[รีวิว-เรื่องย่อ] มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล 5 | Mission: Impossible

Rogue Nation เป็นภาค 5 ของหนังชุด Mission: Impossible ที่กำกับโดย Christopher McQuarrie ซึ่งนำเสนอแอ็คชั่นสุดมันส์และเรื่องราวที่ซับซ้อนกว่าเดิม
การแสดงของ Rebecca Ferguson ในบท Ilsa Faust โดดเด่นมาก เป็นตัวละครหญิงแกร่งที่เข้ากับ Ethan Hunt ได้อย่างลงตัว
หนังสำรวจธีมการต่อสู้กับองค์กรอาชญากรขนาดใหญ่ และพัฒนาตัวละครให้ลึกซึ้ง โดยเฉพาะ Ethan ที่ทุ่มสุดตัวเพื่อทีม
ผู้กำกับผลักดันฉากแอ็คชั่นให้สุดขีด ตั้งแต่ไล่ล่ามอเตอร์ไซค์ไปจนถึงฉากใต้น้ำที่ตื่นเต้นเร้าใจ

เราเคยคิดไหมว่าถ้าเป็นสายลับสุดแกร่งอย่าง Ethan Hunt แล้วต้องเจอกับองค์กรลึกลับที่เล่นงานทั่วโลก จะจัดการยังไง? หนัง Mission: Impossible – Rogue Nation (2015) ของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ แมคควอรี่ (Christopher McQuarrie) พาเราไปสัมผัสภารกิจสุดระห่ำที่ Ethan ต้องหนีการไล่ล่าจาก CIA และตามหา The Syndicate องค์กรร้ายที่เหมือนเงาของเขาเอง หนังเรื่องนี้สร้างจากเหตุการณ์หลังจากภาค Ghost Protocol แค่ปีเดียว แต่แอ็คชั่นจัดหนักกว่าเดิมมาก

เรื่องราวเริ่มต้นจาก Ethan Hunt แสดงโดย ทอม ครูซ (Tom Cruise) ที่ถูกตามล่าเพราะ IMF ถูกยุบ แต่เขายังไม่ยอมแพ้ ต้องร่วมมือกับทีมเก่าและผู้หญิงลึกลับอย่าง Ilsa Faust เพื่อหยุดยั้งศัตรู เราได้เห็นการไล่ล่าในสถานที่เจ๋งๆ อย่างเวียนนาและลอนดอน ที่ทำให้ใจเต้นไม่หยุด เหมือนเราได้นั่งรถไฟตีลังกาไปด้วยกัน

ในบทความนี้ เราจะพาไปเจาะลึกทุกมุมของหนังเรื่องนี้ ตั้งแต่เรื่องย่อ การแสดงที่เด็ดดวง ไปจนถึงแอ็คชั่นที่ทำให้หนังชุดนี้กลายเป็นตำนาน มาดูกันว่า Rogue Nation จะทำให้เราติดใจขนาดไหนกับการผจญภัยของ Ethan Hunt ที่ไม่มีวันเป็นไปไม่ได้

รีวิวและเรื่องย่อ Mission: Impossible – Rogue Nation

Mission: Impossible – Rogue Nation เล่าเรื่องต่อจากภาคก่อนแค่ปีเดียว หลังจาก Ethan Hunt ได้รับภารกิจไล่ล่า The Syndicate องค์กรลึกลับที่ก่ออาชญากรรมทั่วโลก ทีม IMF ต้องเผชิญวิกฤตเมื่อ Brandt (Jeremy Renner) พยายามปกป้ององค์กรต่อหน้าคณะกรรมการ แต่ทุกอย่างพังทลาย IMF ถูกยุบ Ethan กลายเป็นผู้ร้ายที่ CIA ไล่ล่า แต่เขายังคงตามล่า Syndicate ต่อไป พร้อมกับผู้หญิงลึกลับที่ช่วยเขาไว้

การเล่าเรื่องยังคงโครงสร้างคล้าย Ghost Protocol ที่เน้นแอ็คชั่นและทีมเวิร์ก แต่คราวนี้ทะเยอทะยานกว่าเดิม ไม่ใช่แค่ไล่จับวายร้ายคนเดียว แต่เป็นองค์กรใหญ่ที่มีหัวหน้าฉลาดและโหดร้าย เหมือนเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกับ Ethan เลย ทำให้เรานึกถึงหนังสายลับอย่าง James Bond แต่ในสไตล์ที่มันส์กว่า

ตั้งแต่เริ่มเรื่อง เราก็ได้เห็น Ethan ต่อสู้ดิ้นรนคนเดียวก่อนจะรวมทีมเก่า อย่าง Benji (Simon Pegg) ที่พัฒนาจากตัวประกอบมาเป็นคู่หูสำคัญ และ Luther (Ving Rhames) ที่คอยสนับสนุน การพัฒนาตัวละครทำให้หนังไม่ใช่แค่แอ็คชั่นล้วนๆ แต่มีดราม่าที่ทำให้เราอินกับความสัมพันธ์ในทีม

Rebecca Ferguson ในบท Ilsa Faust คือดาวเด่นของเรื่อง เธอเป็นสายลับหญิงแกร่งที่ทั้งเก่งและลึกลับ คล้าย Ethan มากในแง่ความมุ่งมั่น แต่ก็มีทางเดินของตัวเอง การแสดงของเธอทำให้ตัวละครนี้กลายเป็นไฮไลต์ที่แฟนๆ จดจำ เธอไม่ใช่แค่คู่หู แต่เป็นคนที่ทำให้ Ethan ต้องคิดหนัก เหมือนเจอคู่ปรับที่ทั้งช่วยและหักหลังในเวลาเดียวกัน

Tom Cruise ยังคงเป็น Ethan Hunt ที่ทุ่มสุดตัว เขาแสดงให้เห็นด้านที่เกือบจะคลั่งภารกิจ เพื่อหยุดยั้งศัตรูไม่ว่าจะเสี่ยงแค่ไหน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเพื่อนๆ ในทีม ซึ่งทำให้ตัวละครมีมิติลึกซึ้ง เราเห็นเขาเปลี่ยนจากสายลับเดี่ยวๆ มาเป็นผู้นำที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ส่วน Sean Harris ในบท Solomon Lane หัวหน้า Syndicate ก็เล่นได้น่ากลัวและฉลาด ตัวละครนี้เหมือนเงาดำของ Ethan ที่ทำให้เรื่องตึงเครียดยิ่งขึ้น Jeremy Renner ในบท Brandt ก็มีบทบาทสำคัญ แต่คราวนี้อยู่เบื้องหลังมากกว่า ซึ่งน่าแปลกใจเพราะภาคก่อนดูเหมือนจะผลักดันเขาให้เป็นพระเอกใหม่

ผู้กำกับ Christopher McQuarrie ยกระดับแอ็คชั่นจากภาค Ghost Protocol ไปอีกขั้น ฉากไล่ล่ามอเตอร์ไซค์ในโมร็อกโกคือจุดพีคที่ทำให้อะดรีนาลีนสูบฉีด เหมือนเรากำลังขี่รถหนีตายไปด้วย ฉากใต้น้ำและการบุกโรงละครเวียนนาก็สุดยอด ทำให้หนังไม่ใช่แค่ดูเพลินแต่ตื่นเต้นทุกนาที

เขายังใช้สถานที่จริงให้เกิดประโยชน์ สร้างบรรยากาศมืดมนในถนนลอนดอนที่ชวนลุ้นระทึก การทำงานร่วมกับ Tom Cruise ทำให้ Ethan ถูกผลักดันถึงขีดสุด เหมือนการทดสอบว่าสายลับคนนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ของหนังชุดนี้ไปเลย

บทหนังยังเชื่อมโยงธีมการต่อสู้กับองค์กรร้ายที่เหมือนเป็นด้านมืดของ IMF ทำให้เราคิดถึงคำถามว่า Ethan ทุ่มเทเกินไปไหม? Alec Baldwin ในบทผู้อำนวยการ CIA มองเขาเป็นภัย แต่จริงๆ แล้วมันแสดงให้เห็นว่า Ethan คือฮีโร่ที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อสันติภาพ โดยไม่ทิ้งทีม

หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่แอ็คชั่นล้วนๆ แต่สำรวจธีมความทุ่มเทของ Ethan ที่เกือบจะกลายเป็นความคลั่ง เขาพร้อมเสี่ยงชีวิตเพื่อหยุด Syndicate แต่สิ่งที่เหนือกว่านั้นคือการปกป้องเพื่อน ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ทีมเวิร์กโดดเด่น เหมือนเปรียบมนุษย์กับเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนด้วยภารกิจ แต่หัวใจยังคงอยู่ที่ความผูกพัน

การพัฒนาตัวละครอย่าง Benji ที่จากหนุ่มเนิร์ดสุดฮา กลายมาเป็นคู่หูที่ไว้ใจได้ ทำให้หนังมีเสน่ห์มากขึ้น และ อิลซา ที่เข้ามาเปลี่ยนไดนามิกของทีม เหมือนเพิ่มสีสันใหม่ให้แฟรนไชส์ที่เดิมทีเน้นพระเอกเดี่ยว

ในภาพรวม Rogue Nation ยกระดับ Mission: Impossible ให้กลายเป็นหนังสายลับที่ไม่เหมือนใคร McQuarrie พบสูตรสำเร็จที่ผสมแอ็คชั่น ดราม่า และทีมเวิร์กได้ลงตัว

Mission: Impossible – Rogue Nation (2015) คือหนังที่ทำให้เราตั้งคำถามว่าภารกิจที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ แล้วคืออะไร? หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ศัตรูภายนอกเท่านั้น แต่รวมถึงการต่อสู้ภายในตัว Ethan ที่ทุ่มสุดตัวเพื่อทีมและสันติภาพ แม้จะถูกมองเป็นภัย แต่จริงๆ แล้วเขาคือฮีโร่ที่ทำให้โลกปลอดภัย

สำหรับใครที่ชอบ หนังแอ็คชั่นที่มีเนื้อหาลึกซึ้ง และอยากเห็น Tom Cruise ในฟอร์มเทพ Rogue Nation คือเรื่องที่ต้องดู! มันจะทำให้เราคิดถึงความหมายของทีมเวิร์กและการเสียสละ มาแชร์ความเห็นกันในคอมเมนต์ว่าฉากไหนที่ทำให้ใจเต้นที่สุด และอย่าลืมแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่เป็นแฟนหนังชุดนี้ ไปดูกันเลย แล้วมาคุยกัน!

ชื่อเรื่องในภาษาไทย: มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล 5
ประเภท: แอ็คชั่น, สายลับ, ระทึกขวัญ
วันที่ออกฉาย: 31 กรกฎาคม 2558
นักแสดงนำ: ทอม ครูซ (Tom Cruise), รีเบคก้า เฟอร์กูสัน (Rebecca Ferguson), เจเรมี เรนเนอร์ (Jeremy Renner), ไซมอน เพ็กก์ (Simon Pegg), ฌอน แฮร์ริส (Sean Harris)
ผู้กำกับ: คริสโตเฟอร์ แมคควอรี่ (Christopher McQuarrie)
ความยาว: 2 ชั่วโมง 11 นาที
เรตติ้ง IMDb: 7.4/10
ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix, HBO MAX, MONOMAX