
- ขีปนาวุธ PHL-03 เป็นระบบจรวดหลายลำกล้องของจีน มีพิสัยยิงสูงสุด 130-150 กม.
- กัมพูชาได้รับ PHL-03 จากจีนในปี 2022 ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามต่อพื้นที่ชายแดนไทย
- กองทัพไทยเตรียมพร้อมด้วยแผนป้องกันและเครื่องมือทำลายขีปนาวุธ
- การเจรจาทางการทูตเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความตึงเครียดในภูมิภาค
ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทางการเมืองและความมั่นคง ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือการปรากฏตัวของ ขีปนาวุธ PHL-03 ในมือของประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ขีปนาวุธชนิดนี้มีพิสัยการยิงที่ไกลถึง 130 กิโลเมตร และสามารถยิงจรวดหลายลูกพร้อมกัน ทำให้เป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของไทย เช่น ฐานทัพทหารหรือสนามบิน
บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจว่า ขีปนาวุธ PHL-03 คืออะไร มีความสามารถอย่างไร และทำไมถึงเป็นประเด็นสำคัญสำหรับประเทศไทย คุณจะได้รู้ถึงที่มาของขีปนาวุธนี้ การที่กัมพูชาครอบครองมัน และวิธีที่กองทัพไทยเตรียมรับมือกับภัยคุกคามนี้ อ่านต่อเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ
ขีปนาวุธ PHL-03 คืออะไร?
ขีปนาวุธ PHL-03 หรือที่รู้จักในชื่อ Type 03 เป็นระบบจรวดหลายลำกล้อง (Multiple Launch Rocket System – MLRS) ขนาด 300 มม. ที่พัฒนาโดยบริษัท NORINCO ของจีน เข้าประจำการในกองทัพจีนตั้งแต่ปี 2004-2005 ระบบนี้มีพื้นฐานมาจากจรวด BM-30 Smerch ของสหภาพโซเวียต แต่ได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีนำวิถีที่แม่นยำ เช่น GPS, GLONASS และ BeiDou
PHL-03 มีจุดเด่นที่สามารถยิงจรวด 12 ลูกพร้อมกัน โดยแต่ละลูกมีน้ำหนักประมาณ 800 กิโลกรัม และหัวรบหนัก 280 กิโลกรัม จรวดเหล่านี้สามารถติดตั้งหัวรบได้หลายประเภท เช่น หัวรบระเบิดแรงสูง (HE-FRAG), หัวรบคลัสเตอร์ที่มีกระสุนย่อยต่อต้านรถถังและบุคคล หรือหัวรบเชื้อเพลิง-อากาศ (fuel-air explosive) พิสัยการยิงมาตรฐานอยู่ที่ 70-130 กิโลเมตร และมีรายงานว่าจรวดรุ่นใหม่ที่พัฒนาในปี 2020 สามารถยิงได้ไกลถึง 160 กิโลเมตร
ระบบนี้ติดตั้งบนรถบรรทุก Wanshan WS2400 แบบ 8×8 ซึ่งให้ความคล่องตัวสูงและสามารถเคลื่อนที่ในภูมิประเทศที่หลากหลาย ความสามารถในการยิงจรวดจำนวนมากในระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้ PHL-03 เหมาะสำหรับการโจมตีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ เช่น ฐานทัพ สนามบิน หรือศูนย์บัญชาการ รวมถึงการตอบโต้การยิงจากปืนใหญ่ของศัตรู (counter-battery fire)
นอกจากจีนแล้ว PHL-03 ยังถูกส่งออกไปยังหลายประเทศ เช่น โมร็อกโก เอธิโอเปีย และกัมพูชา ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย เนื่องจากความสามารถของมันอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาค
กัมพูชาครอบครอง PHL-03 ภัยคุกคามต่อไทย
ในปี 2022 มีรายงานว่ากัมพูชาได้รับมอบระบบ ขีปนาวุธ PHL-03 จากจีน จำนวนอย่างน้อย 6 ระบบ พร้อมยานพาหนะสนับสนุน การครอบครองอาวุธนี้ทำให้กัมพูชามีศักยภาพในการยิงจรวดระยะไกลที่สามารถเข้าถึงพื้นที่ในประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดชายแดน เช่น สระแก้ว สุรินทร์ หรือศรีสะเกษ ซึ่งอยู่ในระยะ 130 กิโลเมตรจากชายแดนไทย-กัมพูชา
พิสัยการยิง 130 กิโลเมตรของ PHL-03 ทำให้สามารถโจมตีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ในประเทศไทยได้ เช่น ฐานทัพทหาร สนามบิน หรือโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ การที่กัมพูชามีอาวุธนี้ได้ยกระดับขีดความสามารถทางทหารของตน และเปลี่ยนสมดุลอำนาจในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งอาจนำไปสู่ความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา
จากข้อมูลของแหล่งข่าวความมั่นคง Thai Post ระบุว่า PHL-03 รุ่นที่กัมพูชาครอบครองมีพิสัยยิงสูงสุด 130 กิโลเมตร และรุ่นปรับปรุง (AR-2) อาจยิงได้ไกลถึง 150 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่ากัมพูชามีขีปนาวุธพิสัยไกลเกิน 200 กิโลเมตร หรือขีปนาวุธข้ามทวีป ซึ่งจำกัดขอบเขตภัยคุกคามไว้ในพื้นที่ชายแดนและจังหวัดใกล้เคียง
การครอบครอง PHL-03 ของกัมพูชายังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางทหารที่ใกล้ชิดกับจีน ซึ่งอาจส่งผลต่อพลวัตทางการเมืองในภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาในอดีต เช่น กรณีปราสาทพระวิหาร
การตอบโต้ของประเทศไทย
กองทัพไทย โดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 2 ได้ออกแถลงการณ์เตือนภัยเกี่ยวกับ ขีปนาวุธ PHL-03 ที่อาจถูกใช้โดยกัมพูชา ตามรายงานจาก Thai Rath เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 กองทัพได้เตรียมแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง (Rear Area Defense Plan) และมีเครื่องมือที่สามารถตรวจจับและทำลายขีปนาวุธนี้ได้ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
กองทัพไทยยังแนะนำให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เช่น จังหวัดชายแดน หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่อาจถูกโจมตี และติดตามข่าวสารจากช่องทางทางการอย่างใกล้ชิด เพื่อรับทราบคำเตือนและคำแนะนำด้านความปลอดภัย การเตรียมพร้อมนี้แสดงถึงความตื่นตัวของกองทัพไทยในการรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีระบบจรวดหลายลำกล้องของตนเอง เช่น D11A ซึ่งพัฒนาจากระบบ PULS ของอิสราเอล แม้ว่าจะมีพิสัยยิงที่สั้นกว่า PHL-03 แต่ก็แสดงถึงความพยายามในการพัฒนาขีดความสามารถทางทหารเพื่อรักษาสมดุลในภูมิภาค
ทิ้งท้าย
ขีปนาวุธ PHL-03 เป็นอาวุธที่มีศักยภาพสูง และการที่กัมพูชาครอบครองมันทำให้ประเทศไทยต้องเพิ่มความระมัดระวังในด้านความมั่นคง แม้ว่ากองทัพไทยจะมีมาตรการป้องกันที่พร้อมรับมือ แต่การป้องกันภัยคุกคามนี้ต้องอาศัยทั้งความพร้อมทางทหารและการเจรจาทางการทูตเพื่อรักษาสันติภาพในภูมิภาค
เราขอเชิญชวนผู้อ่านให้ติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด และแบ่งปันบทความนี้เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ หากคุณมีข้อคิดเห็นหรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ขีปนาวุธ PHL-03 หรือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โปรดแสดงความคิดเห็นด้านล่างเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง