![[รีวิว-เรื่องย่อ] The Public Eye (1992) หนังนัวร์สุดคลาสสิก](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/09/Review-The-Public-Eye-1992.webp)
- The Public Eye เป็นหนังนัวร์ที่สร้างจากมุมมองของช่างภาพข่าวอาชญากรรมในยุค 1940s ที่กลายมาเป็นนักสืบจำเป็น
- การแสดงของโจ เพสซีในบทเบิร์นซี่โดดเด่น แสดงถึงตัวละครที่แสวงหาการยอมรับในงานศิลปะของตัวเอง
- หนังสำรวจธีมความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง ท่ามกลางโลกอาชญากรรมและการเมืองที่ซับซ้อน
- ผู้กำกับฮาวเวิร์ด แฟรงคลินนำเสนอเรื่องราวที่ผสมผสานดราม่ามนุษย์กับความตึงเครียดแบบนัวร์ได้อย่างลงตัว
เราเคยคิดไหมว่าชีวิตของช่างภาพข่าวที่ไล่ถ่ายรูปอาชญากรรมในเมืองใหญ่จะเป็นยังไง? ลองนึกภาพยุค 1940s ในนิวยอร์ก ที่ทุกมุมถนนเต็มไปด้วยความลึกลับและอันตราย หนัง The Public Eye (1992) ของผู้กำกับ ฮาวเวิร์ด แฟรงคลิน (Howard Franklin) พาเราไปเจาะลึกชีวิตของชายคนหนึ่งที่ใช้กล้องเป็นอาวุธ เรื่องนี้ไม่ใช่หนังตลกอย่างที่หลายคนคิดจากโปสเตอร์ แต่เป็นหนังนัวร์สุดเข้มข้นที่เซอร์ไพรส์เราแบบสุดๆ ด้วยเรื่องราวที่สร้างจากแรงบันดาลใจจริงๆ ในยุคก่อนสงครามโลก
เรื่องย่อเริ่มจาก ลีออน “เบิร์นซี่” เบิร์นสไตน์ แสดงโดย โจ เพสซี (Joe Pesci) ช่างภาพฟรีแลนซ์ผู้เก็บภาพบรรยากาศ เหตุการณ์อาชญากรรม และวิถีชีวิตบนท้องถนนในมหานครนิวยอร์ก จู่ๆ เคย์ เลวิทซ์ สาวม่ายสวยลึกลับ (บาร์บารา เฮอร์ชีย์) ก็มาขอความช่วยเหลือจากเขาเกี่ยวกับผู้ชายที่อ้างตัวเป็นหุ้นส่วนในไนต์คลับของสามีที่เพิ่งตาย จากนั้นเบิร์นซี่ก็เจอศพผู้ชายคนนั้น และกลายเป็นจุดสนใจของเอฟบีไอกับมาเฟีย เพราะเขาอยู่ที่เกิดเหตุก่อนใคร เรื่องนี้ทำให้เขาคิดว่านี่คือโอกาสใหญ่ที่จะได้การยอมรับในงานที่เขารัก
ในรีวิวนี้ เราจะพาไปสำรวจทุกมุมของหนังเรื่องนี้ ตั้งแต่การแสดงที่เด็ดดวง ไปจนถึงข้อความลึกซึ้งเกี่ยวกับความรู้สึกมีค่าในตัวเองที่หนังอยากบอก มาดูกันว่า The Public Eye จะทำให้เราเห็นโลกของช่างภาพข่าวในมุมใหม่ยังไง และทำไมหนังเรื่องนี้ถึงควรค่าแก่การดูแม้จะถูกลืมไปนาน

รีวิวและเรื่องย่อ The Public Eye
The Public Eye เล่าเรื่องในยุค 1940s ที่นิวยอร์กเต็มไปด้วยความวุ่นวายก่อนสงครามโลก ตัวเอกคือ เบิร์นซี่ ช่างภาพฟรีแลนซ์ที่ไล่ถ่ายรูปอาชญากรรมเพื่อขายให้หนังสือพิมพ์ เขาไม่ใช่แค่นักข่าว แต่เหมือนนักสืบที่ใช้กล้องบันทึกความจริงของเมือง วันหนึ่ง เคย์ เลวิทซ์ สาวม่ายที่เพิ่งสูญเสียสามีเจ้าของไนต์คลับ มาขอให้เขาสืบเรื่องผู้ชายลึกลับที่อ้างสิทธิ์ในคลับนั้น ไม่นานเบิร์นซี่ก็เจอศพ และกลายเป็นเป้าหมายของทั้งเอฟบีไอกับแก๊งมาเฟีย เพราะเขารู้ข้อมูลก่อนใคร
เรื่องราวค่อยๆ เผยให้เห็นความซับซ้อนของการเมืองและอาชญากรรมที่เชื่อมโยงกัน เบิร์นซี่คิดว่านี่คือโอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวเอง หลังจากถูกมองว่าเป็นแค่ “แมลงสาบ” ที่หาประโยชน์จากความทุกข์ของคนอื่น แต่จริงๆ แล้ว เขาเห็นงานตัวเองเป็นศิลปะที่บันทึกชีวิตจริง หนังใช้ภาพขาวดำสวยๆ แสดงมุมมองของเขา ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมเขาถึงหลงรักอาชีพนี้ขนาดนั้น
นอกจากพล็อตอาชญากรรม หนังยังเจาะลึกถึงความขัดแย้งภายในตัวเบิร์นซี่ที่อยากได้การยอมรับจากสังคม มันเหมือนกับการเปรียบเทียบชีวิตเขาเป็นรูปถ่ายที่ไม่มีใครเห็นค่า แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป เราจะเห็นว่าโลกนัวร์ไม่ได้ใจดีขนาดนั้น และจุดจบอาจไม่สวยงามอย่างที่หวัง
ปี 1992 เป็นปีทองของ โจ เพสซี (Joe Pesci) เขาเล่นในหนังฮิตหลายเรื่องอย่าง My Cousin Vinny, Lethal Weapon 3 และ Home Alone 2 แต่ The Public Eye เป็นเรื่องเดียวที่ไม่ใช่คอมเมดี้ และเป็นเรื่องเดียวที่ flop แต่เสียดายมากเพราะการแสดงของเขาในบทเบิร์นซี่สุดยอดไม่แพ้บทวินนี่เลย เพสซีถ่ายทอดตัวละครที่ขัดแย้งภายใน อยากได้การยอมรับจากงานถ่ายรูป แต่ถูกสังคมมองต่ำ เขาเล่นได้แบบสัมผัสได้ถึงความเศร้าและความมุ่งมั่น
บาร์บารา เฮอร์ชีย์ (Barbara Hershey) ในบทเคย์ เลวิทซ์ เป็น femme fatale ที่ทั้งสวยและลึกลับ เธอพาเรื่องราวไปสู่ความซับซ้อนทางอารมณ์ ทำให้เบิร์นซี่ตกหลุมพราง แต่การแสดงของเธอไม่ใช่แค่เสน่ห์ภายนอก มันแสดงถึงความเปราะบางของผู้หญิงที่ต้องต่อสู้ในโลกผู้ชาย นักแสดงสมทบอื่นๆ ก็ช่วยเสริมให้เรื่องสมจริง เช่นพวกมาเฟียและเอฟบีไอที่สร้างความกดดันตลอดเรื่อง
โดยรวม การแสดงทั้งหมดทำให้หนังรู้สึกเหมือนดราม่ามนุษย์มากกว่าหนังอาชญากรรมแบบดาร์กๆ เพสซีคือดาวเด่นที่ทำให้เราอยากเชียร์เบิร์นซี่ แม้จะรู้ว่าจุดจบอาจเศร้า เหมือนกับถามเราว่า ถ้าเราเป็นเขา เราจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อการยอมรับไหม?
ฮาวเวิร์ด แฟรงคลิน ที่ทั้งกำกับและเขียนบท ทำหนังนัวร์ในมุมใหม่ โดยเอา ช่างภาพข่าวอาชญากรรม มาเป็นตัวเอกแทนนักสืบทั่วไป มันมีองค์ประกอบคลาสสิกอย่างมาเฟีย การเมือง และความหวาดระแวงก่อนสงคราม แต่หัวใจจริงๆ คือการสำรวจความรู้สึกมีค่าในตัวเองของเบิร์นซี่ เขาเห็นตัวเองเป็นศิลปินที่บันทึกหัวใจของเมือง ไม่ใช่แค่คนหาเงินจากความทุกข์
หนังใช้ภาพขาวดำสวยๆ แสดงมุมมองของเบิร์นซี่ ทำให้เรารู้สึกถึงโศกนาฏกรรมในชีวิตเขา มันเหมือนอุปมาว่าชีวิตจริงไม่ได้สวยงามเหมือนรูปถ่าย และการแสวงหาการยอมรับอาจนำไปสู่ความหายนะ แฟรงคลินรู้ดีว่าต้องใส่ส่วนผสมอะไรบ้างให้หนังนัวร์เวิร์ค แต่บางทีเขาก็เน้นดราม่ามากเกิน จนพล็อตสมรู้ร่วมคิดดูเป็นส่วนรอง
อย่างไรก็ตาม หนังยังคงน่าดูเพราะธีมที่ลึกซึ้ง มันทำให้เราคิดถึงการรับรู้ความจริงของสังคม ว่าคนอย่างเบิร์นซี่ที่ถูกมองต่ำ อาจเป็นคนที่เห็นโลกชัดเจนที่สุด การผสมผสานระหว่าง ดราม่า และ นัวร์ ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างลงตัว ทำให้เรื่องราวไม่ได้ เย็นชาและเสียดสี (Cynical) จนเกินไป แต่ยังคงแฝงด้วยความโศกเศร้าที่ชวนให้รู้สึก หม่นเศร้า (Melancholic) อยู่ตลอดทั้งเรื่อง

การถ่ายภาพใน The Public Eye สุดยอดมาก โดยเฉพาะฉากขาวดำที่แสดงวิสัยทัศน์ศิลปะของเบิร์นซี่ มันทำให้เราเห็นว่านิวยอร์กยุคนั้นไม่ใช่เมืองในฝัน แต่เต็มไปด้วยความโหดร้ายและชีวิตจริง เหมือนกับว่าแฟรงคลินใช้กล้องเล่าเรื่องแทนคำพูด ทำให้หนังรู้สึก artistic และ humanize ตัวเอกได้ดี
บทภาพยนตร์ของแฟรงคลินเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกันแบบแนบเนียน แม้บางส่วนจะรู้สึกว่าพล็อตสมคบคิดไม่ค่อยเต็มที่ แต่จุดไคลแมกซ์ที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างเบิร์นซี่กับเคย์กลับทำงานได้ดี มันแสดงว่าทั้งคู่ถูกสังคมตัดสินผิดๆ และพบกันในฐานะคนเข้าใจกัน แต่สุดท้ายธรรมชาติมนุษย์ก็เข้ามาแทรก ทำให้จบแบบสะเทือนใจ
โดยรวมแล้ว ทั้งบทและการถ่ายภาพทำให้หนังเรื่องนี้มีความรู้สึก ขัดแย้งในตัวเอง อยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังคงมีความน่าติดตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแฟน หนังนัวร์ ที่อยากเห็นการตีความใหม่ๆ มันให้บรรยากาศเหมือน เกมปริศนา ที่ชิ้นส่วนค่อยๆ ประกอบเข้าหากัน และทิ้งคำถามให้ผู้ชมได้ขบคิดต่อหลังจากหนังจบ
The Public Eye (1992) เป็นหนังนัวร์ที่ทำให้เราตั้งคำถามกับการแสวงหาการยอมรับในโลกที่โหดร้าย หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่อาชญากรรมหรือการเมือง แต่อยู่ที่ ธรรมชาติของมนุษย์ ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความปรารถนา แม้จะอยู่ในสังคมที่ดู civilised แค่ไหนก็ตาม เมื่อไม่มีใครเห็นค่าของเรา ความพยายามที่จะพิสูจน์ตัวเองอาจนำไปสู่จุดจบที่เศร้า
สำหรับใครที่ชอบ หนังนัวร์ และอยากเห็นการแสดงสุดปังจากโจ เพสซี The Public Eye เป็นเรื่องที่ไม่ควรพลาดเลย หนังจะทำให้เราได้คิดทบทวนเกี่ยวกับมุมมองต่อชีวิตและศิลปะ มาแชร์ความคิดเห็นในคอมเมนต์กันว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกยังไงกับการถูกสังคมมองต่ำ และอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่หลงรักหนังคลาสสิกยุค 90s นะ!
หนังเรื่องนี้ยังเหมาะสำหรับคนที่อยากหนีจากหนังแอคชั่นสมัยใหม่ มาสัมผัสกับดราม่าที่แท้จริง มันเหมือนกระจกสะท้อนว่าชีวิตจริงไม่ได้มี happy ending เสมอไป แต่ก็ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ถ้าเจอหนังแบบนี้ ลองดูแล้วบอกเราว่าคิดยังไง!
- ประเภท: นัวร์, ดราม่า, อาชญากรรม
- วันที่ออกฉาย: 16 ตุลาคม 2535
- นักแสดงนำ: โจ เพสซี (Joe Pesci), บาร์บารา เฮอร์ชีย์ (Barbara Hershey)
- ผู้กำกับ: ฮาวเวิร์ด แฟรงคลิน (Howard Franklin)
- ความยาว: 1 ชั่วโมง 39 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 6.5/10