หนูกัดผ้า เป็นนิทานชาดกที่เล่าเรื่องราวของพราหมณ์ผู้หนึ่งซึ่งเชื่อว่าการถูกหนูกัดผ้าเป็นลางร้าย เขาจะเกิดความวิตกกังวลและกลัวว่าจะเกิดหายนะใหญ่หลวงตามมา เขาจึงสั่งให้ลูกชายนำผ้าไปทิ้งที่ป่าช้า
หนูกัดผ้า
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภพราหมณ์ชาวเมืองผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เป็นมิจฉาทิฎฐิ มีโภคทรัพย์มาก เรื่องมีอยู่ว่า…
วันหนึ่ง หนูได้กัดผ้านุ่งคู่หนึ่งของพราหมณ์ ที่เก็บไว้ในหีบ เขาคิดว่า “ความพินาศอย่างใหญ่หลวง จักมีแก่ครอบครัวของเราและผู้ที่นุ่งผ้าคู่นี้”
จึงให้ลูกชายใช้ท่อนไม้คอนผ้าไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบ
เช้าตรู่ของวันนั้น พระพุทธองค์ได้ตรวจดูเวไนยสัตว์ เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของพราหมณ์พ่อลูกคู่นี้ จึงได้เสด็จไปเหมือนนายพรานตามรอยเนื้อ ได้ประทับยืนอยู่ที่ประตูป่าช้าผีดิบ ทรงเปล่งพระพุทธรังษี 6 ประการอยู่ ฝ่ายลูกชายของพราหมณ์ เดินคอนผ้าเข้าประตูป่าช้าผีดิบมา เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถาม จึงเล่าเรื่องนั้นให้ฟัง พระพุทธองค์จึงตรัสให้ทิ้งผ้านั้นเสีย พอมานพนั้นทิ้งผ้าแล้ว พระองค์ก็ทรงถือเอาผ้านั้นต่อหน้ามานพนั่นเอง ทั้งๆที่ถูกมานพนั้นห้ามอยู่ว่า “อย่าจับ อย่าจับ ผ้านั้นเป็นอวมงคล”
ก็ทรงถือผ้านั้นเสด็จกลับวัดเวฬุวันไป
มานพรีบกลับไปบ้านบอกเรื่องนั้นแก่บิดา พราหมณ์พอได้ฟังลูกชายเล่าเรื่องจบ ก็ตกใจด้วยเกรงว่า
“ความพินาศจักมีแก่พระพุทธเจ้าและพระวิหาร ผู้คนก็จะครหานินทาได้ เราต้องหาผ้าผืนใหม่ไปถวายแลกผ้าคู่นั้นนำกลับไปทิ้งเสีย”
จึงชวนลูกชายและคนรับใช้นำผ้าใหม่ไปวัดเวฬุวัน ขอถวายผ้าใหม่แลกกับผ้าคู่นั้นคืนมา
พระพุทธองค์ตรัสว่า
“พราหมณ์ พวกเรามีนามว่าบรรพชิต ผ้าเก่าๆที่เขาทิ้งแล้วหรือตกอยู่ในที่เช่นนั้น ย่อมควรแก่พวกเรา ท่านเองมิใช่แต่จะเพิ่งเป็นคนมีความเชื่ออย่างนี้ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนก็เคยมีความเชื่ออย่างนี้เหมือนกัน”
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกแล้ว ตรัสพระคาถาว่า
“ผู้ใดถอนทิฏฐิเรื่องมงคล อุบาต ความฝันและลักษณะได้แล้ว ผู้นั้น ล่วงพ้น สิ่งอันเป็นมงคลและโทษทั้งปวง ครอบงำกิเลสเป็นคู่ ๆ 1 และโยคะทั้ง 2 ประการได้แล้ว ไม่กลับมาเกิดอีก”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เป็นชาวพุทธไม่ควรเชื่อในโชคลางสังหรณ์ใด ๆ