![[รีวิว-เรื่องย่อ] วันหนักของคนหน่วง | The Follies (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-Las-Locuras.webp)
- The Follies เป็นหนังดราม่าแอนโธโลยีเม็กซิกันที่เล่าเรื่องราวของ 6 ผู้หญิงในวันเดียวกันบนเม็กซิโกซิตี้
- หนังสำรวจประเด็นสุขภาพจิต ความกดดันในครอบครัว และการแสวงหาอิสรภาพของผู้หญิงในสังคม
- การแสดงของนักแสดงทั้งทีม โดยเฉพาะ Cassandra Ciangherotti และ Ilse Salas สร้างความประทับใจ
- หนังมีจังหวะการเล่าเรื่องที่สมดุล ไม่เร็วหรือช้าเกินไป เหมาะสำหรับดูตามอารมณ์
เคยรู้สึกไหมว่าบางวันชีวิตเราเหมือนจะล่มสลายลงมาทั้งหมดในพริบตา? บางทีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่เป็นความกดดันเล็กๆ ที่สะสมมาเป็นเวลานาน จนในที่สุดมันก็ระเบิดออกมาพร้อมกับอารมณ์ความรู้สึกที่เราเก็บกดไว้ หนัง The Follies (2025) หรือในชื่อภาษาสเปนว่า Las Locuras จาก Netflix ของผู้กำกับ รอดริโก การ์เซีย (Rodrigo García) พาเราไปสัมผัสกับวันเดียวในชีวิตของผู้หญิง 6 คนที่กำลังเผชิญหน้ากับจุดแตกหักของชีวิต ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาบนถนนในเม็กซิโกซิตี้
หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องราวของผู้หญิง 6 คนที่ไม่รู้จักกัน แต่เป็นเรื่องราวของพวกเราทุกคนที่เคยรู้สึกว่าโลกนี้บีบคั้นเราจนแทบจะหายใจไม่ออก การ์เซียใช้เม็กซิโกซิตี้เป็นฉากหลังที่สะท้อนถึงความโกลาหลภายในจิตใจของตัวละคร ท่ามกลางผู้คนนับล้านที่วุ่นวายไปด้วยชีวิตของตัวเอง พวกเธอแต่ละคนกำลังต่อสู้กับความบ้าคลั่งที่ถูกสั่งสมมาจากความคาดหวังของสังคม ครอบครัว และตัวเองเอง แล้วเมื่อทุกอย่างถึงจุดเดือด พวกเธอจะทำอย่างไร? จะยอมแพ้หรือจะลุกขึ้นมาสู้?
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกทุกมุมของ The Follies ตั้งแต่การแสดงที่โดดเด่นของนักแสดงทั้งหมด การเล่าเรื่องที่ละเอียดอ่อน ไปจนถึงข้อความที่ซ่อนอยู่เกี่ยวกับสุขภาพจิตและการเป็นผู้หญิงในสังคมสมัยใหม่ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่จะทำให้ต้องนั่งดูจนจบ!

รีวิวและเรื่องย่อ The Follies (วันหนักของคนหน่วง)
The Follies เป็นหนังแอนโธโลยีที่แบ่งเรื่องราวออกเป็น 6 ตอน แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันเดียวกัน วันที่ฝนตกหนักในเม็กซิโกซิตี้ ทุกตัวละครต่างมีชีวิตที่ดูปกติธรรมดาจากภายนอก แต่ภายในจิตใจกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความเจ็บปวด และความต้องการที่จะหลุดพ้นจากกรงล่องหนที่สังคมสร้างขึ้น เรื่องราวเริ่มต้นจาก เรนาตา หญิงสาวที่ถูกกักบริเวณในบ้านและกำลังอยู่บนขอบของอาการทางจิต การมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัว คนรัก และเพื่อนของเธอพาผู้ดูไปสำรวจชีวิตที่กำลังพังทลายภายใต้แรงกดดันที่ทนไม่ไหว
ตัวละครที่สองเป็นแม่บ้านผู้ต้องเผชิญหน้ากับความจริงในครอบครัวที่ถูกซ่อนมานาน เธอต้องตัดสินใจว่าจะยังคงอยู่ในโลกแห่งความลวงตาหรือจะกล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่เจ็บปวด ฉากที่เธอต้องตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของความรักและหน้าที่ที่ผูกมัดเธอเอาไว้ การแสดงของนักแสดงในบทนี้ถ่ายทอดความปวดร้าวได้อย่างลงตัว ทำให้ผู้ดูรู้สึกเห็นใจและเข้าใจความลำบากของเธอ
ตัวละครที่สามเป็นคนขับ Uber ที่บังเอิญได้ยินการสนทนาของผู้โดยสาร ทำให้เขาต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนแปลกหน้าโดยไม่ตั้งใจ นี่เป็นจุดเด่นของหนัง เพราะแสดงให้เห็นว่าบางครั้งเราก็ถูกดึงเข้าไปสู่สถานการณ์ที่ไม่ได้ต้องการ แต่กลับกลายเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิต คนขับคนนี้ต้องเลือกระหว่างการเป็นคนนอกที่ไม่สนใจหรือจะเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งความเลือกของเขาสะท้อนถึงความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง
สองตัวละครถัดมาเป็นคนแปลกหน้าที่เดินสวนทางกันและมาพบกันในจุดที่ชีวิตของทั้งคู่กำลังอยู่ในช่วงที่ยากลำบากที่สุด การพบกันครั้งนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล หรืออาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉากของพวกเขาเต็มไปด้วยบทสนทนาที่ลึกซึ้งและเงียบงัน ทำให้ผู้ดูรู้สึกถึงความเปราะบางของมนุษย์เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเหงาและความกลัว การเขียนบทและการแสดงในฉากนี้เป็นหนึ่งในจุดเด่นของหนังเรื่องนี้
ตัวละครสุดท้ายเป็นผู้หญิงที่กำลังพยายามหาอิสรภาพจากข้อจำกัดที่บีบคั้นเธอ ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของสังคม บทบาทที่ถูกกำหนดไว้ หรือแม้กระทั่งความคิดของตัวเองที่บังคับให้เธอต้องเป็นตามที่คนอื่นต้องการ การต่อสู้ภายในของเธอแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญที่จำเป็นในการก้าวออกจากกรอบที่สังคมวางไว้ ฉากสุดท้ายของเธอเต็มไปด้วยความหวังและความเศร้าในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่ทำให้ The Follies พิเศษคือวิธีที่หนังเชื่อมโยงเรื่องราวของผู้หญิงทั้ง 6 คนเข้าด้วยกันอย่างละเอียดอ่อน แม้พวกเธอจะไม่เคยพบกัน แต่พวกเธอทั้งหมดแบ่งปัน “เพื่อน” คนเดียวกัน นั่นคือ ความบ้าคลั่ง ที่เกิดจากการใช้ชีวิตในสังคมที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ ความคาดหวัง และการตัดสิน หนังเรื่องนี้ถามเราว่า: เราทุกคนมี “ความบ้า” อยู่ในตัวหรือไม่? และถ้ามี มันคืออะไร? การที่หนังกล้าที่จะตั้งคำถามนี้ทำให้มันกลายเป็นมากกว่าแค่หนังดราม่าธรรมดา
Cassandra Ciangherotti แสดงในบทหนึ่งในตัวละครหลักได้อย่างน่าประทับใจ เธอถ่ายทอดความเจ็บปวดและความแข็งแกร่งของผู้หญิงที่กำลังต่อสู้กับความกดดันได้อย่างสมจริง ทุกสีหน้าของเธอบอกเล่าเรื่องราวของความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ภายใน การแสดงของเธอไม่ได้โอเวอร์ แต่กลับเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อนที่ทำให้ผู้ดูรู้สึกเข้าถึงอารมณ์ของตัวละคร ฉากที่เธอต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่เจ็บปวดเป็นฉากที่สะเทือนใจที่สุดในหนังเรื่องนี้
Ilse Salas เป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่สร้างความประทับใจในหนังเรื่องนี้ เธอรับบทเป็นผู้หญิงที่กำลังพยายามควบคุมชีวิตของตัวเองท่ามกลางความโกลาหล การแสดงของเธอเต็มไปด้วยพลัง แต่ก็มีความเปราะบางซ่อนอยู่ภายใน ฉากที่เธอแสดงความโกรธและความเศร้าในเวลาเดียวกันทำให้ผู้ดูได้เห็นถึงความซับซ้อนของตัวละคร เธอไม่ได้เป็นแค่ผู้หญิงที่กำลังสูญเสียสติ แต่เป็นผู้หญิงที่กำลังพยายามหาความหมายของชีวิต
Naian González Norvind รับบทเป็นหญิงสาวที่กำลังมองหาทางออกจากชีวิตที่เธอรู้สึกว่าไม่ใช่ของเธอ การแสดงของเธอมีความสดใหม่และเต็มไปด้วยพลัง เธอถ่ายทอดความต้องการอิสรภาพของตัวละครได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะฉากที่เธอต้องเลือกระหว่างความปลอดภัยและความอิสระ ทำให้ผู้ดูรู้สึกเห็นใจและเชียร์ให้เธอก้าวออกไปจากกรอบที่สังคมวางไว้
Alfredo Castro แสดงในบทของชายคนหนึ่งที่บังเอิญเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้หญิงเหล่านี้ การแสดงของเขามีความสงบแต่ก็เต็มไปด้วยความหมาย เขาไม่ได้พูดมาก แต่ทุกคำพูดของเขามีน้ำหนัก ฉากของเขาทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างเรื่องราวต่างๆ และเป็นตัวแทนของคนที่ดูจากภายนอก ผู้ที่พยายามเข้าใจโลกของผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน
นักแสดงสมทบอย่าง Adriana Barraza, Ángeles Cruz, Natalia Solián, Raúl Briones และ Fernanda Castillo ล้วนมีส่วนสำคัญในการทำให้หนังเรื่องนี้สมบูรณ์ พวกเขาแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติและสร้างตัวละครที่มีมิติ ไม่ใช่แค่ตัวละครรอง แต่เป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมที่ใหญ่กว่า คอนเซ็ปต์ของการใช้ตัวละครหลายคนมาเล่าเรื่องเดียวกันทำให้หนังเรื่องนี้มีความหลากหลายและน่าติดตาม

รอดริโก การ์เซีย (Rodrigo García) เป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียงในการสร้างหนังที่ลงลึกถึงจิตใจมนุษย์ และ The Follies ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบแอนโธโลยีที่ผสมผสานเรื่องราวหลายเรื่องเข้าด้วยกันอย่างลงตัว แต่ละเรื่องราวมีจังหวะการเล่าที่แตกต่างกัน บางเรื่องเงียบสงบและช้าๆ บางเรื่องเต็มไปด้วยความตึงเครียด การกำกับของเขาให้ความสำคัญกับอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าการบอกเล่าเรื่องราวโดยตรง ทำให้ผู้ดูต้องใช้ความรู้สึกในการเข้าใจตัวละคร
สิ่งที่น่าสนใจคือการที่การ์เซียใช้เม็กซิโกซิตี้ไม่ได้เป็นแค่ฉากหลัง แต่เป็นตัวละครตัวที่ 7 ของหนัง เมืองที่คนนับล้านแออัดอยู่ในพื้นที่เล็กๆ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความอึดอัดภายในจิตใจของตัวละคร ฝนที่ตกหนักตลอดวันเป็นสัญลักษณ์ของความชำระล้างและการเริ่มต้นใหม่ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสัญลักษณ์ของความโกลาหลและความวุ่นวาย การถ่ายภาพของหนังจับภาพเมืองในแง่มุมที่สวยงามและโหดร้ายไปพร้อมๆ กัน
การ์เซียยังให้ความสำคัญกับการใช้เสียงและดนตรีประกอบ เสียงของเมือง เสียงฝน และเสียงความเงียบล้วนมีความหมาย ดนตรีประกอบไม่ได้ดังเกินไป แต่มีอยู่เพื่อเสริมสร้างอารมณ์ในแต่ละฉาก การใช้ความเงียบในบางฉากทำให้ผู้ดูรู้สึกถึงความตึงเครียดและความว่างเปล่าที่ตัวละครกำลังเผชิญอยู่ หนังเรื่องนี้ไม่ได้พึ่งพาเทคนิคการถ่ายทำที่หรูหรา แต่ใช้ความเรียบง่ายเพื่อทำให้เรื่องราวมีพลังมากขึ้น
บทภาพยนตร์ที่การ์เซียเขียนเองมีความละเอียดอ่อนและเต็มไปด้วยบทสนทนาที่ดูเหมือนธรรมชาติ ตัวละครพูดในแบบที่คนจริงพูด ไม่ได้ใช้ภาษาที่หวือหวาหรือเชิงสัญลักษณ์มากเกินไป บทสนทนาบางฉากดูเหมือนจะไม่ได้มีความหมายอะไร แต่เมื่อดูจบแล้วจะพบว่าทุกอย่างมีความเชื่อมโยงกัน การเขียนบทแบบนี้ต้องใช้ทักษะและความเข้าใจในจิตวิทยามนุษย์อย่างลึกซึ้ง ซึ่งการ์เซียแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจผู้หญิงและปัญหาที่พวกเธอเผชิญอยู่
อีกหนึ่งจุดเด่นของการกำกับคือการที่เขาให้เวลากับแต่ละตัวละครอย่างเหมาะสม ไม่มีตัวละครคนไหนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ทุกคนมีเวลาในการเล่าเรื่องราวของตัวเอง และทุกเรื่องราวมีความสำคัญเท่าเทียมกัน การกระจายเวลาอย่างเท่าเทียมนี้ทำให้หนังรู้สึกสมดุลและไม่มีช่วงที่น่าเบื่อ ผู้ดูจะติดตามเรื่องราวทุกเรื่องด้วยความสนใจเท่าเทียมกัน
The Follies สำรวจธีมของสุขภาพจิตในแบบที่ตรงไปตรงมาแต่ไม่ตัดสิน หนังแสดงให้เห็นว่าความบ้าคลั่งหรือ “ความหน่วง” ที่พวกเราเรียกนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าอับอาย แต่เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของมนุษย์ ตัวละครในหนังไม่ได้เป็นโรคจิตในความหมายทางการแพทย์ แต่พวกเธอกำลังอยู่บนขอบของการล่มสลายทางอารมณ์ เพราะแรงกดดันที่เกินจะทนได้ หนังตั้งคำถามว่า: เราควรตัดสินคนที่กำลังสูญเสียการควบคุมหรือไม่? หรือเราควรเข้าใจว่าทุกคนมีจุดแตกหัก?
ธีมของความกดดันในครอบครัวเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของหนัง ตัวละครหลายคนในหนังถูกบีบคั้นจากความคาดหวังของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการเป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ ลูกสาวที่เชื่อฟัง หรือภรรยาที่อ่อนโยน ความคาดหวังเหล่านี้ทำให้พวกเธอรู้สึกติดกับดัก และเมื่อพวกเธอพยายามหลุดออกจากกับดัก พวกเธอก็ถูกตำหนิว่าเห็นแก่ตัวหรือไม่รับผิดชอบ หนังแสดงให้เห็นว่าความรักในครอบครัวบางครั้งก็กลายเป็นกรงขังที่หนีออกมายาก
การแสวงหาอิสรภาพเป็นธีมที่วิ่งผ่านทุกเรื่องราวในหนัง ผู้หญิงทุกคนในหนังกำลังมองหาทางที่จะหลุดพ้นจากข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดทางสังคม ทางครอบครัว หรือแม้กระทั่งข้อจำกัดที่พวกเธอสร้างขึ้นเอง การค้นหาอิสรภาพนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างง่ายดาย และบางครั้งก็มีราคาที่ต้องจ่าย แต่หนังแสดงให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการอยู่รอดทางจิตใจ ผู้หญิงที่กล้าแสวงหาอิสรภาพไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัว แต่เป็นคนกล้าหาญ
หนังยังสำรวจบทบาทของผู้หญิงในสังคมอีกด้วย สังคมคาดหวังให้ผู้หญิงเป็นทุกอย่าง: เป็นแม่ที่ดี ภรรยาที่ดี ลูกสาวที่ดี และยังต้องประสบความสำเร็จในงานอาชีพด้วย แต่เมื่อพวกเธอไม่สามารถทำได้ทุกอย่างในเวลาเดียวกัน พวกเธอก็ถูกตำหนิ หนังแสดงให้เห็นถึงความไม่ยุติธรรมของระบบที่คาดหวังให้ผู้หญิงเป็นมากกว่ามนุษย์ และเมื่อพวกเธอแสดงความอ่อนแอออกมา พวกเธอก็ถูกมองว่าล้มเหลว

สุดท้าย หนังพูดถึงความเชื่อมโยงของมนุษย์ แม้ว่าตัวละครทั้ง 6 คนจะไม่เคยพบกัน แต่พวกเธอทั้งหมดแบ่งปันประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ความเจ็บปวด ความกลัว และความหวังของพวกเธอเชื่อมโยงพวกเธอไว้ด้วยกันในระดับที่ลึกกว่าคำพูด หนังแสดงให้เห็นว่าเราทุกคนต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ใหญ่กว่า และความทุกข์ของคนหนึ่งคือความทุกข์ของคนอื่นด้วย ข้อความนี้มีพลังมากในยุคที่ผู้คนรู้สึกโดดเดี่ยวและขาดการเชื่อมต่อกับคนอื่น
จุดเด่นที่สุดของ The Follies คือการแสดง นักแสดงทุกคนถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างสมจริงและเต็มเปี่ยม การแสดงไม่ได้โอเวอร์หรือดูเทียม แต่กลับเหมือนกับว่าเราได้เห็นคนจริงกำลังเผชิญกับปัญหาจริง การที่นักแสดงสามารถทำให้ผู้ดูรู้สึกเห็นใจและเข้าใจตัวละครได้แม้ว่าตัวละครจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องบางครั้งก็แสดงถึงฝีมือการแสดงที่ยอดเยี่ยม การที่หนังสามารถทำให้ผู้ดูรู้สึกอึดอัดและสะเทือนใจไปกับตัวละครคือความสำเร็จที่ใหญ่
การเล่าเรื่องที่สมดุลเป็นอีกหนึ่งจุดเด่น หนังไม่ได้เร็วจนผู้ดูตามไม่ทัน แต่ก็ไม่ช้าจนน่าเบื่อ จังหวะการเล่าเรื่องให้เวลาผู้ดูได้ซึมซับอารมณ์ความรู้สึกในแต่ละฉาก ทุกเรื่องราวได้รับการพัฒนาอย่างดี ไม่มีเรื่องไหนที่รู้สึกว่าถูกรีบเร่งหรือถูกละเลย การที่ผู้กำกับสามารถสร้างสมดุลระหว่าง 6 เรื่องราวได้อย่างลงตัวเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม และทำให้หนังดูไม่ยุ่งเหยิงแม้จะมีตัวละครหลายคน
การถ่ายภาพและการออกแบบฉากก็เป็นจุดเด่นเช่นกัน เม็กซิโกซิตี้ถูกถ่ายทอดในมุมมองที่แตกต่างจากหนังทั่วไป ไม่ได้เน้นแค่ความสวยงามของเมือง แต่แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความโกลาหลที่ซ่อนอยู่ภายใต้พื้นผิว การใช้แสงและสีในหนังช่วยสร้างอารมณ์ที่เหมาะสมกับแต่ละฉาก ฉากที่ฝนตกหนักสะท้อนถึงความโกลาหลภายในจิตใจของตัวละคร ในขณะที่ฉากที่เงียบสงบแสดงถึงช่วงเวลาของการไตร่ตรอง
อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ก็มีจุดที่ควรปรับปรุงบ้าง จุดแรกคือความช้าของจังหวะในบางฉาก แม้ว่าโดยรวมแล้วการเล่าเรื่องจะสมดุล แต่บางฉากรู้สึกว่ายืดเยื้อเกินความจำเป็น โดยเฉพาะฉากที่เป็นการสนทนายาวๆ ซึ่งอาจทำให้ผู้ดูบางคนรู้สึกเบื่อหรือหลับไปในระหว่างทาง ถ้าตัดฉากบางฉากให้สั้นลงอาจจะช่วยให้หนังรู้สึกกระชับและน่าติดตามมากขึ้น
อีกจุดหนึ่งคือการเชื่อมโยงระหว่างเรื่องราวที่บางครั้งรู้สึกว่าบังคับเกินไป แม้ว่าแนวคิดของการมีตัวละครหลายคนที่แบ่งปันประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันจะดี แต่บางครั้งการเชื่อมโยงก็ดูเหมือนถูกใส่เข้าไปอย่างตั้งใจเกินไป ผู้ดูบางคนอาจรู้สึกว่าหนังพยายามทำให้ทุกอย่างเชื่อมต่อกันมากเกินไป แทนที่จะปล่อยให้เรื่องราวแต่ละเรื่องยืนอยู่ได้เอง การที่หนังพยายามเน้นย้ำว่าทุกคนมี “ความบ้า” เหมือนกันอาจจะทำให้ข้อความดูหนักไปสักหน่อย
สุดท้ายคือความบันเทิงของหนังอาจจะไม่เหมาะกับทุกคน The Follies เป็นหนังดราม่าที่หนักและเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ไม่มีฉากแอ็คชั่น หรือจุดบันเทิงที่ชัดเจน ผู้ดูที่มองหาหนังที่สนุกสนานและผ่อนคลายอาจจะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้หนักเกินไป แต่สำหรับผู้ดูที่ชื่นชอบหนังที่ท้าทายความคิดและทำให้ต้องไตร่ตรอง The Follies จะเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า

ส่วนตัวคิดว่า The Follies เป็นหนังที่ทรงพลังและกล้าที่จะพูดในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าพูด หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีคำตอบสำเร็จรูปให้กับปัญหาที่มันยกขึ้นมา แต่มันเปิดโอกาสให้ผู้ดูได้คิดและหาคำตอบด้วยตัวเอง การที่หนังกล้าแสดงให้เห็นถึงด้านมืดของความเป็นผู้หญิงโดยไม่ตัดสินหรือทำให้ดูเป็นเรื่องน่าอับอายเป็นสิ่งที่ควรชื่นชม หนังเรื่องนี้จะทำให้เราได้คิดทบทวนเกี่ยวกับวิธีที่เราปฏิบัติต่อผู้หญิงในสังคม และวิธีที่เราดูแลสุขภาพจิตของตัวเองและคนรอบข้าง
การแสดงของนักแสดงทุกคนในหนังเรื่องนี้สมควรได้รับการชื่นชมอย่างสูง พวกเขาไม่ได้แค่แสดงบทบาท แต่พวกเขาทำให้ตัวละครมีชีวิตชีวา เราได้เห็นความเจ็บปวด ความโกรธ ความกลัว และความหวังของพวกเขาอย่างชัดเจน การที่หนังสามารถทำให้ผู้ดูรู้สึกถึงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้อย่างเต็มที่คือสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังดราม่าทั่วไป
ถ้าจะแนะนำว่าใครควรดูหนังเรื่องนี้ ส่วนตัวคิดว่าหนังเรื่องนี้เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบหนังที่มีเนื้อหาลึกซึ้งและท้าทายความคิด คนที่สนใจเรื่องสุขภาพจิต บทบาทของผู้หญิงในสังคม หรือคนที่เคยผ่านช่วงเวลาที่รู้สึกว่าชีวิตกำลังจะล่มสลาย จะเข้าใจและชื่นชอบหนังเรื่องนี้มาก แต่ถ้าเป็นคนที่มองหาหนังตลกหรือหนังที่ดูเพื่อผ่อนคลาย The Follies อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด
หนึ่งในสิ่งที่ประทับใจที่สุดคือการที่หนังไม่ได้พยายามให้คำตอบที่ชัดเจนหรือมีตอนจบที่แฮปปี้แบบหนังฮอลลีวูด หนังปล่อยให้ผู้ดูได้ตีความและหาความหมายด้วยตัวเอง บางคนอาจจะรู้สึกว่าหนังไม่จบ แต่สำหรับส่วนตัว ตอนจบแบบนี้กลับทำให้หนังมีพลังมากขึ้น เพราะมันสะท้อนถึงความเป็นจริงของชีวิตที่ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจนเสมอไป ชีวิตก็เหมือนเรื่องราวในหนัง มีแต่คำถามมากกว่าคำตอบ
The Follies (2025) เป็นหนังที่จะทำให้เราต้องนั่งคิดและไตร่ตรองไปอีกนานหลังจากดูจบแล้ว มันไม่ใช่แค่เรื่องราวของผู้หญิง 6 คนในเม็กซิโกซิตี้ แต่เป็นเรื่องราวของเราทุกคนที่เคยรู้สึกว่าโลกนี้บีบคั้นเราจนแทบหายใจไม่ออก หนังเรื่องนี้กล้าที่จะพูดถึงเรื่องที่ยาก เรื่องที่คนส่วนใหญ่พยายามหลีกเลี่ยง นั่นคือสุขภาพจิต ความกดดันในครอบครัว และการต่อสู้เพื่อหาอิสรภาพในสังคมที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด การที่หนังทำได้สำเร็จในการนำเสนอเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียดอ่อนและไม่ตัดสินคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
ด้วยการแสดงที่ยอดเยี่ยมจากทีมนักแสดง การกำกับที่มีวิสัยทัศน์จากรอดริโก การ์เซีย และการเล่าเรื่องที่สมดุลและน่าติดตาม The Follies กลายเป็นหนึ่งในหนังดราม่าที่โดดเด่นที่สุดในNetflixในปี 2025 หนังเรื่องนี้ไม่ได้ให้ความบันเทิงแบบง่ายๆ แต่มันให้ประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและสะเทือนใจ สำหรับใครที่กำลังมองหาหนังที่จะทำให้ได้คิดและรู้สึก The Follies คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ
ถ้ายังลังเลว่าจะดูหรือไม่ ขอให้ลองให้โอกาสหนังเรื่องนี้สักครั้ง คนที่เปิดใจรับกับเรื่องราวที่หนักและเต็มไปด้วยอารมณ์จะได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่า และหลังจากดูจบ อย่าลืมมาแชร์ความคิดเห็นกันในคอมเมนต์ว่าหนังเรื่องนี้ทำให้รู้สึกอย่างไร หรือมีเรื่องราวคล้ายๆ กันในชีวิตของตัวเองหรือไม่ การแชร์และพูดคุยเรื่องเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและคนอื่นมากขึ้น และอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่ชื่นชอบหนังจิตวิทยาและดราม่าที่มีความหมายด้วย!
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: วันหนักของคนหน่วง
- ชื่อเรื่องในภาษาสเปน: Las Locuras
- ประเภท: ดราม่า, แอนโธโลยี, จิตวิทยา
- วันที่ออกฉาย: 20 พฤศจิกายน 2025
- นักแสดงนำ: Cassandra Ciangherotti, Alfredo Castro, Ángeles Cruz, Naian González Norvind, Ilse Salas, Natalia Solián, Raúl Briones, Fernanda Castillo, Adriana Barraza
- ผู้กำกับและเขียนบท: รอดริโก การ์เซีย (Rodrigo García)
- ความยาว: 2 ชั่วโมง 1 นาที
- เรตติ้ง IMDb: 4.7/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix
ดราม่าซึ้งที่สะเทือนใจจนต้องกล้ำกลืนน้ำตา
บทภาพยนตร์ - 8.2
การแสดง - 8.8
โปรดักชัน - 8
ความบันเทิง - 7.5
ความคุ้มค่าในการรับชม - 8.5
8.2
The Follies (2025) เป็นหนังดราม่าเม็กซิกันจาก Netflix ที่พาไปติดตามชีวิตของ 6 ผู้หญิงในเม็กซิโกซิตี้ตลอดหนึ่งวัน ด้วยการเล่าเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซับซ้อน และเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก หนังเรื่องนี้สะท้อนถึงประเด็น**สุขภาพจิต** ความกดดันในครอบครัว และการต่อสู้เพื่อหาเสรีภาพของผู้หญิง การแสดงของทีมนักแสดงทั้งหมดถ่ายทอดความเจ็บปวดและความแข็งแกร่งได้อย่างสมจริง ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นผลงานที่น่าจดจำ
![[รีวิว-เรื่องย่อ] สายสืบวงในวัยเก๋า | A Man on the Inside ซีซั่น 2](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-A-Man-on-the-Inside-2.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] The Family Plan 2 (2025) หนังแอ็คชั่นคอมเมดี้คริสต์มาส](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-The-Family-Plan-2-2025.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] ชีวิตน่าอิจฉา | Envious ซีซั่น 3 ชีวิตน่าอิจฉา ดราม่ารักที่คาดเดาได้](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-Envious-Season-3.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] Scandal Eve (2025) สงครามข่าวร้ายวงการบันเทิง](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-Scandal-Eve-2025.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] แชมเปญรัก ปัญหาร้าย | Champagne Problems (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-Champagne-Problems-2025.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] ช่องว่างที่ขาดหาย สายใยที่ผูกพัน | The Son of a Thousand Men (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-The-Son-of-a-Thousand-Men-2025.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] หวีดสุดขีด | Scream (1996)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-Scream-1996.webp)
![[รีวิว-เรื่องย่อ] ปฏิบัติการถูกสลาก | How To Win The Lottery (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/11/Review-Me-Late-Que-Si-2025.webp)