รีวิวหนังฝรั่ง

[รีวิว-เรื่องย่อ] มิชชั่น: อิมพอสซิเบิ้ล – ฟอลล์เอาท์ | Mission: Impossible – Fallout (2018)

  • Fallout เป็นภาคต่อที่ผูกเรื่องราวเข้ากับภาคก่อนๆ อย่างแน่นหนา แต่บางทีก็ทำให้พล็อตซับซ้อนเกินไป
  • การแสดงของเฮนรี่ คาวิลล์ในบทวอล์คเกอร์โดดเด่น แต่ตัวละครอื่นๆ ยังพัฒนาไม่ค่อยลึก
  • หนังเน้นฉากแอคชั่นสุดระห่ำทั่วโลก ตั้งแต่ปารีส ลอนดอน ไปจนถึงแคชเมียร์
  • ผู้กำกับคริสโตเฟอร์ แมคควอรี่ทำให้หนังดูสนุกและตื่นเต้น แม้จะมีจุดอ่อนเรื่องเนื้อเรื่อง

เราเคยคิดไหมว่าถ้าต้องไล่ล่าคนร้ายทั่วโลกเพื่อหยุดระเบิดนิวเคลียร์ มันจะมันส์ขนาดไหน? หนัง Mission: Impossible – Fallout (2018) ของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ แมคควอรี่ (Christopher McQuarrie) พาเราไปสัมผัสภารกิจสุดหินของ อีธาน ฮันต์ ที่ต้องเจอกับศัตรูเก่าและใหม่ เรื่องราวต่อจากภาค Rogue Nation สองปี เมื่อองค์กรซินดิเคทแตกกระจาย แต่สมาชิกบางคนยังวางแผนก่อการร้ายด้วยอาวุธนิวเคลียร์ สร้างความตึงเครียดที่ทำให้เราลุ้นทุกนาที

ภารกิจเริ่มต้นเมื่อทีมของอีธานพลาดท่า ต้องร่วมมือกับเอเย่นต์ซีไอเออย่างวอล์คเกอร์ (เฮนรี่ คาวิลล์) เพื่อตามหา มิสเตอร์ลาร์ค ผู้อยู่เบื้องหลัง แต่เรื่องราวกลับผูกโยงกับอดีต ทำให้อีธานต้องเผชิญหน้ากับตัวเลือกยากๆ ที่สะท้อนว่าทำไมเขาถึงเป็นฮีโร่ที่โลกต้องการ เหมือนกับการเล่นเกมที่ทุกด่านยากขึ้นเรื่อยๆ จนเราอยากรู้ว่าจะจบยังไง

ในรีวิวนี้ เราจะพาไปเจาะลึกทุกมุมของหนังเรื่องนี้ ตั้งแต่พล็อตที่ซับซ้อน การแสดงที่เด่นๆ ไปจนถึงฉากแอคชั่นที่ทำให้ใจเต้นแรง มาดูกันว่า Fallout จะเป็นจุดจบที่สมบูรณ์แบบของแฟรนไชส์นี้ยังไง และทำไมมันถึงสนุกจนลืมจุดอ่อนไปเลย

รีวิวและเรื่องย่อ Mission: Impossible – Fallout

Mission: Impossible – Fallout เล่าเรื่องต่อจากสองปีหลังจับกุม โซโลมอน เลน (Solomon Lane) แสดงโดย ฌอน แฮร์ริส (Sean Harris) องค์กรซินดิเคทแตกสลาย แต่สมาชิกบางคนยังก่อตั้งกลุ่มอาชญากรใหม่ พวกเขาต้องการวัตถุดิบสร้างระเบิดนิวเคลียร์สามลูกเพื่อแผนการทำลายล้าง เมื่อทีมของ อีธาน ฮันต์ (Ethan Hunt) ล้มเหลวในการยึดมันมา พวกเขาต้องร่วมมือกับเอเย่นต์ซีไอเอ วอล์คเกอร์ (เฮนรี่ คาวิลล์) เพื่อตามล่ามิสเตอร์ลาร์คผู้ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด

การผูกเรื่องเข้ากับภาคก่อนๆ อย่างแน่นหนาเป็นจุดอ่อนหลักของหนัง เพราะมันเน้นสร้างภาพฮีโร่ให้อีธานมากเกินไป แทนที่จะพัฒนาตัวละครอื่นๆ ให้ลึกซึ้ง เหมือนกับการเอาปริศนาเก่าๆ มาปะติดปะต่อ แต่กลับทำให้พล็อตยุ่งเหยิง เราอยากเห็นการเติบโตของตัวละครมากกว่านี้ แต่หนังเลือกที่จะโฟกัสที่ฉากแอคชั่นแทน ซึ่งก็ทำได้ดีจนเราลืมจุดด้อยไป

ทีมงานส่วนใหญ่ทำหน้าที่แค่ช่วยเหลือ แต่พอถึงฉากไล่ล่า พวกเขาก็ถูกกันออกไป ยกเว้นในตอนจบที่ อิลซา (Ilsa), เบนจี (Benji) และ ลูเธอร์ (Luther) ได้มีบทบาทสำคัญ โซโลมอน เลนสูญเสียความน่าเกรงขาม และตัวละครใหม่ๆ ดูเหมือนแค่ไอเดียมากกว่าคนจริงๆ เฮนรี่ คาวิลล์แสดงได้โดดเด่นพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ยกบทให้สูงขึ้นมากนัก

ทอม ครูซ (Tom Cruise) ในบทอีธาน ฮันต์คือดาวเด่นของเรื่อง เขาวิ่งไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง ขับรถซิ่งในตรอกแคบๆ และทำสตันท์สุดระห่ำที่ทำให้หนังดูดุดันเร้าใจสุดๆ มันเหมือนกับการดูฮีโร่ที่ไม่เคยเหนื่อย แต่ก็ทำให้แฟรนไชส์กลายเป็นโชว์เดี่ยวของเขา เหมือนถามตัวเองว่า ถ้าอีธานไม่อยู่ หนังจะยังมันส์อยู่ไหม?

เฮนรี่ คาวิลล์นำเสนอความแข็งแกร่งในบทวอล์คเกอร์ได้ดี แต่ตัวละครอื่นๆ อย่างอิลซา (รีเบคก้า เฟอร์กูสัน) หรือเลน ยังพัฒนาไม่เต็มที่ มันเหมือนตัวประกอบที่แค่มาช่วยเติมเต็มฉาก แต่การแสดงโดยรวมยังทำให้หนังสนุก โดยเฉพาะตอนที่ทุกอย่างพุ่งสู่จุดไคลแมกซ์

ฌอน แฮร์ริสในบทเลนดูอ่อนแอลงจากภาคก่อน แต่ก็ยังสร้างความตึงเครียดได้ ทีมงานอย่างเบนจี (ไซมอน เพ็กก์) และลูเธอร์ (วิง เรมส์) เพิ่มสีสันด้วยมุกตลกเบาๆ ทำให้หนังไม่เครียดเกินไป แม้จะไม่ได้บทเด่น แต่พวกเขาช่วยให้เรื่องราวไหลลื่น

หนังอัดแน่นไปด้วยฉากไล่ล่าแบบไม่หยุดพัก ตั้งแต่การปะทะกันกลางปารีส ไล่ล่ารถซิ่งในลอนดอน ไปจนถึงการต่อสู้บนเฮลิคอปเตอร์เหนือเทือกเขาแคชเมียร์ ผู้กำกับแมคควอรี่เลือกใช้มุมกล้องที่กระแทกอารมณ์สุดๆ ทำให้ทุกช็อตดูดิบ เฉียบ และมีสไตล์ เหมือนเล่นเกมแอคชั่นที่เราอยากกดรีเพลย์ซ้ำแล้วซ้ำอีก

ทำไมหนังสายลับชอบถ่ายในยุโรป เอเชีย แต่ไม่ค่อยในอเมริกา? คงเพราะโลเกชั่นพวกนี้มันดู เร้าใจกว่า และหนังเรื่องนี้ก็ใช้สถานที่ได้ดี แต่บางครั้งก็ดูเหมือน โฆษณาท่องเที่ยว มากกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว มันไม่ได้มีผลกับ พล็อต เท่าไหร่ แต่ช่วยเพิ่มความมันส์ให้กับฉากไล่ล่า

สตันท์ของแฟรนไชส์นี้บ้าบิ่นสุดขั้ว แต่ผลลัพธ์คือหนังที่เต็มไปด้วยความ ดุดัน และน่าติดตาม งานถ่ายทำทำให้เรารู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อีธานวิ่งไม่หยุดหรือซิ่งหนีตำรวจ ทุกฉากเหมือนผลักขีดจำกัดของภาคก่อน ๆ ไปให้สุดทาง

หนังสำรวจธีมว่าทำไมอีธานถึงเป็นฮีโร่ที่โลกต้องการ ผ่านการย้อนอดีตและตัวเลือกยากๆ แต่พล็อตซับซ้อนเกินไปและตัวละครตื้นเขิน เหมือนพยายามยกย่องดารานำมากเกิน แต่ก็ยังสนุกเพราะแอคชั่นที่ impressive

มันเหมือนเกมที่ทุกชิ้นส่วนจากอดีตหมุนรอบอีธาน ทำให้หนังกลายเป็นการแสดงที่เต็มไปด้วยความสนุก แม้จะมีจุดอ่อน แต่ความมันส์ก็ทำให้เราลืมไปหมด เหมือนกินขนมอร่อยจนลืมว่ามีแคลอรี่สูง

Fallout เป็นจุดสูงสุดที่แฟรนไชส์ควรปิดฉาก เพราะมันสร้างความประทับใจด้วยแอ็กชันที่ต่อเนื่อง แม้โครงเรื่องจะซับซ้อนและตัวละครไม่ลึก แต่ความสนุกก็ทำให้ทุกอย่างไม่สำคัญนัก

Mission: Impossible – Fallout (2018) ทำให้เราตั้งคำถามว่าภารกิจที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ แล้วคืออะไร หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ศัตรูหรือแผนการ แต่คือการตัดสินใจของฮีโร่ที่ต้องเสียสละเพื่อโลก แม้จะอยู่ในสถานที่สวยงามทั่วโลก แต่ธรรมชาติของมนุษย์ยังนำไปสู่ความขัดแย้งเสมอ

สำหรับใครที่ชอบ หนังแอ็คชั่นสายลับสุดมันส์ และอยากเห็นทอม ครูซวิ่งไม่หยุด Fallout คือเรื่องที่ต้องดู มันจะทำให้เราคิดถึงขีดจำกัดของการเป็นฮีโร่ มาแชร์ในคอมเมนต์ว่าฉากไหนที่เราชอบที่สุด และแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่รักหนังแนวนี้ อย่าลืมไปดูกันนะ!

  • ชื่อเรื่องในภาษาไทย: มิชชั่น: อิมพอสซิเบิ้ล – ฟอลล์เอาท์
  • ประเภท: แอ็คชั่น, สายลับ, ระทึกขวัญ
  • วันที่ออกฉาย: 26 กรกฎาคม 2561
  • นักแสดงนำ: ทอม ครูซ (Tom Cruise), เฮนรี่ คาวิลล์ (Henry Cavill), รีเบคก้า เฟอร์กูสัน (Rebecca Ferguson), วิง เรมส์ (Ving Rhames), ไซมอน เพ็กก์ (Simon Pegg)
  • ผู้กำกับ: คริสโตเฟอร์ แมคควอรี่ (Christopher McQuarrie)
  • ความยาว: 2 ชั่วโมง 27 นาที
  • เรตติ้ง IMDb: 7.7/10
  • ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix, HBO MAX

กดเพื่ออ่านต่อ

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button