เรื่องน่าสนใจ

ประวัติวันสิ้นปี (New Year’s Eve) ความหมาย และกิจกรรมยอดฮิต

  • ประวัติวันสิ้นปี เริ่มจากอารยธรรมบาบิโลเนียและอียิปต์โบราณ ผ่านการปฏิรูปของจูเลียส ซีซาร์ในปี 46 ก.ค. จนถึงปฏิทินเกรกอเรียนที่ใช้ในปัจจุบัน
  • ความหมายและความสำคัญ เป็นจุดเปลี่ยนผ่านทางจิตใจ สร้างแรงจูงใจใน Fresh Start Effect และเสริมสร้างความสามัคคีในสังคม
  • ความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่ละประเทศมีประเพณีเฉพาะตัว เช่น การดูลูกบอลดรอปที่นิวยอร์ก การกินองุ่น 12 ลูกในสเปน และการกิน Toshikoshi Soba ในญี่ปุ่น
  • กิจกรรมยอดฮิต การดูพลุ คอนเสิร์ต การตั้งเป้าหมายปีใหม่ การท่องเที่ยว การฉลองออนไลน์ และการทำกิจกรรมการกุศลได้รับความนิยมสูงสุด

เราเคยสงสัยกันบ้างหรือเปล่าว่าทำไม วันสิ้นปี ถึงเป็นวันที่สำคัญและพิเศษขนาดนี้? ทุกปีเมื่อถึงวันที่ 31 ธันวาคม เราจะเห็นผู้คนทั่วโลกเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ มีการจัดงานปาร์ตี้ การดูพลุ และการตั้งความปรารถนาสำหรับปีใหม่ แต่ที่จริงแล้ว ประวัติของวันสิ้นปี มีความเป็นมาที่น่าสนใจมากกว่าที่เราคิด

วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ ความหมายของวันสิ้นปี อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ต้นกำเนิดในอารยธรรมโบราณ การเปลี่ยนแปลงของปฏิทินผ่านยุคสมัย ไปจนถึงกิจกรรมยอดฮิตที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อให้เราเข้าใจถึงคุณค่าและความสำคัญของวันพิเศษนี้ได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งเรียนรู้ประเพณีและวัฒนธรรมการฉลองที่หลากหลายทั่วโลก

ความเป็นมาของวันสิ้นปีในประวัติศาสตร์

ประวัติของวันสิ้นปี (New Year’s Eve) มีรากฐานที่ยาวนานกว่าที่เราจะนึกถึง โดยเริ่มต้นจากอารยธรรมโบราณที่มีการใช้ปฏิทินแตกต่างกันไป อารยธรรมแรกๆ ที่มีการบันทึกเรื่องการเฉลิมฉลองปีใหม่คืออารยธรรมบาบิโลเนีย ซึ่งเฉลิมฉลองในช่วงเดือนมีนาคม ตรงกับฤดูใบไม้ผลิและการเก็บเกี่ยว การเฉลิมฉลองนี้เรียกว่า “Akitu” และมีความสำคัญทางศาสนาและการเกษตรอย่างมาก

ชาวอียิปต์โบราณก็มีประเพณีคล้ายคลึงกัน โดยเชื่อมโยงกับการเกิดขึ้นของดาวไซริอุส และน้ำท่วมของแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นสัญญาณของความอุดมสมบูรณ์ในปีใหม่ ส่วนชาวกรีกและโรมันก็มีการฉลองปีใหม่ที่แตกต่างกัน โดยชาวโรมันเฉลิมฉลองในเดือนมีนาคมเช่นเดียวกับบาบิโลเนีย แต่ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อจูเลียส ซีซาร์ปฏิรูปปฏิทิน

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 46 ก่อนคริสตกาล เมื่อจูเลียส ซีซาร์สร้าง ปฏิทินจูเลียน ขึ้นมาใหม่ โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่ การตัดสินใจนี้มีพื้นฐานมาจากการคำนวณดาราศาสตร์ที่แม่นยำกว่า และเพื่อให้สอดคล้องกับฤดูกาลทางธรรมชาติ แต่แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงนี้ ประชาชนหลายกลุ่มก็ยังคงยึดถือประเพณีเดิมของตน

ในยุคยุโรปกลาง ศาสนาคริสต์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดวันสิ้นปี คริสตจักรพยายามเปลี่ยนวันปีใหม่เป็นวันอื่นๆ เช่น วันที่ 25 ธันวาคม (วันคริสต์มาส) หรือวันที่ 25 มีนาคม (วันประกาศข่าวดี) เพื่อลดความสำคัญของประเพณีเพแกน แต่ในท้ายที่สุด ปฏิทินเกรกอเรียนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ได้นำวันที่ 1 มกราคมกลับมาเป็นวันขึ้นปีใหม่อีกครั้ง

การแพร่กระจายของ การฉลองวันสิ้นปี ในรูปแบบสมัยใหม่เริ่มต้นจากยุโรป และขยายไปทั่วโลกผ่านการล่าอาณานิคม การค้า และการสื่อสาร ทำให้ประเพณีนี้กลายเป็นเทศกาลระดับโลกที่เราเห็นในปัจจุบัน

ความหมายและความสำคัญของวันสิ้นปี

ความหมายของวันสิ้นปี ไม่ได้หยุดอยู่แค่การปลิดปลิวหน้าปฏิทินเท่านั้น แต่มันเป็นจุดเวลาสำคัญที่มนุษย์ใช้ในการไตร่ตรองและเตรียมตัวสำหรับการเดินทางในปีใหม่ วันนี้เป็นเสมือนเส้นแบ่งระหว่างอดีตและอนาคต ทำให้เราได้มีโอกาสมองย้อนกลับไปดูสิ่งที่ผ่านมา และวางแผนสำหรับสิ่งที่กำลังจะมาถึง

จากมุมมองทางจิตวิทยา วันสิ้นปีเป็น จุดเปลี่ยนผ่านทางจิตใจ ที่สำคัญมาก มันให้ความรู้สึกของการเริ่มต้นใหม่ ความหวัง และพลังในการเปลี่ยนแปลง นักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Fresh Start Effect” ซึ่งหมายถึงแรงจูงใจที่เพิ่มขึ้นในการทำสิ่งดีๆ หรือเปลี่ยนแปลงตัวเองเมื่อเราอยู่ในจุดเริ่มต้นใหม่ เช่น วันปีใหม่ วันเกิด หรือวันจันทร์

ในด้านสังคม วันสิ้นปี ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงคนในชุมชนเข้าด้วยกัน การฉลองร่วมกันสร้างความรู้สึกของความเป็นหนึ่งเดียว ความสามัคคี และการแบ่งปันความสุข ทำให้เกิด “Social Cohesion” หรือความเหนียวแน่นทางสังคมที่มีความสำคัญต่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ความหมายทางจิตวิญญาณของวันนี้ก็ไม่แพ้กัน หลายศาสนาและความเชื่อมองว่าเป็นช่วงเวลาของการชำระล้าง การให้อภัย และการเริ่มต้นใหม่ เป็นโอกาสในการปล่อยวางสิ่งที่ไม่ดีจากปีที่ผ่านมา และเปิดใจรับสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ทำให้วันนี้เป็นมากกว่าเพียงแค่การเฉลิมฉลอง

สำหรับเศรษฐกิจโลก วันสิ้นปี ก็มีความหมายอย่างมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ธุรกิจต่างๆ ทำการตลาดกันอย่างหนัก ตั้งแต่ร้านอาหาร สถานบันเทิง ไปจนถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทำให้เกิดการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

การเปลี่ยนแปลงของปฏิทินและวันสิ้นปีผ่านยุคสมัย

การพัฒนาของ ปฏิทินโลก เป็นเรื่องราวที่น่าติดตามอย่างมาก เพราะมันสะท้อนถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการเมืองของมนุษยชาติ ปฏิทินแรกๆ ที่มีอิทธิพลต่อโลกตะวันตกคือปฏิทินโรมันเก่า ซึ่งมีเพียง 10 เดือน และเริ่มต้นจากเดือนมีนาคม ทำให้เดือนธันวาคมเป็นเดือนที่ 10 (จากภาษาละติน “decem” แปลว่า 10)

เมื่อกษัตริย์นูมา ปอมปิเลียส ขึ้นครองราชย์ เขาได้เพิ่มเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์เข้าไป ทำให้ปฏิทินมี 12 เดือน แต่ก็ยังคงเริ่มปีใหม่ในเดือนมีนาคม ปัญหาของปฏิทินระบบนี้คือการคำนวณที่ไม่แม่นยำ ทำให้ฤดูกาลเลื่อนไปเรื่อยๆ และสร้างความสับสนมาก

การปฏิรูปของจูเลียส ซีซาร์ ในปี 46 ก.ค. ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เขาได้ปรึกษากับนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โซซิเจนีส เพื่อสร้างปฏิทินใหม่ที่แม่นยำกว่า ปฏิทินจูเลียนใช้ระบบปีอธิกสุรทิน (Leap Year) ทุก 4 ปี และกำหนดให้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ปี 46 ก.ค. ยาวถึง 445 วัน และเรียกว่า “ปีแห่งความสับสน”

แต่ปฏิทินจูเลียนก็ยังมีข้อผิดพลาด เพราะคำนวณปีเป็น 365.25 วัน ในขณะที่ความเป็นจริงคือ 365.2422 วัน ทำให้เกิดข้อผิดพลาดสะสมประมาณ 11 นาทีต่อปี หรือ 1 วันในทุก 128 ปี ปัญหานี้สะสมจนกระทั่งในศตวรรษที่ 16 วันเดือนกับฤดูกาลเพี้ยนกันไปมาก

ปฏิทินเกรกอเรียน ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันได้ถูกสร้างขึ้นโดยพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 13 ในปี ค.ศ. 1582 เพื่อแก้ไขปัญหาของปฏิทินจูเลียน การปฏิรูปครั้งนี้มีการตัด 10 วันออกไปเพื่อปรับแก้ข้อผิดพลาดที่สะสมมา และเปลี่ยนกฎปีอธิกสุรทินให้แม่นยำขึ้น โดยปีที่หารด้วย 100 ลงตัวจะไม่เป็นปีอธิกสุรทิน เว้นแต่จะหารด้วย 400 ลงตัวด้วย

การยอมรับ ปฏิทินเกรกอเรียน ไม่ได้เกิดขึ้นในทันที ประเทศคาทอลิกรับเอาไปใช้เร็วกว่า แต่ประเทศโปรเตสแตนต์และออร์โธดอกซ์ใช้เวลานานกว่าจะยอมรับ อังกฤษเปลี่ยนในปี 1752 รัสเซียเปลี่ยนหลังการปฏิวัติ 1917 และประเทศสุดท้ายที่เปลี่ยนคือกรีซในปี 1923 ความล่าช้านี้ทำให้เกิดความสับสนในการค้าขายและการติดต่อระหว่างประเทศ

วันสิ้นปี (Omisoka) ที่ญี่ปุ่น

วันสิ้นปีในวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก

ประเพณีการฉลองวันสิ้นปี ในแต่ละประเทศมีเอกลักษณ์และความหลากหลายที่น่าสนใจมาก ที่สหรัฐอเมริกา การดูลูกบอลดรอปที่ไทม์สแควร์ในนิวยอร์กเป็นประเพณีที่มีชื่อเสียงระดับโลก เริ่มต้นขึ้นในปี 1907 และกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลองปีใหม่อเมริกัน ขณะที่ในแคลิฟอร์เนีย ผู้คนมักจะไปดูพลุที่ดิสนีย์แลนด์หรือชายหาดต่างๆ

ประเทศอังกฤษมีประเพณี “First Footing” ในสกอตแลนด์ โดยเชื่อว่าคนแรกที่เข้าบ้านหลังจากเที่ยงคืนของวันปีใหม่จะนำโชคมาให้ ถ้าเป็นผู้ชายผมดำถือถ่านหิน เกลือ และขนมปัง จะเป็นลางดีมาก ในลอนดอน การฟังเสียงระฆัง Big Ben ตีเที่ยงคืนเป็นประเพณีที่ผู้คนรอคอยทุกปี

ที่ญี่ปุ่น วันสิ้นปี เรียกว่า “Omisoka” และเป็นวันที่สำคัญมากในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ครอบครัวจะทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อย กิน “Toshikoshi Soba” (บะหมี่โซบะข้ามปี) เพื่อความยืนยาวของชีวิต และไปไหว้ที่ศาลเจ้าในช่วง “Hatsumode” (การไหว้ครั้งแรกของปี) ระฆังวัดจะดังก้อง 108 ครั้งเพื่อชำระล้างบาป 108 อย่างในพุทธศาสนา

สเปนมี ประเพณี “Las Doce Uvas” หรือการกิน 12 ลูกองุ่น โดยกินทีละลูกตามเสียงระฆังที่ตีเที่ยงคืน แต่ละลูกแทนความปรารถนาในแต่ละเดือนของปีใหม่ ที่แพลซ่า เดล โซล ในมาดริด ผู้คนจะมารวมตัวกันนับพันเพื่อร่วมประเพณีนี้ ความเชื่อนี้เริ่มขึ้นในปี 1909 และแพร่กระจายไปทั่วสเปนและลาตินอเมริกา

ในบราซิล โดยเฉพาะที่โคปาคาบาน่าในริโอเดจาเนโร มี งาน “Reveillon” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ผู้คนนุ่งชุดสีขาวเพื่อความโชคดี กระโดดข้ามคลื่น 7 ครั้ง และโยนดอกไม้ลงทะเลเพื่อบูชาเทพธิดาแห่งท้องทะเล เยมานจา การฉลองนี้รวมวัฒนธรรมโปรตุเกส อฟริกา และพื้นเมืองเข้าด้วยกัน

จีนมี เทศกาลตรุษจีน ซึ่งไม่ตรงกับวันที่ 1 มกราคม แต่จะเปลี่ยนไปตามปฏิทินจันทรคติ อย่างไรก็ตาม ในเมืองใหญ่ๆ ก็มีการฉลองวันปีใหม่สากลด้วย ด้วยการจุดพลุ การแสดงสิงโต และประเพณีให้อั่งเปา (ซองแดง) ผู้คนจะทำความสะอาดบ้าน ตกแต่งด้วยสีแดง และเตรียมอาหารมงคลต่างๆ

กิจกรรมยอดฮิตในการฉลองวันสิ้นปี

กิจกรรมการฉลองวันสิ้นปี ในยุคปัจจุบันมีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น กิจกรรมแรกที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือการไปดูพลุและการแสดงแสงสี ทั่วโลกมีการจัดงานพลุระดับโลกที่สวยงามตระการตา เช่น พลุที่ซิดนีย์โอเปร่าเฮาส์ ลอนดอนอาย บุรจญ์คาลิฟาในดูไบ และเสาเสรีภาพในนิวยอร์ก แต่ละสถานที่จะมีธีมและการออกแบบพิเศษที่ต่างกัน

การจัด คอนเสิร์ตและงานปาร์ตี้ ก็เป็นอีกกิจกรรมที่ได้รับความนิยมสูง ไม่ว่าจะเป็นงานดนตรีกลางแจ้งในพื้นที่สาธารณะ งานปาร์ตี้ในไนต์คลับ หรืองานรวมตัวของครอบครัวและเพื่อนฝูง ในยุค Social Media การถ่ายภาพและการไลฟ์สดการเฉลิมฉลองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ไม่อาจขาดได้

การเขียนและการตั้งเป้าหมายปีใหม่ (New Year Resolution) เป็นประเพณีที่มีมายาวนาน เริ่มจากการที่ชาวบาบิโลเนียทำสัญญากับเทพเจ้าของตน ปัจจุบันผู้คนจะเขียนเป้าหมายส่วนตัว เช่น ลดน้ำหนัก เลิกบุหรี่ ออกกำลังกายมากขึ้น หรือเรียนภาษาใหม่ แม้ว่าสถิติจะบอกว่าเพียง 8% เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ แต่มันก็ยังคงเป็นกิจกรรมยอดนิยม

การท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ เป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว หลายคนเลือกที่จะใช้เวลาวันสิ้นปีในสถานที่พิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปต่างประเทศ การไปเที่ยวหิมะ การพักผ่อนที่ชายหาด หรือการผจญภัยในธรรมชาติ ธุรกิจการท่องเที่ยวในช่วงนี้มีรายได้มหาศาลทั่วโลก

ในยุคดิจิทัล การฉลองออนไลน์ กลายเป็นรูปแบบใหม่ที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะหลังจากโรคระบาด COVID-19 ผู้คนเรียนรู้ที่จะจัดปาร์ตี้ออนไลน์ ดูพลุผ่านไลฟ์สตรีม และฉลองกับเพื่อนๆ ผ่านวิดีโอคอล แอปพลิเคชันต่างๆ ก็ได้พัฒนาฟีเจอร์พิเศษสำหรับการฉลองปีใหม่

การทำกิจกรรมการกุศล ในช่วงปีใหม่ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น หลายคนเลือกที่จะเริ่มปีใหม่ด้วยการทำดี เช่น การบริจาค การเป็นอาสาสมัคร หรือการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส สะท้อนถึงความต้องการที่จะเริ่มต้นปีใหม่ด้วยพลังงานเชิงบวก

คอนเสิร์ตฉลองวันสิ้นปี มีเวทีแสงสีตระการตา พลุไฟหลากสี และผู้ชมกำลังยกมือเชียร์อย่างสนุกสนาน

วันสิ้นปีในประเทศไทย

การฉลองวันสิ้นปีในประเทศไทย มีลักษณะเฉพาะตัวที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและวัฒนธรรมไทย การเฉลิมฉลองแบบสากลเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และพัทยา ที่มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ทุกปี

ในกรุงเทพมหานคร มีการจัดงาน “Amazing Thailand Countdown” ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นประจำทุกปี ด้วยการแสดงของศิลปินระดับโลก การแสดงพลุ และการนับถอยหลังอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังมีงานคาวน์ดาวน์ที่อื่นๆ เช่น ที่ไอคอนสยาม แอ่งสกาย วอล์ค และห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่มีการตกแต่งและจัดกิจกรรมพิเศษ

ประเพณีไทยๆ ที่ยังคงมีอยู่คือการไปทำบุญที่วัด การให้ทานแก่พระสงฆ์ และการตั้งปณิธานเพื่อปีใหม่ หลายครอบครัวไทยจะรวมตัวกันที่บ้าน ทานอาหารร่วมกัน และดูรายการโทรทัศน์พิเศษในช่วงปีใหม่ การแจกของขวัญและการให้คำอวยพรก็เป็นส่วนสำคัญของประเพณีไทย

อาหารไทยในเทศกาลปีใหม่ก็มี ความหมายเฉพาะ เช่น การกินหน้าหมูเพื่อความก้าวหน้า การกินปลาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ การกินข้าวโพดเพื่อให้มีเงินทอง และขนมต่างๆ ที่มีความหมายมงคล ร้านอาหารไทยจะมีเมนูพิเศษและโปรโมชั่นในช่วงปีใหม่

ธุรกิจการท่องเที่ยวไทย ได้ประโยชน์มากจากเทศกาลปีใหม่ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต เกาะสมุย พัทยา และเชียงใหม่ ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเดินทางมาฉลองปีใหม่เป็นจำนวนมาก โรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจบันเทิงจะมีรายได้สูงสุดในช่วงนี้

ด้านความเชื่อและไสยศาสตร์ คนไทยมี พิธีกรรมและความเชื่อ เฉพาะในการต้อนรับปีใหม่ เช่น การดูดวงปีใหม่ การเสี่ยงเซียมซีที่ศาลเจ้า การไหว้พระเพื่อขอพรปีใหม่ และการทำพิธีขับไล่สิ่งไม่ดีออกจากบ้าน ความเชื่อเหล่านี้สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความทันสมัยกับประเพณีดั้งเดิม

ทิ้งท้าย

วันสิ้นปี เป็นมากกว่าเพียงแค่การเปลี่ยนตัวเลขบนปฏิทิน มันเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างอดีตและอนาคต เป็นช่วงเวลาแห่งการไตร่ตรอง การตั้งเป้าหมาย และการเฉลิมฉลองความสำเร็จที่ผ่านมา จากประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่อารยธรรมโบราณ ผ่านการปฏิรูปปฏิทินหลายครั้ง ไปจนถึงการเป็นเทศกาลระดับโลกในปัจจุบัน เราเห็นได้ว่ามนุษยชาติมีความต้องการที่จะมีจุดหยุดและจุดเริ่มต้นใหม่

การฉลอง วันสิ้นปี ในแต่ละวัฒนธรรมมีเอกลักษณ์และความงดงามของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการดูพลุ การทานอาหารมงคล การไปไหว้ศาลเจ้า หรือการรวมตัวกับครอบครัวและเพื่อนฝูง ทุกรูปแบบการฉลองล้วนมีจุดร่วมคือการสร้างความหวัง ความสุข และความเชื่อมโยงระหว่างผู้คน

เราขอเชิญชวนให้ทุกคนใช้โอกาสนี้ในการสร้างความทรงจำดีๆ กับคนที่เรารัก การตั้งเป้าหมายที่มีความหมาย และการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ที่จะทำให้ปีหน้าของเราดีกว่าปีที่ผ่านมา อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ และมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การฉลองปีใหม่ของทุกคนในคอมเมนต์กันนะ!

ข้อมูลอ้างอิง:

กดเพื่ออ่านต่อ

NaniTalk S.

เป็นนักเขียนที่ขยันขันแข็งและมุ่งมั่นที่จะผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ เรียนรู้และเติบโตอยู่เสมอ เชื่อว่าเนื้อหาที่ดีสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button