้งหลาย แม้แต่พระราชาเองก็ทรงปรารถนาจะเป็นเจ้าของ พระราชาจึงทรงออกคำสั่งให้พรานจับพญานกยูงทองมาถวาย แต่พญานกยูงทองนั้นฉลาดและไหวพริบดี พรานจึงไม่สามารถจับได้สักที เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตามได้ในนิทานชาดก : พญานกยูงทอง

พญานกยูงทอง

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภภิกษุผู้กระสันอยากจะสึกรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญานกยูงมีสีเหมือนทองรูปร่างสวยงาม มีบริวารแวดล้อมหลายร้อยตัว วันหนึ่งพญานกยูงเห็นรูปร่างตนเองจากน้ำในสระเกรงว่าจะเป็นอันตรายเพราะรูปสมบัติ จึงคิดจะปลีกหนีไปอยู่เพียงลำพังตัวเดียว เมื่อตกกลางคืนฝูงนกยูงหลับหมดแล้วได้แอบบินหนีเข้าป่าหิมพานต์ผ่านภูเขา 4 ลูก พบสระใหญ่เกิดเองตามธรรมชาติ มีต้นไทรใหญ่ปกคลุมข้างเขาลูกหนึ่งจึงร่อนลงข้างต้นไทรนั้นเข้าไปอาศัยถ้ำแห่งหนึ่งอยู่

พอรุ่งเช้า พญานกยูงก็ได้บินไปเกาะยอดเขาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกสวดมนต์เพื่อขอความคุ้มครองป้องกันตนในเวลากลางวันว่า “อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา ฯลฯ” จบแล้วก็บินร่อนลงไปหากิน ตกเย็นก็จะบินมาจับบนยอดเขาที่เดิมหันหน้าไปทางทิศตะวันตกสวดมนต์เพื่อขอความคุ้มครองป้องกันตนในเวลากลางคืนว่า “อะเปตะยัญจักขุมา เอกะราชา ฯลฯ” แล้วก็บินร่อนเข้าถ้ำหลับนอน เป็นอยู่ลักษณะเช่นนี้เป็นประจำ

อยู่ต่อมาวันหนึ่ง มีนายพรานคนหนึ่งเที่ยวไปในป่าลึกเห็นพญานกยูงทองจับอยู่บนยอดเขานั้นโดยบังเอิญ จึงกำหนดสถานที่ไว้ หลายปีผ่านไปเมื่อเขาใกล้จะตายจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้ลูกชายฟังว่า “ลูกเอ๋ย..ในป่าตรงยอดเขาลูกที่ 4 โน้น มีนกยูงทองตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ถ้าพระราชาต้องการ เจ้าจงกราบทูลให้ทรงทราบนะ” สั่งเสียแล้วก็ตายไป

อยู่ต่อมาพระนางเขมาเทวีมเหสีของพระเจ้าเมืองพาราณสีทรงสุบินในเวลาใกล้รุ่งว่า มีนกยูงทองสวยงามตัวหนึ่งแสดงธรรมแก่พระนางเสร็จแล้วก็บินไป พระนางเห็นนกยูงทองกำลังจะบินไปรับสั่งให้คนช่วยกันจับมันไว้ ขณะกำลังตรัสอยู่นั่นเองก็ทรงตื่นเสียก่อน เมื่อทราบว่าเป็นความฝัน ก็ดำริจะให้สืบดูว่าในโลกนี้มีนกยูงทองอยู่จริงหรือเล่า ถ้าจะทูลพระราชาว่าเป็นความฝันพระองค์ก็จะไม่ใส่พระทัย จึงทรงบรรทมทำทีเป็นแพ้ครรภ์อยู่

พระราชาเมื่อทราบว่าพระมเหสีแพ้ครรภ์ก็เสด็จเข้าไปหาตรัสถาม เมื่อสดับว่าแพ้ครรภ์อยากจะฟังธรรมจากพญานกยูงทองจึงรับสั่งให้อำมาตย์เข้าเฝ้าและปรึกษาหารือ อำมาตย์กราบทูลว่า “พวกพราหมณ์อาจจะทราบได้ พระเจ้าข้า” จึงมีรับสั่งให้พราหมณ์เข้าเฝ้า พวกพราหมณ์กราบทูลว่า “ขอเดชะ สัตว์ที่มีสีเหมือนทองมีอยู่ในโลก แม้แต่มนุษย์ที่มีสีเหมือนทองก็มีอยู่ โปรดให้ประชุมพวกนายพรานเถิดอาจจะรู้ได้ พระเจ้าข้า”

พระราชาให้เรียกนายพรานและลูกนายพรานมาประชุมกันแล้วตรัสถามว่า “สูทั้งหลาย มีใครเคยเห็นนกยูงทองบ้างไหม” ลูกชายนายพรานคนนั้นจึงกราบทูลให้ทราบว่า “ขอเดชะ ข้าพระองค์ไม่เคยเห็น แต่บิดาผู้ล่วงลับของข้าพระองค์เคยเห็นได้สั่งไว้ว่ามีนกยูงทองตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ณ ที่ตรงโน้น พระเจ้าข้า”

พระราชาทรงพอพระทัยมากประทานทรัพย์เป็นรางวัลแล้วมอบหมายให้เขาไปจับมันมาถวายให้จงได้
เขามอบทรัพย์ให้ภรรยาแล้วก็เข้าป่าไปเห็นพญานกยูงทองแล้วดักบ่วงภาวนาอยู่ว่า “วันนี้ต้องติด วันนี้ตองติด” พญานกยูงก็ไม่ติดบ่วงสักทีเพราะสวดมนต์ดังกล่าว จนเขาป่วยและตายไป ฝ่ายพระเทวีเมื่อไม่ได้ดังปรารถนา ก็สิ้นพระชนม์เช่นกัน

พระราชาทรงกริ้วว่า “เพราะอาศัยนกยูงทองตัวนี้เป็นเหตุให้เมียรักของเราต้องสิ้นพระชนม์” จึงผูกเวรพญานกยูงทองให้จารึกไว้ในแผ่นทองว่า “ที่ยอดเขาลูกที่ 4 ในป่าหิมพานต์มีนกยูงทองตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ใครได้กินเนื้อของมันแล้วจะไม่แก่ไม่ตาย” แล้วบรรจุไว้ในหีบไม้่แก่นไม่นานพระองค์ก็เสด็จสวรรคตไป

เมื่อกษัตริย์องค์อื่นขึ้นครองราชย์ได้เปิดหีบไม้่อ่านเจอแล้วก็ส่งนายพรานคนหนึ่งไปจับ นายพรานคนนั้นก็เสียชีวิตที่นั้นเหมือนกันโดยทำนองนี้จนเวลาผ่านไปถึง 6 รัชกาล นายพราน 6 คนตายในป่าหิมพานต์นั้น

ต่อมาถึงนายพรานคนที่ 7 ในสมัยของพระราชาพระองค์ที่ ๗ ได้เข้าไปซุ้มดักจับพญานกยูงทองเป็นเวลา 7 ปีผ่านไปก็ยังจับไม่ได้ เมื่อนายพรานทราบว่าที่พญานกยูงทองไม่ติดบ่วง เป็นเพราะอำนาจพระปริตรและพญานกยูงทองประพฤติพรหมจรรย์ไม่มีนางนกยูงตัวอื่นอยู่ด้วย จึงคิดได้อุบายอย่างหนึ่งไปดักจับนางนกยูงตัวหนี่งได้แล้วนำมาฝึกให้เชื่อง ให้ขันในเวลาดีดนิ้ว ให้ฟ้อนรำในเวลาตบมือ นายพรานพอฝึกนางนกยูงได้เป็นที่พอใจแล้วก็นำนางนกยูงไปป่านั้นด้วย ก่อนจะถึงเวลาพญานกยูงทองจะสวดมนต์ ก็ได้ดีดนิ้วให้นางนกยูงขันขึ้น

ฝ่ายพญานกยูงทองพอได้ฟังเสียงของนางนกยูงเท่านั้นกิเลสที่ราบเรียบตลอดเวลา 700 ปี ก็ฟุ้งขึ้นทันที มีกระวนกระวายด้วยอำนาจกิเลส ไม่สามารถจะสวดมนต์ได้ รับบินถลาลงไปหานางนกยูงนั้น ก้าวขาไปติดบ่วงนายพรานในที่สุด

นายพรานพอจับพญานกยูงทองได้แล้วก็คิดว่า “นายพรานเสียชีวิตตั้ง 6 คน เราเองก็เสียเวลาไปตั้ง 7 ปี ก็ไม่สามารถดักจับมันได้ แต่เช้านี้ พญานกยูงทองกระวนกระวายด้วยอำนาจกิเลสไม่อาจสวดมนต์ได้ มาติดบ่วงแขวนห้อยต่องแต่งเอาหัวลงอยู่ สัตว์ผู้มีศีลถูกเราทำให้ลำบากแล้ว การนำสัตว์เช่นนี้ไปถวายพระราชาไม่ควรเลย เอาเถอะเราจะปล่อยมันไป แต่ถ้าเราจะปรากฏตัวให้เห็น มันก็จะดิ้นรนหนีตาย ทำให้ขาและปีกมีบาดแผล อย่ากระนั้นเลย เราแอบใช้ปลายธนูตัดสายบ่วงจะดีกว่า” คิดแล้วก็แอบอยู่ในพุ่มไม้สอดลูกธนูเตรียมจะยิ่งใส่บ่วง

ฝ่ายพญานกยูงทอง เหลียวซ้ายแลขวาเห็นนายพรานยืนถือธนูอยู่เข้าใจว่าเขาจะยิงตน จึงพูดอ้อนวอนขอชีวิตว่า “สหายถ้าท่านจับเราเพื่อทรัพย์แล้ว อย่าฆ่าเราเลย จงนำเราไปถวายพระราชา ท่านก็จะได้ทรัพย์มาก” นายพรานพูดตอบว่า “เราเตรียมยิงธนู มิใช่จะฆ่าท่าน แต่จะตัดบ่วงที่เท้าของท่านดอก”

พญานกยูงทอง “ท่านพยายามดักจับเรานานถึง 7 ปี สู้อดกลั้นความหิวกระหายทั้งกลางคืนและกลางวัน วันนี้จับได้แล้วทำไมจึงคิดปล่อยเราเสียละ ท่านงดการฆ่าสัตว์หรือให้อภัยสัตว์ทั้งหลายแล้วหรือ”

  • นายพราน “พญานกยูง ผู้งดฆ่าสัตว์และให้อภัยสรรพสัตว์ตายไปแล้วจะได้ความสุขอะไร”
  • พญานกยูงทอง “ผู้งดเว้นฆ่าสัตว์ และให้อภัยสรรพสัตว์ย่อมได้รับความสรรเสริญในปัจจุบัน และเมื่อตายไปย่อมไปเกิดในสวรรค์”
  • นายพราน “สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบอกว่า เทวดาไม่มีผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี ทานอันคนโง่บัญญติไว้ เราเชื่ออย่างนี้จึงได้ฆ่านกทั้งหลาย”
  • พญานกยูงทอง “ดวงจันทร์และดวงทิตย์ที่เห็นกันในท้องฟ้า สมณพราหมร์พวกนั้นสอนว่า มีอยู่ในโลกนี้หรือโลกอื่นและจะเป็นเทวดาในมนุษยโลกอย่างไรหรือ”
  • นายพราน “ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ที่เห็นกันในท้องฟ้าพวกท่านสอนว่า มีอยู่ในโลกอื่น ไม่มีในโลกนี้และเป็นเทวดาไม่มีในมนุษยโลก”
  • พญานกยูงทอง “พวกสมณพราหมณ์เหล่านั้นสอนว่า ผลกรรมดีกรรมชั่วไม่มี ท่านอันคนโง่บัญญัติไว้ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มีอยู่ในเทวโลก ไม่มีในโลกนี้ เป็นเทวดามิใช่เป็นของมนุษย์นับว่าเป็นคำสอนที่เลวทรามมาก เป็นพวกไม่มีเหตุผล”
  • นายพราน “จริงอย่างท่านว่า “ไฉนทานจะไม่มีผล ไฉนกรรมดีกรรมชั่วจะไม่มีผล ทานอันคนโง่จะบัญญัติได้อย่างไร พญานกยูงทอง ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร ประพฤติอย่างไร สมาคมอะไรด้วยตบะคุณอะไรจะไม่ไปตกนรก ขอท่านจงบอกด้วย”
    พญานกยูงทอง “มีสมณะพวกหนึ่ง นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดประพฤติเป็นผู้ไม่มีเรือน เที่ยวบิณบาตในเวลาเช้า เว้นเที่ยวในเวลาวิกาล เป็นผู้สงบจากกิเลสแล้วมีอยู่ในโลกนี้ ท่านจงเข้าไปหาสมณะเหล่านั้น ถามปัญหาสงสัยกะท่านเหล่านั้น ถ้าไม่อยากตกนรก” ว่าแล้วก็ขู่นายพรานให้กลัวภัยในนรก

นายพรานนั้นเป็นผู้มีบารมีบำเพ็ญเต็มแล้ว มีญาณแกล้วเมื่อฟังธรรมกถาจบยืนอยู่ท่าเดิมนั้นแหละ กำหนดสังขารพิจารณาไตรลักษณ์ บรรลุปัจเจกโพธิญาณเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า การบรรลุธรรมของนายพรานและการพ้นจากบ่วงของพญานกยูงทองเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

พระปัจเจกพุทธเจ้าระลึกถึงนกที่ตนเองขังไว้เป็นจำนวนมากที่บ้าน จึงทำสัจกิริยาปล่อยนกทั้งหลายให้พ้นจากที่ขังไปแล้วก็เหาะไปอยู่ที่เงื้อมเขานันทมูล ฝ่ายพญานกยูงทองก็หาอาหารและกลับที่อยู่ของตนดังเดิม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ผู้ทำดีมีศีลธรรมย่อมรอดพ้นจากอันตรายได้ทุกเมื่อ

อ่านต่อ

Fern A.

สามารถสร้างสรรค์เรื่องราวที่หลากหลาย ทั้งนิทาน นิทานชาดก และนิทานอีสป โดยฉันจะเน้นไปที่การถ่ายทอดเรื่องราวที่สนุกสนานและเต็มไปด้วยข้อคิดสอนใจ เพื่อให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์จากเรื่องราวเหล่านั้น เชื่อว่านิทานเป็นสื่อที่ทรงพลัง สามารถปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้กับเด็ก ๆ ได้ นิทานสามารถช่วยให้เด็ก ๆ เรียนรู้เกี่ยวกับโลกรอบตัว รู้จักการคิดวิเคราะห์ รู้จักแยกแยะสิ่งดีสิ่งเลว รู้จักแก้ไขปัญหา และรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button